นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อภิปรายเรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามของนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นเป็นนายกฯ ซึ่งหลายเรื่องเป็นประเด็นเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตที่เกี่ยวโยงไปถึงการประกอบอาชีพขณะยังทำงานเป็นภาคเอกชน โดยพรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบคุณสมบัติอย่างถี่ถ้วนแล้ว ขอยืนยันต่อหน้าประธานรัฐสภาและสมาชิกรัฐสภาว่า พรรคเพื่อไทยไม่ละเลยเรื่องเหล่านี้ เพราะถือเป็นความรับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศชาติ
“ข้อกล่าวหาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษี การซื้อขายที่ดินที่มีการแต่งตั้งนอมินี พรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบข้อกฎหมายทุกอย่างแล้ว ยืนยันว่าไม่มีเรื่องใดผิดกฎหมาย ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์”
ในส่วนของรายละเอียด นพ.ชลน่าน กล่าวว่าอาจต้องใช้การสื่อสารทางสังคมในมิติอื่น เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลาในที่ประชุม จึงไม่อาจชี้แจงได้โดยละเอียด แต่ยังคงยืนยันว่า “ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นผู้ที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีแต่ข้อกล่าวหาที่โน้มเอียงเอาหลักฐานการประกอบธุรกิจมาเป็นตัวกล่าวอ้าง แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความผิด”
ประเด็นต่อมา เรื่องการแสดงเหตุผลที่จะไม่เห็นชอบให้นายเศรษฐาดำรงตำแหน่งนายกฯ เป็นเรื่องของจุดยืนทางการเมือง ทั้งนี้ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเคารพเสียงประชาชนทุกเสียง
“หลายคนอาจมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย กลุ่มนั้นเป็นเสรีนิยม กลุ่มนี้เป็นอนุรักษนิยม แต่ไม่ว่าอย่างไรล้วนแล้วแต่เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นพ.ชลน่าน กล่าว พร้อมทั้งเน้นว่าเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยยึดมั่นมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบรัฐสภา สส. ที่ถูกเลือกเข้ามาล้วนมาจากการเลือกของพี่น้องประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีการต่อสู้ในอุดมการณ์ทางการเมืองมาโดยตลอด พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาอย่างเจ็บปวด และคนที่เจ็บปวดที่สุดคือพี่น้องประชาชนคนไทย
“ถามว่าเราขัดแย้งกัน เราสู้กันแล้วได้อะไรขึ้นมา เราเห็นความย่อยยับ ความสูญเสีย เห็นโอกาสของพี่น้องประชาชนที่เสียหายไป เพราะเพียงแค่มีความคิดต่างกัน เรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่แยกกันเดินบนพื้นฐานความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน” นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่าการมีความเชื่ออย่างนี้ฝ่ายที่บอกว่าต้องการปกป้องสถาบันหลักของชาติก็ต้องแสดงออกถึงการปกป้องอย่างเต็มที่ ยิ่งหากมีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงจะเป็นอันตรายต่อสถาบันหลักของชาติย่อมมีการต่อสู้ทำลายล้าง นั่นคือเหตุการณ์ที่ผ่านมา “แล้วเราจะปล่อยให้มีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอีกหรือ” นพ.ชลน่าน กล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งที่พรรคก้าวไกลเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากพรรคเพื่อไทยยินดีและส่งเสริมอำนาจประชาชน
แต่ในสถานการณ์ปกติ “ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พรรคเพื่อไทยไม่มีทางจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล เรารอครับ เพราะเราเป็นพรรคอันดับสอง ด้วยสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญอย่างนี้ เราไม่ร่วมมือกันไม่ได้ แต่เราก็คิดผิด ยิ่งเราจับมือกันยิ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้”
นพ.ชลน่านย้ำว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือดุลอำนาจ ประนีประนอมอำนาจและให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างสูงสุด พรรคเพื่อไทยจึงอาสาสลายความขัดแย้งและจัดตั้งรัฐบาลในนามของทุกฝ่ายที่สามารถร่วมมือกันได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของรัฐบาล
ประเด็นสุดท้าย ที่ประชุมสภามีความห่วงใยเรื่องของนโยบาย โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “ด้วยข้อเท็จจริง ขณะนี้เป็นเพียงนโยบายที่เราใช้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง นโยบายของรัฐบาลจะเกิดการร่วมมือกันจัดทำและแถลงต่อรัฐสภา ตรงนั้นท่านสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเต็มที่เพราะจะถูกนำไปใช้จริง”
ทั้งนี้ นพ.ชลน่าน กล่าวยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บ้านเมืองขัดแย้ง ซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องผ่านประชามติ พรรคเพื่อไทยจึงได้ประกาศว่าจะเริ่มทำประชามติสอบถามประชาชน ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ โดยในรายละเอียดของการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เป็นเรื่องที่ต้องไปคุยกันต่อว่าจะมีที่มาอย่างไร และจำนวนเท่าไร
“ความเห็นต่างเป็นสีสันที่สวยงามในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะในระบบเสียงข้างมาก ภายใต้องค์พระมหากษัตริย์ที่เป็นประมุข ต้องมีความเห็นต่าง แต่เราจะแปลงให้มาเป็นความเห็นร่วมอย่างไรขึ้นอยู่กับพวกเราที่อยู่ตรงนี้ เพื่อหันหน้าเข้าหากัน” นพ.ชลน่าน กล่าวทิ้งท้าย
Author
