จากผลการศึกษาของ the New England Journal of Medicine พบว่า กิจกรรมยอดฮิตในรถ อย่างการกดโทรศัพท์เพื่อโทรออกเป็นกิจกรรมที่อันตรายที่สุด เ พิ่มความเสี่ยงในการชนมากกว่าปกติ 8 เท่า
นักวิจัยใช้เวลาเก็บข้อมูลการขับรถ 12-18 เดือน จาก นักขับวัยรุ่น 42 คนในเวอร์จิเนียที่เพิ่งได้ใบอนุญาตขับขี่ และจากผู้ขับขี่ที่เชี่ยวชาญแล้ว 109 คนในวอชิงตัน โดยรถทุกคันจะถูกติดกล้อง มาตรวัดความเร็วและจีพีเอส เพื่อเก็บข้อมูล
ทีมนักวิเคราะห์ร่วมกันประเมินจากสถิติอุบัติเหตุการชนที่เก็บข้อมูลได้ “การชน” ในที่นี้หมายความถึงทุกๆ การกระทบกระทั่งกับวัตถุต่างๆ และการเกือบชน
ทีมนักวิเคราะห์นำเอาข้อมูลต่างๆ อย่างการขับเคลื่อนของรถที่ได้จากกล้องที่ติดไว้ในรถ และประเมินร่วมกับกิจกรรมต่างๆ เช่น การคุยโทรศัพท์ในรถ การกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก มองออกไปนอกหน้าต่าง และการปรับหรือหมุนวิทยุ
จากจำนวนที่ศึกษาทั้งหมด เกิดการชน 73 กรณี และเกือบชน 612 กรณี ในหมู่นักขับหน้าใหม่ การกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก ทำให้พวกเขารถชนหรือเกือบชนได้มากกว่าปกติ 8.32 เท่า และความเสี่ยงกว่าปกติ 7 เท่าเมื่อพยายามหยิบโทรศัพท์
ถ้าขับไปด้วยกดส่งข้อความหรือใช้อินเตอร์เน็ตไปด้วย จะเสี่ยงต่อการชนมากกว่าปกติ 3.87 เท่า ซึ่งปัจจุบันมีวัยรุ่นสหรัฐที่เสียชีวิตการกดหรือส่งข้อความขณะขับรถมากกว่า การเมาแล้วขับหรือการประมาทโดยผู้อื่น …มากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมองไปด้านข้างของรถ (รวมถึงมองรถที่ชนกันด้วย) ความเสี่ยงกว่าปกติอยู่ที่ 3.9 เท่า และ เมื่อกินไปด้วยขับไปด้วย ความเสี่ยงกว่าปกติ 2.99 เท่า ส่วนการดื่มน้ำ(ย้ำว่าน้ำ)และกดหรือหมุนวิทยุ อยู่ในระดับที่ปลอดภัยมากกว่า
สำหรับผู้ที่ขับรถมาจนชินถนนแล้ว การกดโทรศัพท์เป็นกิจกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการชนหรือเกือบชนมากที่สุด คือ เสี่ยงกว่าปกติ 2.49 เท่า
เหตุผลพื้นฐานของความเสี่ยงดังกล่าว คือ สมองมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบให้สามารถทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน ส่วนใหญ่ทำได้ 1 อย่างต่อ 1 ช่วงเวลาเท่านั้น
…………………………………
ที่มา : theatlantic.com