ภาพ: น้ำฝน อุดมเลิศลักษณ์
แสบตา คัดจมูก เจ็บคอ คันตัว หายใจไม่ออก เลือดกำเดาไหล ไซนัสกำเริบ
นั่นคือสิ่งที่คุณจะได้เจอในวันที่ตื่นมาเห็นค่าฝุ่น PM2.5 โชว์วงกลมสีแดงสลับม่วงสวยงามบนแผนที่ประเทศไทยในแอพพลิเคชั่นวัดค่าฝุ่นละออง พร้อมด้วยผืนฟ้าสีขาวโพลน ไร้วี่แววดอยสุเทพแม้แต่เงา
“ข้าเจ้าเป๋นสาวเจียงใหม่ แหมบ่เต้าใดจะแก๊นควันต๋ายแล้ว” – ท่อนหนึ่งของเพลง ‘น้ำตาสาวเชียงใหม่’ ที่แปลงมาจากเพลง ‘สาวเชียงใหม่’ ตลกร้ายที่เราต่างฟังแล้วก็ได้แต่ขำขื่น เพราะมันจริงทุกคำ ตั้งแต่ “แก๊นควัน” จนถึง “ปั๋นหาเปิ้นว่าสำคัญ กี่รัฐบาลก่อยังเหมือนเดิม”
เพลงนี้ถูกแชร์กันกระหึ่มในหมู่เฮาชาวเชียงใหม่ที่ต้องใช้ชีวิตราวกับอยู่ในหนังเรื่อง The Mist หรือ Silent Hill ตั้งแต่ยังไม่ประกาศเข้าหน้าร้อนด้วยซ้ำ
ปี 2562 หมอกควันปิดเมืองตั้งแต่ยังไม่สิ้นกุมภาพันธ์ เร็วกว่าปีก่อนๆ จนชาวเชียงใหม่ตั้งตัวแทบไม่ทัน มิตรสหายหลายคน โดยเฉพาะสายภูมิแพ้ ก่นด่าสาปแช่งเต็มหน้าเฟซบุ๊ค (ดุเดือดไม่แพ้ตอนพูดถึง กกต.) โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนมีนาคมที่หมอกควันทึบหนาอ้อยอิ่งเต็มเมือง
ขณะที่แอพพลิเคชั่นวัดค่าฝุ่นละอองขึ้นแต่คำว่า ‘Hideous’ กับ ‘Unhealthy’ นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศแค่หันหัวออกจากเชียงใหม่ก็สามารถไปยังเมืองที่ท้องฟ้าใสกิ๊งกว่านี้ได้ แต่คนเชียงใหม่ทำได้แค่เปิดหน้าต่างดูว่าวันนี้จะเห็นดอยสุเทพหรือไม่ เชียงใหม่ติดอันดับเท่าไหร่ของโลก ในบ้านมีใครป่วยเพิ่มไหม ค่ายาเท่าไหร่ วันนี้จะมีใครเผาที่ไหนอีกหรือเปล่า
“นี่มันอาวุธชีวภาพแล้วโว้ย” มิตรสหายท่านหนึ่งโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ค
ฉันขี่มอเตอร์ไซค์หิ้วถุงยากลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและอาการแสบตาอย่างหนัก ในถุงนั้นมียาแก้อักเสบที่หมอให้มาเพราะอาการไอจนปวดหัว เสมหะในคอก็ไม่หดหายสักที ทั้งบ้านมีแต่เสียงไอคล้งเคล้งของสมาชิกครอบครัวทุกเจเนอเรชั่น ส่งเสียงกันมาตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์เรื่อยยาวมาจนถึงปลายเดือนมีนาคม และต่อให้ปิดหน้าต่างหรือขยันถูพื้นมากแค่ไหน ฝุ่นก็ยังลอยเข้ามาเกลื่อนบ้านอยู่ดี
เช้านั้นผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนเลอะเลือดกำเดาลูกชายเป็นวงใหญ่ เช่นเดียวกับหลายคืนก่อน และเช่นเดียวกับลูกของมิตรสหายที่ลิ่มเลือดนองที่นอนจนถึงขั้นต้องส่งโรงพยาบาล
ขณะเดียวกัน แม่ๆ หลายคนเสาะหาเครื่องฟอกอากาศกันจ้าละหวั่น แม้ราคาแพงขึ้นอีกอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่หน้ากากขาดตลาดแล้วขาดตลาดอีก ขายดียิ่งกว่าชาไข่มุก หน้ากาก N95 ที่ว่าประสิทธิภาพดีที่สุดอันละประมาณ 30 บาท แต่ใส่แล้วอึดอัดจนเด็กๆ แทบไม่ค่อยยอมใส่ ส่วนบางคนใส่แบบบาง แม้จะกันฝุ่นแทบไม่ได้ แต่เขาบอกว่าหน้ากากดีๆ แพงเกินกว่าจะซื้อให้คนทั้งครอบครัว และบางคนก็เบื่อหน่ายจนไม่ใส่แล้วบอกว่า “ช่างแ-ง”
ถึงเราจะเห็นป้ายไวนิลใหญ่โตติดทั่วเมืองเชียงใหม่ประกาศ “วันห้ามเผาเด็ดขาดจำนวน 61 วัน เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม -30 เมษายน 2562” แต่ข่าวเผาก็ออกมาเป็นระลอกๆ พร้อมกับคำถามว่า “ผู้ว่าฯ อยู่ไหน” เพราะแทบไม่เห็นฝ่ายรัฐปรากฏตัวออกมาจัดการเร่งด่วนเหมือนเมื่อครั้งเกิดที่กรุงเทพฯ (ว่าแต่…ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ชื่ออะไร หน้าตาเป็นยังไงนะ ขอเปิดกูเกิลแป๊บ)
ถึงขั้นประกาศตามหาคนหายกันว่อนโลกโซเชียล
สายๆ ของอีกวัน ฉันขึ้นไปตากผ้าบนดาดฟ้า ได้ยินเสียงผู้ใหญ่บ้านกระจายข่าวตามปกติ พร้อมปิดท้ายด้วยเสียงเจืออารมณ์โกรธที่เขาไม่พยายามปิดบัง “ถ้าไปตลาดแล้วเจอคนขายของป่า ช่วยกันบอกเขาด้วยว่าหยุดเผาสักที คนในเมืองจะตายกันอยู่แล้ว”
คำก่นด่าลามเลยไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน หลังภาพถ่ายดาวเทียมโชว์จุดความร้อนเต็มพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมาร์และลาว
บรรยากาศความเกลียดชังกำลังอบอวลไปพร้อมๆ กับฝุ่น อารมณ์ร่วมกับคำด่ามาเต็มร้อย แต่ไร้วี่แววทางออกจริงๆ นอกจากจะชี้นิ้วใส่กัน
และแล้ว ณ ใจกลางเมืองในวันที่ 24 มีนาคม เขาก็ปรากฏตัว
ในวันที่ใครต่อใครต่างก็พูดว่า “ฮาจะแก๊นควันต๋ายแล้ว!” (ตูจะสำลักควันตายแล้ว) และค่าฝุ่นละอองเชียงใหม่ติดอันดับต้นๆ ของโลกนานเป็นสัปดาห์ ท่านผู้ว่าฯ ของหมู่เฮา ก็โผล่มาแจกผ้าปิดจมูก (ที่กันฝุ่นไม่ได้จริง) หลังจากหนึ่งวันก่อนหน้านั้นท่านให้สัมภาษณ์ว่า “สถานการณ์ยังไม่เลวร้าย”
ยังไม่เลวร้าย – เอ๊ะ…ท่านอยู่ในจังหวัดเดียวกันหรือเปล่าคะ หรือวาร์ปไปอยู่บนยอดเขาหิมาลัยแล้วค่อยวาร์ปกลับมาให้สัมภาษณ์ทีหลัง
แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะล่าสุดท่านให้สัมภาษณ์ว่า ไม่สามารถประกาศภาวะภัยพิบัติได้ เพราะต้องมีระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการใช้งบประมาณเร่งด่วนในกรณีภัยพิบัติ
ถึงหลายคนจะบอกว่า “หมอกควันเชียงใหม่ยังโปร่งใสกว่า กกต.” แต่คงใสกว่าแค่นิดเดียวจริงๆ
ปีนี้ฉันคงได้แต่ทำใจ ปิดจมูก เช็ดเลือดกำเดาลูกชาย และกินยาประทังอาการตัวเองต่อไป คงได้แต่หวัง (ลมๆ แล้งๆ) ว่าปีหน้าคงมีการจัดการที่ดีขึ้นแบบไม่ต้องถึงขั้นประกาศหาคนหาย และไม่ต้องพูดอีกว่า “ดอยสุเทพมีไหน ฮาไค่ต๋ายละบะ!” กันทุกวัน กลายเป็นหนังม้วนเดิม – ป่วย บ่น ด่า หวัง ผิดหวัง กันต่อไปอีกเป็นสิบปีโดยไม่มีอะไรดีขึ้น
ไม่อย่างนั้น เชียงใหม่อาจกลายเป็นเมืองร้างแบบ Silent Hill จริงๆ และฉันอาจกลายเป็นผีนางพยาบาลก็ได้
อ้างอิงข้อมูลจาก: news.thaipbs.or.th khaosod.co.th เพลงน้ำตาสาวเชียงใหม่ |