“เราเพียงอยากได้แนวทางการเยียวยาที่ชัดเจน ถ้าให้ปิด เขามีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและพนักงานอย่างไร จะปิดนานแค่ไหน คนทำธุรกิจทุกคนอยากรู้ว่าต้องสำรองเงินขนาดไหน ต้องใช้จ่ายเงินอย่างไร เมื่อไม่มีกำหนดอะไรเลย เหมือนเรากำลังสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น”
ภคพงศ์ วิเศษสินธุ์, 35 ปี เจ้าของฟิตเนส
หลังเรียนจบวิทยาศาสตร์การกีฬา โอ๊ต-ภคพงศ์ วิเศษสินธุ์ ได้ก่อตั้งธุรกิจ ‘Fit Forever Fitness’ มาแล้วราว 7 ปี เขามีพนักงานจากธุรกิจฟิตเนส 3 สาขาราว 50 คน ในหนึ่งเดือน โอ๊ตต้องมีกระแสเงินเพื่อจ่ายค่าแรงพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าที่ คิดแล้วเป็นตัวเลขที่สูงถึง 7 หลัก
ฟิตเนสของโอ๊ตดำเนินไปตามครรลองในสภาวะปกติ รายได้แทบทั้งหมดมาจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ มันคือธุรกิจออฟไลน์ ที่โรคระบาดทำให้รายได้ทั้งหมดของเขาเท่ากับศูนย์
“ช่วงมีนาคม 2563 ระบาดครั้งแรก ความยากของมันคือ รายได้ของคนทำฟิตเนสไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม รายได้ของเราจะมาจากออฟไลน์ คนต้องเข้ามาใช้บริการถึงจะมีรายได้
“เรากลับมามองภาพรวมธุรกิจตอนนั้นแล้ว อยู่นิ่งๆ คงไม่ดีแน่ ปิดยาวแน่ๆ เพราะค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรงพนักงาน เรายังต้องจ่ายอยู่”
เขาไม่มีนโยบายไล่พนักงานออก นั่นคือทางเลือกสุดท้าย COVID-19 ระลอกแรกจึงทำให้โอ๊ตต้องปรับโมเดลธุรกิจอย่างกะทันหัน ชนิดที่ว่า พอให้ถูไถและรอดพ้นจากการ ‘เจ๊ง’
ผ่านไปพักใหญ่ คราวนี้เขามีบทเรียน หลังการระบาดรอบนั้น โอ๊ตปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อขยับขยายช่องทางหารายได้ครอบคลุมไปถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ ประเมินสถานการณ์วิกฤติในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ทั้งการระบาดระลอกสองที่อาจหวนมา หรือวิกฤติใดๆ ในอนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้
“จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราต้องมองการสำรองเงินในบริษัทมากขึ้น เราอยากเป็นบริษัทที่สามารถดูแลพนักงานได้แม้เกิดวิกฤติอย่างน้อย 3-6 เดือน แต่ยังไม่ทันได้เริ่ม ช่วงปลายปีมันจะมาอีกรอบ โควิดมันกลับมาก่อน มันมาไวกว่าที่คิด”
เงื่อนไขของการแพร่โรคระบาดผ่านสารคัดหลั่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจอย่างฟิตเนส ประตูธุรกิจปิดลงอีกครั้ง
“เราก็เริ่มขยับไปออนไลน์มากขึ้นผ่านการเทรนออนไลน์ ผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ ส่งท่าออกกำลังกายผ่านคลิปวิดีโอ ลูกค้าสามารถเอาไปฝึกที่บ้านได้ ถ่ายวิดีโอส่งกลับมาปรึกษาเทรนเนอร์ได้ ให้ไลฟ์สดเป็นคลาสกลุ่มออนไลน์ สมาชิกก็สามารถเข้ามาดูได้ เรามองว่า ทำยังไงก็ได้ให้สมาชิกหรือคนที่สนใจมีสุขภาพที่แข็งแรงในช่วงโควิด อาจไม่ต้องแข็งแรงขึ้น แต่ยังรักษาระดับความแข็งแรงไว้ พอเมื่อไหร่ฟิตเนสเปิดได้ ก็ค่อยมาสานต่อ ดีกว่าหยุดไปเลย”
ในฐานะผู้ประกอบการ โอ๊ตทำทุกทางที่ทำได้ภายใต้เงื่อนไขการระบาด ความต้องการสูงสุดสำหรับเขาต่อรัฐบาลในขณะนี้ คือมาตรการการเยียวยา และความสามารถในการเป็น ‘ตัวกลาง’ เพื่อกำหนดทิศทางของภาคธุรกิจในสภาวะที่ผิดปกติเช่นนี้
“ในมุมเจ้าของธุรกิจ การเยียวยาค่อนข้างน้อย เราอาจผ่อนผันหนี้ออกไปได้บ้าง แต่ก็ไม่มาก ไม่มีนโยบายในการลดค่าเช่าที่ในสภาวะวิกฤติ ผู้ประกอบการจะต้องต่อรองทางธุรกิจกับผู้ให้เช่ากันเอง ไม่มีตัวกลางอย่างรัฐในการวางนโยบายช่วยเหลือใดๆ
“การระบาดทั้งสองรอบ ไม่มีเลย เราต้องลุ้นไปเรื่อยๆ ว่าจะยังไง ปิดถึงเมื่อไหร่ สรุปต้องปิดหรือไม่ปิด ทำไมบางจังหวัดปิด บางจังหวัดไม่ปิด มันไม่ชัดเจน”
‘เรา’ ในความหมายของโอ๊ตไม่ได้หมายถึงเพียงธุรกิจฟิตเนสของเขาเท่านั้น แต่เป็น ‘เรา’ ในความหมายของประชาชนผู้ประกอบกิจการ ที่กำลังถูกรัฐเพิกเฉย ที่กำลังต่อสู้เพียงลำพังบนถนนที่ไร้ซึ่งเส้นชัย