เช้าของญี่ปุ่น – คุณนึกถึงอะไร?
น้ำหวาน คนไทยที่เป็นโอแอล (office lady) ในประเทศญี่ปุ่นนานถึง 8 ปี บอกกับเราว่า ญี่ปุ่นในความเป็นจริงไม่ต่างจากจินตนาการของทุกคนเท่าไร
“คนญี่ปุ่นทำงานหนัก บ้างาน มีระเบียบวินัย” ภาพหนุ่มสาวชาวออฟฟิศจำนวนมากที่เดินเข้าสถานนีรถไฟเพื่อเดินทางไปทำงานในตอนเช้าจึงเป็นภาพที่ทุกคนคุ้นชิน ทว่าเช้าวันนี้ไม่เหมือนเดิม
ในช่วงเวลาที่โลกปั่นปวนจากโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทำให้ยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุดในญี่ปุ่นพุ่งสูงทะลุ 10,000 คน เสียชีวิตกว่า 200 แล้ว
“เราทำงานที่บ้านได้ร่วม 2 เดือนแล้ว”
ปัจจุบันน้ำหวานพักและทำงานอยู่ที่เมืองโอซาก้า เมืองทางตะวันตกของญี่ปุ่น ในช่วงแรกที่ไวรัสแพร่ระบาดใหม่ๆ ทำให้สถานการณ์ในเมืองแย่พอสมควร ตัวเลขผู้ติดเชื้อในโอซาก้าวันแรกๆ ขึ้นสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2020/04/IMG_20200425_132015-1400x582.jpg)
สิ่งที่น่ากังวลใจสำหรับน้ำหวานท่ามกลางความน่ากลัวของการระบาดครั้งนี้คือ ‘ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถตรวจหาเชื้อไวรัสตัวนี้ได้’ หากคุณเป็นพลเมืองญี่ปุ่น เมื่อรู้สึกไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว อยากจะหาหมอขึ้นมา คุณไม่สามารถเดินเข้าโรงพยาบาลใหญ่ได้ทันทีเหมือนในประเทศไทย
ขั้นตอนการเข้ารับบริการทางการแพทย์ของคนญี่ปุ่น ในกรณีทั่วไปจะเริ่มจากการรับการตรวจในคลินิกประจำท้องถิ่น หรือคลินิกละแวกบ้านของคุณ และถ้าแพทย์พิจารณาว่าอาการป่วยท่าไม่ดี แพทย์ที่คลินิกจะเป็นผู้ส่งตัวคุณไปที่โรงพยาบาลใหญ่
เช่นเดียวกับการตรวจเพื่อหาเชื้อไวรัส COVID-19 ในช่วงที่ญี่ปุ่นเริ่มทำความรู้จักกับมัน ทางการได้จัดสายด่วนโควิดให้คำปรึกษาแก่ประชาชนที่กังวลว่าตนเองจะเสี่ยงติดโรคหรือไม่ เพราะการเข้ารับการตรวจนั้นมีกฎเกณฑ์คัดกรองว่าใครคือผู้ที่จะได้รับการตรวจบ้าง เช่น คุณอาจจะต้องเป็นคนที่มีไข้สูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส นานเกิน 4 วัน หรือนาน 2 วัน หากคุณเป็นผู้สูงวัย หรือคุณคือกลุ่มเสี่ยงที่มีประวัติการเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน
ดังนั้นสถานการณ์ไวรัสระบาดครั้งนี้ น้ำหวานบอกว่าดูเหมือนจะไม่น่ากลัว แต่ก็น่ากลัว
เพราะด้วยกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อน เธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าถ้าตัวเองเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะได้รับการรักษาได้ทันท่วงทีหรือไม่
ระยะเวลา 8 ปีที่น้ำหวานอยู่ในญี่ปุ่น เธอเคยอยู่ที่เมืองเกียวโต 3 ปี โตเกียว 3 ปี ก่อนจะย้ายมาที่โอซาก้าได้ 2 ปี
ย้อนกลับไปในช่วงไวรัสระบาดใหม่ๆ ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม 3 จังหวัดที่มียอดผู้ติดเชื้อนำสูงสุดได้แก่ ฮอกไกโด เฮียวโกะ โอซาก้า ซึ่งผู้ติดเชื้อรายใหม่ในโอซาก้าถูกสันนิษฐานว่าติดเชื้อจากการไป live house (สถานที่แสดงดนตรีสดขนาดเล็ก) ในเมือง ที่ร้ายแรงคือการติดเชื้อในครั้งนี้พบว่าเป็นการติดเชื้อหมู่ ลูกค้าที่ป่วยนอกจากเป็นชาวโอซาก้าแล้ว ยังเป็นคนจากเกาะฮอกไกโด ทางตอนเหนือสุดและเมืองคุมาโมโตะ บนเกาะคิวชู ทางตอนใต้สุดของญี่ปุ่น และผู้ป่วยบางคนยังทำให้คนในครอบครัวติดเชื้อตามไปด้วย ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงกระฉูดในเวลาอันรวดเร็ว และเกิดเป็นมาตรการสั่งปิด live house ทั่วเมืองโอซาก้า
แม้สถานการณ์จะดูแย่ แต่น้ำหวานกลับบอกว่าบรรยากาศโดยทั่วไป คนญี่ปุ่นยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ยังมีคนเดินออกมาหาซื้อข้าวของ และหากวันไหนอากาศดีขึ้นมาหน่อย เรายังเห็นคนออกมาเดินเล่นตามสวนสาธารณะอยู่บ้าง
one day in Osaka
ทำไมญี่ปุ่นไม่ตื่นตระหนก
พาดหัวข่าวตามเว็บไซต์ต่างๆ มักบอกว่าประชาชนญี่ปุ่นไม่ค่อยให้ความร่วมมือตามมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส เรายังเห็นภาพที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินเข้าออกตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ร้านอาหาร-ร้านของชำยังเปิดให้บริการตามปกติ ขณะที่โรงพยาบาลต้องแบกรับผู้ป่วยจนเกินความสามารถ
“เราคิดว่าทุกประเทศก็มีคนหลายแบบ มีคนที่แพนิคมากๆ หรือคนที่รู้สึกชิลๆ เป็นเรื่องปกติ” น้ำหวานบอก
โดยปกติ การรับผิดชอบดูแลสุขภาพตัวเองคือสิ่งที่คนญี่ปุ่นทำเป็นนิสัย
เพราะช่วงประมาณเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นช่วงที่ชาวญี่ปุ่นต้องเผชิญกับไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูอยู่แล้ว และนี่อาจจะเป็นต้นตอที่ทำให้คนญี่ปุ่นไม่ตื่นตระหนกกับโรคใหม่ คนญี่ปุ่นใส่ใจเรื่องสุขภาพอนามัยของตัวเองเป็นปกติ น้ำหวานบอกว่าคนญี่ปุ่นมีนิสัยชอบล้างมือ บ้วนปาก สวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย และกลายเป็นอนามัยเบื้องต้นที่ปฏิบัติกันมานานจนเป็นวัฒนธรรม จึงทำให้ชาวญี่ปุ่นบางส่วนมองโคโรนาไวรัสเป็นแค่ไข้หวัดอีกชนิดหนึ่ง
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2020/04/IMG_20200425_122459-750x1000.jpg)
บ้านคับแคบ แต่ Public Space กว้างมาก คนญี่ปุ่นจึงไม่อยู่บ้าน
อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือวัฒนธรรมการใช้พื้นที่ public space ของคนญี่ปุ่น
แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเนื้อที่และขนาดบ้านที่เล็กของชาวญี่ปุ่น ก็ไม่อาจขังพวกเขาไว้ในบ้านได้นานๆ
“ยิ่งในสารคดี เรามักจะเห็นว่าเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่นเขาอยากจะมีบ้านที่อยู่ใกล้ตัวเมืองแต่ไม่อยากจ่ายในราคาแพง จึงเลือกอยู่บ้านในขนาดที่เล็กมากๆ แทน ซึ่งบ้านแบบนั้นไม่ได้ดีไซน์ให้มนุษย์อยู่ในนั้นทั้งวัน ทุกวัน ทั้งเดือน”
นอกจากนี้ยังพบว่าการอยู่บ้านนานๆ ทำให้อัตราหย่าร้างในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นมาก
น้ำหวานเล่าถึงไลฟ์สไตล์คนญี่ปุ่นว่า ส่วนใหญ่ผู้หญิงมักจะเป็นแม่บ้านอยู่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงลูก ส่วนสามีจะออกไปทำงานข้างนอก จะเห็นได้ว่าชายหญิงญี่ปุ่นจะมีเวลาที่ค่อนข้างแยกขาดออกจากกันชัดเจน พอเกิดเหตุการณ์ไวรัสระบาดทำให้หลายบริษัทประกาศนโยบาย work from home
แต่ในความเป็นจริงยังมีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่ไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ เนื่องจากอาศัยในอพาร์ตเมนต์คับแคบใจกลางเมือง ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว
ศูนย์ข่าวในประเทศญี่ปุ่นรายงานว่า บริษัท Kasoku ทำแคมเปญมีชื่อว่า ‘โปรดปรึกษาเราก่อนหย่าร้างเพราะโคโรนาไวรัส’ (Please Consult with Us before Thinking about ‘Coronavirus Divorce’) โดยเปิดบริการให้เช่าที่พักอาศัยชั่วคราวสำหรับเป็นที่กักตัว ในราคา 4,400 เยน ต่อวัน (ราว 1,300 บาท) เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาของคนในครอบครัวที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันนานขึ้นช่วงโควิด จนอาจนำไปสู่การหย่าร้าง
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2020/04/IMG_20200425_161708.jpg)
ชีวิตรูทีนก่อนโรคระบาดเข้ามาทักทาย น้ำหวานมีไลฟ์สไตล์คล้ายกับมนุษย์ออฟฟิศทั่วๆ ไป ตื่นเช้าเพื่อไปขึ้นรถไฟ เข้างาน 9 โมง ทำงานเสร็จกลับถึงบ้านประมาณทุ่มหนึ่ง
ถึงแม้จะรู้สึกโชคดีที่งานด้านกฎหมายที่เธอทำอยู่ เอื้อต่อการ work from home แต่การล็อคตัวเองอยู่กับอะไรนานๆ มันก็มีความรู้สึกเบื่อ
“สำหรับเราทำงานที่บ้านมีสมาธิมากกว่า ช่วงแรกเราแอบแฮปปี้กับมันมากนะ (หัวเราะ) แต่สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าลำบากเหมือนกัน อยู่บ้านคนเดียว นั่งหน้าคอม มันก็เหงา ไม่มี work motivation เรายังเชื่อว่าการคุย face-to-face เป็นเรื่องที่ดีกว่าอยู่ดี
“อีกอย่าง ความร้ายกาจของบริษัทเรา ถึงแม้จะอนุญาตให้ work from home แต่บริษัทสามารถส่องดูได้ตลอด เขาจะรู้ทุกอย่างว่าเราใช้คอมพิวเตอร์ตอนไหน ใช้คอมทำอะไร!”
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2020/04/IMG_20200425_210156.jpg)
แม้น้ำหวานจะบอกว่าบ้านและลักษณะงานที่โอซาก้าในปัจจุบันเอื้อต่อการใช้ชีวิตมากกว่า เพราะมีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าบ้านในโตเกียวที่เคยอยู่ แต่พออยู่บ้านนานๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
“วันก่อนเราเพิ่งเดินไปร้าน 100 เยน เพื่อหาซื้อชั้นวางของ พบว่าคนเยอะมาก คนน่าจะอยู่บ้านนานๆ แล้วก็เบื่อกัน ไม่ใช่เราแค่คนเดียวที่รู้สึกเบื่อกับสภาพแวดล้อมในบ้านจนอยากจะแต่งบ้าน”
น้ำหวานบอกว่านี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นดูชิลและเห็นเขาออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ออกมาซื้อของแต่งบ้าน ออกมาจ่ายตลาด เบียร์ก็ยังขายอยู่ – เพราะเขาอยู่ในบ้านที่คับแคบไม่ได้นาน
ในวันที่ไวรัสล้อมปราสาทโอซาก้า
ไม่ว่าจะพลิกมองมุมไหน เราพบว่าการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ครั้งนี้ส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วน
“มันเริ่มล้มตั้งแต่ไวรัสตัวนี้ยังอยู่ในประเทศจีน เศรษฐกิจของญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง depend on กับประเทศจีนอยู่มาก มีโรงแรม ออนเซน หรือสถานที่อื่นๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะ แต่พอเริ่มมีเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คนจีนมาเที่ยวญี่ปุ่นน้อยลง”
น้ำหวานบอกว่าบ้านของเธออยู่ใกล้กับปราสาทโอซาก้า ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอันดับต้นๆ ในญี่ปุ่น เธอชอบขี่จักรยานออกกำลังและผ่านปราสาทอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้ปราสาทโอซาก้ากลับดูเงียบเหงากว่าทุกครั้ง
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2020/04/IMG_20200425_132032.jpg)
“พอไม่มีนักท่องเที่ยว ตลาดหรือแหล่งย่านการค้ากลางเมืองเงียบลงเยอะ ยิ่งในช่วงเสาร์อาทิตย์ ชาวญี่ปุ่นก็เลือกอยู่แค่ละแวกบ้านของตัวเอง ไม่มีใครเข้าในเมือง เรายังเห็นภาพคุณป้าสวมแมสก์ขี่จักรยานผ่านไปมา แต่ถ้าเราขยับเข้าไปมองในเมือง ในย่านท่องเที่ยว ไม่มีคนเลย
“เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดเล็ก เช่น ร้านอาหาร หรือธุรกิจอื่นๆ ที่มีผู้ประกอบการเป็นประชาชนทำกันเอง กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ก็ประสบปัญหา รายได้ของเขาเกิดขึ้นวันต่อวัน สถานการณ์นี้ทำให้หยุดชะงัก ไม่มีรายได้มาจ่ายค่าเช่า จ่ายเงินเดือน มุมนี้น่าจะคล้ายๆ ประเทศไทย”
ขินโซ อาเบะ กับความนิยมที่ลดลง
ที่ผ่านมาญี่ปุ่นเคยเจอทั้งเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะแผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุ แต่ด้วยความเคยชินและประสบการณ์จึงทำให้ญี่ปุ่นค่อนข้างรับมือได้ดี รัฐบาลจึงสามารถจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ สวนทางกับโรคระบาดครั้งนี้
“อาเบะมีวิธีการสื่อสารได้ไม่ดีนัก มีท่าทีลังเลไม่กล้าตัดสินใจตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์”
น้ำหวานเล่าย้อนเหตุการณ์ช่วงสองเดือนก่อน ในญี่ปุ่นเริ่มพบผู้ติดเชื้อในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ นโยบายอันดับแรกที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญยังคงเป็นด้านการแพทย์ หัวใจหลักคือการควบคุมยอดผู้ติดเชื้อให้เพิ่มช้าที่สุด แต่หลังจากนั้นก็มีความงงๆ ในเดือนมีนาคมเป็นเดือนที่รัฐบาลมีท่าทีไม่ชัดเจน เขาอยากจะป้องกันโรค แต่อีกใจก็ห่วงเศรษฐกิจ ทำให้อาเบะไปไม่สุดสักทาง
ซึ่งการสื่อสารที่คลุมเครือของอาเบะในฐานะผู้นำประเทศครั้งนี้ ทำให้ประชาชนญี่ปุ่นสับสน และไม่สามารถสร้างให้เกิดความร่วมมือเท่าที่ควร น้ำหวานคิดว่าปัจจุบันอาเบะกำลังสูญเสียคะแนนนิยม ถูกมองว่าไม่กล้าตัดสินใจ และเชื่องช้าในวิกฤติโรคระบาดนี้
เจ้าภาพโอลิมปิกกับความหวังในการผงาดในเวทีโลก
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ท่าทีของอาเบะดูไม่เด็ดขาด สาเหตุเป็นเพราะ ‘มหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020’
ญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นในการจัดงานโอลิมปิก ญี่ปุ่นเตรียมตัวมาอย่างยาวนาน 7-8 ปี และตั้งความหวังในโอลิมปิกครั้งนี้มาก น้ำหวานยกตัวอย่างการจัดสร้างหมู่บ้านนักกีฬาในลักษณะอาคารขนาดใหญ่เรียงต่อกันรอบอ่าวโตเกียว เพื่อรองรับนักกีฬาและทีมงานประมาณหมื่นชีวิต
“คนญี่ปุ่นรู้สึกกับโอลิมปิกเยอะมากๆ เพราะโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งสุดท้ายที่เขาเป็นเจ้าภาพตอนปี 1964 มันเป็นสัญลักษณ์การกลับมาผงาดในเวทีโลกของญี่ปุ่นหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 หลายภาคส่วนน่าจะหวังว่าโอลิมปิกครั้งนี้จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังจากช่วง lost decades (วิกฤติเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1990) ทั้งในทางเศรษฐกิจเองและทางจิตวิทยา เพราะฉะนั้นหลังจากได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพ เราว่าญี่ปุ่นพยายาม internationalize มากๆ”
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2020/04/IMG_20200425_165112.jpg)
มาตรการเยียวยาและการทำงานของรัฐบาลญี่ปุ่นท่ามกลางไวรัสระบาด
“กว่าที่อาเบะจะตัดสินใจประกาศภาวะฉุกเฉิน เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา และนำมาสู่มาตรการการเยียวยาที่ชัดเจนขึ้น”
เราอาจไม่ได้เห็นภาพศิลปินดาราหรือเหล่านักแสดงบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนในประเทศญี่ปุ่นเสียเท่าไรนัก สิ่งที่น่าสนใจและทำให้เห็นความชัดเจนของอาเบาะมากคือมาตรการแจกเงินเยียวยาให้กับประชาชนทุกคน 1 แสนเยน (ราว 30,000 บาท)
ในมุมการยื่นมือของเอกชนจึงอยู่ในรูปแบบการประกาศ work from home ของเหล่าบริษัทต่างๆ หรือการอนุญาตให้หยุดพักงานเพื่อช่วยลดการออกไปข้างนอกมากกว่า ซึ่งน้ำหวานบอกว่าสำหรับมาตรการดังกล่าวจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนไม่รู้ – แต่อย่างน้อยเราสัมผัสได้ถึงการตระหนักและร่วมรับผิดชอบของบริษัทและภาคเอกชนต่างๆ
“เราว่าญี่ปุ่นค่อนข้างชัดเจนในมาตรการเยียวยา รัฐมีแผนจะจ่ายให้ประชาชนเท่าไร มีวิธีการเยียวยาธุรกิจ SMEs หรือผู้ประกอบการอย่างไร ซึ่งถามว่าพอไหม – ก็อาจจะไม่พอ เพราะธุรกิจก็มี fix cost ที่ต่างกันออกไป แต่เรารู้สึกว่าประชาชนส่วนมากเข้าใจและพยายามหาวิธีการที่จะทำให้ตัวเองอยู่รอดในสถานการณ์นี้ เช่น ร้านอาหารประเภทอิซากายะ (Izakaya) ที่เปิดตอนกลางคืนก็หันมาเปิดตอนกลางวันเพื่อขายอาหารเพิ่มยอดขายให้ตัวเองพ้นวิกฤตินี้
“ต้องบอกก่อนว่าเมืองไทยตั้งแต่ช่วงรัฐประหาร ทำให้เรามองไม่เห็นการทำงานในลักษณะกระจายอำนาจของรัฐบาลส่วนกลางชัดเจนนัก แต่ประเทศญี่ปุ่นเราจะเห็นการทำงานแบบกระจายอำนาจที่เข้มแข็ง”
น้ำหวานอธิบายถึงขั้นตอนการทำงานของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า อันดับแรกญี่ปุ่นมีการแยกอำนาจเป็นท้องถิ่นและส่วนกลาง ซึ่งการปกครองแบบท้องถิ่นช่วยสะท้อนการออกแบบมาตรการในการรับมือกับ COVID-19 ของแต่ละเมืองได้ เช่น เมื่อต้นเดือนมีนาคมฮอกไกโดมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงมาก – ผู้ว่าฯ ฮอกไกโดจึงออกประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นมาได้โดยไม่ต้องรอรัฐบาลกลาง
หรือในกรณีในเฮียวโกะหรือโอซาก้าก็มีมาตรการขอความร่วมมืองดการเดินทางเข้า-ออกเมืองเพื่อป้องกันเชื้อ เป็นของตัวเองได้เช่นกัน
รวมถึงกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่ตามอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ในโอซาก้า ที่เขาใช้อินเทอร์เน็ตคาเฟ่เป็นบ้าน พอมีเหตุการณ์โรคระบาด ผู้ว่าฯ โอซาก้าก็ประกาศขอความร่วมมือกับโรงแรมเพื่อเปิดห้องเช่าราคาถูกให้ได้เข้าไปอยู่
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2020/04/IMG_20200425_151854-728x1000.jpg)
8 ปี จากวันนั้นจนวันนี้ ในสายตาน้ำหวาน ญี่ปุ่นเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
ญี่ปุ่นก็เปลี่ยนไป น้ำหวานมาญี่ปุ่นช่วงเดียวกับที่ญี่ปุ่นกำลังเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปีนี้พอดี
“ตอนเรามาแรกๆ นายสถานีรถไฟพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่พอซักปี 2016 ทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้หมดแล้ว อย่างน้อยก็พอจะบอกทางได้ สอนซื้อตั๋วได้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะเขาคาดหวังว่าจะมีคนมาเที่ยวบ้านเขาตอนโอลิมปิก เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาลก็อุดหนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากๆ แรงงานต่างชาติก็เยอะขึ้นด้วยเพราะต้องรับมือคนต่างชาติเยอะขึ้น ประกอบกับเป็นสังคมผู้สูงวัย จึงขาดแรงงาน แต่ปัจจุบันก็พยายามยกเลิกไอเดียการทำงานหนักๆ ทำโอทีเยอะๆ แล้ว”
นโยบายของอาเบะช่วยรณรงค์ให้คนญี่ปุ่นปฏิรูปการทำงานให้มี work-life balance และเข้ากับวิถีชีวิตของแต่ละคนมากขึ้น เช่น ให้คุณแม่เอางานกลับไปทำ telework ที่บ้านได้ ให้คุณพ่อลาเลี้ยงลูกเพื่อให้คุณแม่ไปทำงานได้ด้วย
“แต่ในความพยายามจะเปลี่ยนแปลงนั้นมันก็ยังไม่ทันกระแสโลกอยู่ดี ลองเทียบกับประเทศข้างๆ อย่างจีนหรือเกาหลี สิบปีที่แล้วสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จีนแผ่นดินใหญ่นี่มีแต่คนบอกว่าคุณภาพต่ำ ตอนนี้จีนกลายเป็นผู้นำเทคโนโลยีโลกห้ำหั่นกับสหรัฐ เครื่องใช้ไฟฟ้าเสี่ยวมี่นี่แย่งตลาดบริษัทญี่ปุ่นไปเท่าไหร่ แถมบริษัทจีนก็มาไล่ซื้อบริษัทญี่ปุ่นชื่อใหญ่ๆ อีก
“เกาหลี เมื่อสิบปีที่แล้ววงการบันเทิงยังติดอยู่แค่ในเอเชีย แต่ตอนนี้เกาหลีไปไกลระดับโลก ทั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์มี Parasite ที่เพิ่งได้รางวัล Best Picture จากเวทีออสการ์ไป แต่ค่ายบอยแบนด์ใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นเพิ่งหัดเอาคลิปตัวเองลงยูทูบเอง”
ส่วนตัวน้ำหวานแพลนไว้ว่าจะโบกมือลาจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อจัดโอลิมปิกจบ
“แต่แอบสงสารคนญี่ปุ่นนะ เขาเตรียมทุกอย่างมาตั้ง 7-8 ปี แล้วดันมีไวรัสระบาด โอลิมปิกที่จะ boost ทั้งเศรษฐกิจและความหวังของผู้คนกลายเป็นว่าจะได้จัดไหม ไม่รู้”
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2020/04/IMG_20200425_121222.jpg)
ญี่ปุ่นจะอยู่อย่างไรต่อจากนี้
หากสถานการณ์เลวร้ายขึ้นและเราต้องอยู่กับภาวะเช่นนี้ไปนานจนถึงสิ้นปี น้ำหวานตอบว่า โลกอาจจะ globalized น้อยลง ในแง่ธุรกิจอาจจะเห็นความพยายามในการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมากขึ้น เห็นแต่ละประเทศปกป้องธุรกิจในประเทศมากขึ้น
แต่ที่แน่ๆ ธุรกิจ SMEs อาจจะล้มและหายไปจำนวนมาก
“เวลาเรามาเที่ยวญี่ปุ่นเรามักจะเจอร้านอาหารเล็กๆ ที่มีความญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ร้านที่มีความมุ้งมิ้ง เป็นร้านอาหารที่เกิดจากการสืบทอดเป็นครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น ธุรกิจเหล่านี้ก็อาจจะหายไป
“ซ้ำร้ายกว่านั้น ถ้าสถานการณ์ลากยาวไปถึงสิ้นปี อาจไม่ใช่เพียงธุรกิจเล็กๆ จะโดนเล่นงาน อาจจะเริ่มมีบริษัทใหญ่ที่เริ่มเอาไม่อยู่ เริ่มเลย์ออฟคนงานจำนวนมาก และเมื่อถึงจุดนั้น ญี่ปุ่นอาจจะเกิดความ disorder ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าพลเมืองญี่ปุ่นค่อนข้างอยู่ในกฎหมายพอสมควร และถ้าเราเดินไปถึงจุดที่แย่และกดดันมากๆ คนญี่ปุ่นเลือกที่จะไม่อยู่ในระเบียบ วันนั้นญี่ปุ่นอาจจะเปลี่ยนไป
“อาเบะเองก็คงต้องดีลกับภาคธุรกิจมากมาย ซึ่งตอนแรกคงไม่ยอมอ่อนข้อ เพราะแค่ quarantine เศรษฐกิจก็แย่อยู่แล้ว ยังแย่ลงไปอีกเพราะโอลิมปิกต้องเลื่อน บวกกับความไม่มีประสบการณ์เรื่องการจัดการโรคระบาดแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจบลงอย่างไร”