ภาพประกอบ: Shhhh
27 เมษายน 2018 คือวันที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้รอคอย
อ้อ พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะเรียกตัวเองว่าเกาหลีเหนือ เพราะสำหรับพวกเขา
เกาหลีมีเพียงหนึ่งเดียว
รถบัสนำเที่ยวแบบฉบับเกาหลี
รถบัสสีครีมคาดเขียวคันเก่า บุโรทั่ง เสียงดัง คลุ้งเขม่าน้ำมันเครื่อง ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามายังเขตที่ใครๆ ก็รู้ว่าตึงเครียดที่สุดบนคาบสมุทรเกาหลี ฉันรับรู้ได้จากทุกผัสสะ จากทหารและปืนขนาดใหญ่ข้างกายเขา จากคำเตือนในการเดินทางเข้าพื้นที่นี้ จากทหารอีกคนที่เป็นเหมือนไกด์ของพวกเรา ภาพแรกที่ฉันเห็นคือ ป้าย ‘ONE KOREA’ ที่มาพร้อมกับนิ้วชี้ชูสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่ง
เกาหลีมีเพียงหนึ่งเดียว
เหมือนตลกร้าย ฉันกำลังยืนอยู่บนประเทศที่ถูกแบ่งเป็นสอง โดยการขีดเส้นสมมุติขึ้นมา แต่ป้ายที่ต้อนรับฉันกลับบอกว่า “ไม่ใช่” ไม่มีการแบ่งแยกเป็นสองในมุมมองของเกาหลีเหนือ หลังจากเดินแถวผ่านเข้าไปยังอาคารคอนกรีตโอ่อ่าขนาดยักษ์ ฟังเลคเชอร์จากทหารไกด์คนนั้นอย่างเข้มข้น ถึงการพยายามรวมชาติเกาหลีทั้งสอง ฉันก็มาหยุดยืนอยู่ที่บันไดของอาคารนี้
ใช่ ตรงหน้าฉันคือเส้นขนานที่ 38
เป็นวันที่ลมแรง พัดผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด คำพูดของไกด์ทหารและล่ามของเราหลุดลอดผ่านแรงลมมาทีละคำ ฉันไม่แน่ใจนักหรอกว่ากระทรวงรวมชาติ หรือ Ministry of Unification ที่เขาเพียรเล่าให้ฉันฟังทำงานอย่างหนักหน่วงตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 1969 เพื่อทำทุกวิถีทางให้สองเกาหลีได้กลับมารวมกัน
ฉันขนลุกตอนได้เห็นภาพ คิม จอง อึน และ มุน แจ อิน จูงมือกันเดินข้ามทั้งส่วนที่เป็นทราย (ฝั่งเกาหลีเหนือ) และส่วนที่เป็นหินกรวด (ฝั่งเกาหลีใต้) ซึ่งตามรายงานข่าวนั้นการเดินข้ามชายแดนกลับไปยังเกาหลีเหนือของทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในกำหนดการ
ฉันเองก็เคยไปยืนตรงนั้นเช่นกัน เมื่อเมษายนสองปีที่แล้ว และได้เดินเข้าไปในบ้านสีฟ้าๆ ที่เรียงรายอยู่ตรงชายแดนสองเกาหลี
วันนั้นพื้นที่แห่งนี้คือแหล่งท่องเที่ยวอันแสนตึงเครียด แต่ผู้คนก็ดั้นด้นมาเยือนเพื่อได้มองไปยังฟากฝั่งตรงข้ามด้วยตาตัวเอง ได้มองเห็นอาคารคอนกรีตขนาดยักษ์ยืนจังก้าดังป้อมปราการอยู่ไม่ไกล ที่ใกล้ตัวเข้ามาเห็นจะเป็นหมู่อาคารสีฟ้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่แห่งการเจรจาสันติภาพ ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปในห้องแล้ว ทุกอย่างแม้กระทั่งโต๊ะเจรจายังถูกแบ่งเส้นกึ่งหนึ่งอย่างชัดเจน เฉกเช่นเส้นเขตแดนที่ได้แบ่งเกาหลีให้เป็นสอง ทั้งที่
เกาหลีมีเพียงหนึ่งเดียว
วันหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ มุน แจ อิน ถูกภาคทัณฑ์เป็นเวลา 10 เดือนจากการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล และถูกส่งมายังเขตปลอดทหารพร้อมกองกำลัง 813 นาย เฮลิคอปเตอร์ 27 ลำ เครื่องบินรบติดระเบิด B-52 และเครื่องบินลาดตระเวนอีกหนึ่งลำ ครั้งนั้นนายทหาร มุน แจ อิน เคยอยู่ในปฏิบัติการ ‘Operation Paul Bunyan’ กองทหารร่วมกับสหรัฐอเมริกา หรือปฏิบัติการโค่นต้นไม้ที่ราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์
เนื่องจากกองกำลังเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาได้ร่วมกันตัดต้นพอปลาร์ ส่วนสาเหตุของการตัดต้นพอปลาร์อันไม่ธรรมดาครั้งนั้นก็มาจากครั้งเมื่อปี 1976 ทหารสหรัฐสองนายถูกฆ่าโดยชาวเกาหลีเหนือในเขต DMZ (Demilitarized Zone) หรือเขตปลอดทหารของสองเกาหลี นายทหารทั้งสองคนกำลังตัดแต่งต้นพอปลาร์อยู่ เนื่องจากมันบดบังทัศนวิสัยของกองกำลังสหรัฐและเกาหลีใต้ตรงชายแดน การโค่นต้นไม้จึงถือเป็นการ ‘ตัดไม้ข่มนาม’ ตามแบบฉบับของชาวเกาหลี และปฏิบัติการก็จบลงโดยที่เกาหลีเหนือเองไม่ได้ตอบโต้อะไร นายทหาร มุน แจ อิน จึงได้รับเศษชิ้นไม้มาเป็นที่ระลึกในการขจัดวิกฤติระดับชาติครั้งนั้น
11 ปีให้หลังจากครั้งสุดท้ายที่ผู้นำของสองเกาหลีได้มาพบกัน มุน แจ อิน ถือเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนที่สาม ตามหลัง คิม แด จุง และ โน มู ฮยอน บัดนี้ทั้งสองยืนอยู่ที่จุดเดิม ตรงเส้นแบ่งทางการทหาร หรือ Military Demarcation Line พร้อมกับถุงมือสีขาวบริสุทธิ์ พลั่วที่บรรจงอัดดินที่มาจากภูเขาของทั้งสองประเทศให้แน่นหนัก ดินนั้นถือเป็นรากฐานของการปลูกต้นสนแห่งสันติภาพครั้งนี้ สนที่ได้รับการเพาะเมล็ด หยั่งราก เติบโต และยืนหยัดมาตั้งแต่การเจรจาสงบศึกระหว่างสองเกาหลีเมื่อปี 1953 สนที่เป็นดังสัญลักษณ์แทนคำมั่นสัญญาหากมองจากมุมมองเกาหลีเหนือ และสนที่แสดงถึงความรักหากมองจากมุมมองเกาหลีใต้ ทั้งสองก็ยกบัวรดน้ำสีเขียวสดค่อยๆ รดน้ำที่มาจากแม่น้ำแต-ดองจากกรุงเปียงยาง และแม่น้ำฮันจากกรุงโซลลงบนดิน เบื้องล่างมีป้ายสลักหินที่มีข้อความว่า
สันติภาพและความรุ่งโรจน์ได้ถูกปลูกขึ้นที่นี่
คิม จอง อึน ได้กล่าวว่า
เราชาวเกาหลีเหนือมักพูดว่าต้นสนนั้นแข็งแกร่ง และมีสีเขียวตลอดปี แม้กระทั่งจะผ่านฤดูหนาวก็ตาม เราสองต่างก็เหมือนกับต้นสน เราต้องผ่านความท้าทายมากมายกว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้ได้
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
“การจะเดินข้ามมาอีกฝั่งง่ายเท่านี้ ทำไมเราใช้เวลากันตั้ง 11 ปี”
“หลายปีที่ผ่านมาเราไม่สามารถพูดคุยกันได้เลย วันนี้ผมคิดว่าเราจะคุยกันได้ทั้งวัน”
ระหว่างการเดินข้ามเส้นสมมุติ เพลง ‘อารีรัง’ ซึ่งถือเป็นเพลงแห่งคาบสมุทรเกาหลีก็ดังขึ้น
และ คิม จอง อึน ก็ได้จรดปากกาลงในสมุดเยี่ยมเกาหลีใต้ความว่า
ประวัติศาสตร์ใหม่เริ่มขึ้น ณ บัดนี้ ยุคแห่งสันติภาพได้เริ่มขึ้นแล้ว
เกาหลีมีเพียงหนึ่งเดียว
หมายเหตุ: ผู้เขียนตั้งใจเขียนข้อความ “เกาหลีมีเพียงหนึ่งเดียว” ซ้ำๆ เพราะเป็นเสียงที่ได้ยินเสมอจากประสบการณ์ตรงในการไปเยือนเกาหลีเหนือสองครั้งที่ผ่านมา