ครีมผสมเอง ใช้เอง เจ็บเอง

ผลลัพธ์การค้นหาคำว่า ‘วิธีทำครีมเอง’ กับ ‘รับจ้างผลิตเครื่องสำอาง’  ผ่านเสิร์ชเอนจิ้นยอดนิยมอย่างกูเกิล (google)   ตัวเลขของผลการค้นหาคำแรกอยู่ที่ 784,000 รายการ  ส่วนคำหลัง ผลการค้นหาอยู่ที่ 968,000 รายการ

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความนิยมใน “เครื่องสำอางทำเอง” ที่แพร่หลายผ่านโลกออนไลน์ ทั้งซื้อขาย หาสูตร หรือหาแหล่งรับจ้างผลิต ที่ง่ายแค่คลิกเดียว

“เครื่องสำอางทำเอง หมายถึง เครื่องสำอางที่ผู้ใช้หรือผู้ผลิตนำเครื่องสำอางหรือสารอื่นๆ มาผสมใช้เองหรือเครื่องสำอางที่ซื้อมาจากบุคคลทั่วไป ร้านค้าทั่วไป หรือร้านจำหน่ายเครื่องสำอาง ที่นำเครื่องสำอางหรือสารอื่นๆ มาผสมแล้วพร้อมจำหน่าย”

เป็นคำจำกัดความ ‘เครื่องสำอางทำเอง’ จาก ภญ.เพลิน จำแนกพล เภสัชกรชำนาญการพิเศษ กองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข เจ้าของงานวิจัย “การศึกษาพฤติกรรมในการเลือกใช้เครื่องสำอางทำเองของกลุ่มนักเรียน : กรณีศึกษาจังหวัดเพชรบุรี”

สาเหตที่ลงพื้นที่ศึกษาในจังหวัดเพชรบุรีเพราะ  ข้อมูลของสำนักงานสาธาณสุขจังหวัดเพชรบุรี เดือนเมษายน พ.ศ.2556 พบเด็กนักเรียนหญิงใช้เครื่องสำอางทาผิวขาวจากครีมทำเอง แล้วเกิดอาการขาลาย ซึ่งเกิดหลังการใช้ครีมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน

“เด็กๆ  คิดว่าตัวเองดำ ก็เลยอยากขาว  ด้วยที่สังคมมองว่าความขาวจะทำให้ดูดี เป็นที่ยอมรับ เป็นที่ต้องตาต้องใจของเพศตรงข้าม เลยอยากขาว  เพราะคิดว่าตัวเองผิวดำ” ข้อมูลเบื้องต้นจากการสนทนากับเด็กนักเรียนชั้นมัธยมที่ประสบปัญหาขาลาย จากการทาครีมผสมเอง”

 

cosmetic-rgb5

เผยสูตร ‘ครีมผสมเอง’

จากการศึกษา พบพฤติกรรมการเลือกใช้ครีม 2 แบบ คือ

1.ซื้อครีมทำเองสำเร็จรูป คือ นักเรียนได้รับข้อมูลจากการบอกต่อๆ กันมาว่ามีครีมที่ทำให้ผิวขาวได้ จากเพื่อน รุ่นพี่ และญาติ  โดยสามารถซื้อครีมสำเร็จรูปได้จากเพื่อนร่วมชั้นหรือญาติ ในราคากิโลกรัมละ 2,000 บาท

2.นำครีมแบบต่างๆ มาผสมทำเอง คือ  นักเรียนได้รับสูตรจากการบอกต่อๆ กันมา โดยสามารถซื้อส่วนผสมต่างๆ ได้จากร้านเครื่องสำอางทั่วไป

“เราก็ไปดูถึงร้านขายเลย  ก็เป็นร้านขายเครื่องสำอางทั่วไป ถ้าเด็กเดินเข้าไปแล้วบอกว่าอยากขาว จะแนะนำสูตรและส่วนผสมให้เลย  แต่พอเจ้าหน้าที่ไปถาม จะตอบว่าไม่มี” ภญ.เพลิน อธิบาย

ทั้งนี้ ครีมผสมเอง โดยทั่วไป มีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ

1.ครีมโลชั่นทั่วไป ราคาไม่แพง 1 ส่วน

2.ครีมน้ำนม ที่มีส่วนประกอบของยารักษาโรคเชื้อราและสเตียรอยด์  ฉลากเป็นภาษาจีน ลักลอกนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย  2 ส่วน

3.ครีมโสม ซึ่งอย.ประกาศเป็นเครื่องสำอางห้ามใช้เนื่องจากมีส่วนผสมของสารปรอทและแอมโมเนีย  1 ส่วน

“มีการผสมเครื่องสำอางทำเองแบบนี้ ด้วยวิธีการง่ายๆ โดยการเอาใส่ถุงพลาสติก ใส่ชามบ้าง บีบเอา 3-4 อย่างมาผสมรวมกัน  บางทีรวมกันในจานแบนๆ แล้วใช้ไม้ไอศกรีมคนให้เข้ากันก็เสร็จแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ บางรายวิวัฒนาการมากกว่านั้นอีก เนื่องจากมีอินเตอร์เน็ต เด็กก็ศึกษาเพิ่มเติมว่า ถ้าอยากให้ผิวขาวเนียน ก็ใส่วิตามินซีเพิ่ม ใส่วิตามินเอเพิ่มให้ดูสดใส หรือไม่ก็ใส่กลูต้าเพิ่มความขาวเข้าไปอีก”

วิธีการใช้ครีมทำเอง เริ่มจากทาทั้งตัว ยกเว้นหน้าและคอ ทาวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น หลังอาบน้ำ เช็ดตัวให้หมาดๆ และข้อสำคัญในการใช้คือ หลังทาเสร็จ ต้องอบผิวโดยสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวคลุมให้มิด ห้ามผิวโดนแสงแดด

“จากการสอบถาม เด็กๆ พวกนี้ก็รู้นะว่าครีมที่ใช้มีอันตราย ถึงไม่ยอมทาหน้ากับคอไง” ภญ.เพลิน ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

หลังจากทาครีมไปประมาณ 2 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มขาว แต่พอใช้ไป 6-8 เดือน อาการข้างเคียงเริ่มปรากฎคือ อาการแตกลายช่วงต้นขา โดยไม่มีอาการเจ็บ แสบ หรือคัน

จากการพูดคุยกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่ต้นขาแตกลาย  ส่วนใหญ่หยุดใช้หลังพบอาการ และไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการแต่ไม่หาย

“ทั้งหมดไม่เคยเรียกร้องให้ผู้ขายเครื่องสำอางทำเอง ออกมารับผิดชอบต่ออาการขาลายที่เกิดขึ้น เพราะคิดว่าการใช้เครื่องสำอางทำเองเป็นไปโดยความสมัครใจ ถ้าเรียกร้องไปผู้ขายคงไม่รับผิดชอบ”

 

effect to leg

บทลงโทษไม่รุนแรง

กล่าวในส่วนของผู้จำหน่ายวัตถุดิบและส่วนผสม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบทลงโทษทางกฎหมายนั้นไม่รุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ที่ได้กลับคืนมา

“พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 ซึ่งก็ใช้กันยี่สิบกว่าปีแล้ว ระบุว่า  ถ้าผู้ผลิตเครื่องสำอางไม่มาจดแจ้ง โทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ   ถ้าขายโดยฉลากไม่ถูกต้อง โทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่มีข้อยกเว้นด้วยในวรรคสองซึ่งระบุไว้ว่า ถ้าการกระทำ/การขาย ผู้ใดขายโดยไม่ควบคุมฉลากให้ถูกต้องหรือทำโดยประมาท  โทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนผู้ผลิตครีม ใส่สารที่เป็นอันตราย จะมีโทษจำคุก 1 ปีปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ภญ.เพลิน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าขณะนี้ มีความพยายามเสนอพระราชบัญญัติเครื่องสำอางฉบับใหม่ ซึ่งอยู่ในกระบวนการแปรญัตติของรัฐสภา โดยฉบับปรับใหม่ มีการเพิ่มบทลงโทษมากขึ้น  และมีมาตราที่ว่าด้วยการควบคุมมาตรฐานการผลิตซึ่งรวมถึงผู้ผลิตและสถานที่ผลิต

 

cream

ผลข้างเคียง เสี่ยงถึงชีวิต

ระหว่างที่รอกฎหมาย ทางที่ดีและเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้ น่าจะอยู่ที่การคุ้มครองและดูแลตัวเองของผู้บริโภค โดยการศึกษาถึงอันตรายและผลข้างเคียงของสารอันตรายที่ผสมอยู่ในมครีมทำเอง

“ปรอทและแอมโมเนีย ถ้าใช้เป็นเวลานาน แน่นอนคือ ขาแตกลาย สองคือระบบไต เภสัชกรที่อยู่ร้านขายยาที่เพชรบุรี  สังเกตคนไข้คนหนึ่งที่มาซื้อยาแก้ปัสสาวะขัด กระเพาะปัสสาวะอักเสบ บ่อยมาก จนเภสัชถามว่า ทำไมหน้าขาวจัง เค้าตอบว่าใช้ครีมตัวนี้เป็นประจำ ปรอทและแอมโมเนียจึงไปทำลายระบบไต”

ต่อมาคือไฮโดรควิโนน ที่มีฤทธิ์ทำให้ผิวขาวเหมือนกัน และเป็นสารห้ามผสมในเครื่องสำอาง แต่แพทย์ผิวหนังมีสิทธิจ่ายได้เพราะถือเป็นยา ผลข้างเคียงคือ ทำลายไตและกรวยไต เช่นกัน

“ส่วนสเตียรอยด์  ทำให้ผิวบาง พอใส่ปรอทแอมโมเนียเข้าไปก็ทำให้ผิวลาย มันเสริมฤทธิ์กัน สเตียรอยด์ทำลายแทบทุกระบบ โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกัน “ ภญ.เพลิน ทิ้งท้าย

logo

Author

WAY

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า