ภาคประชาชนเรียกร้อง รมว.พลังงาน แก้ปัญหาค่าไฟแพง ย้ำต้องปรับโครงสร้างราคาก๊าซ หยุดเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าใหม่ ก่อนเสียค่าโง่ FT

17 ตุลาคม 2566 เครือข่ายขับเคลื่อนค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรม ประกอบด้วยหลายองค์กรพันธมิตร เช่น สภาองค์กรของผู้บริโภค, SDG Move, Fair Finance Thailand, กรีนพีซ ประเทศไทย, สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ฯลฯ ได้เข้าพบนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือเรื่องปัญหาพลังงานที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้าที่แพงอย่างก้าวกระโดด และนำ 6,323 รายชื่อประชาชน พร้อมเสียงสนับสนุนจาก 172 องค์กร ที่ลงนามผ่านแคมเปญ #ค่าไฟต้องแฟร์ บนเว็บไซต์ https://www.energy-justice-thailand.com/ เข้ายื่นต่อนายพีระพันธุ์ ณ ทำเนียบรัฐบาล อีกทั้งนำข้อเสนอทางนโยบาย 5 ข้อ หนุนรัฐบาลแก้ไขปัญหาค่าไฟเชิงโครงสร้าง มากกว่าแค่ใช้เงินอุดหนุนหรือพยุงราคาเป็นครั้งคราว

ค่าไฟจะลดได้ปีละ 40,000-80,000 ล้าน ถ้าปรับโครงสร้างราคาก๊าซ

รองศาสตราจารย์ ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวถึงนโยบายเร่งด่วนที่ควรเกิดขึ้นทันที คือการหยุดเซ็นสัญญาแบบ PPA กับโรงไฟฟ้าใหม่ที่มีข้อผูกมัดยาวนาน 20-30 ปี เพราะทันทีที่เซ็นสัญญาจะเกิด ‘ค่าความพร้อมจ่าย’ ซึ่งจะถูกผนวกรวมในค่า FT ของบิลค่าไฟที่ประชาชนต้องจ่าย ซึ่งที่ผ่านมาแม้ไทยจะมีไฟฟ้าสำรองมากกว่าค่ามาตรฐานจนโรงไฟฟ้าหลายแห่งต้องหยุดเดินเครื่อง เพราะผลิตไฟฟ้าล้นเกิน แต่โรงไฟฟ้าเหล่านั้นกลับได้รับเงินจากประชาชนอย่างสม่ำเสมอ

“สิ่งที่ตามมาจากการเซ็นสัญญา PPA เพิ่ม จะทำให้กำลังผลิตสำรองสูงขึ้นไปอีก กลายเป็นภาระค่าพร้อมจ่ายในบิลค่าไฟฟ้าของประชาชน” 

รองศาสตราจารย์ ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์

อีกหนึ่งในข้อเสนอคือ การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ เนื่องจากไฟฟ้าของประเทศไทยมากกว่าร้อยละ 50 ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ แต่โครงสร้างราคาก๊าซกลับไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ประชาชน

“เรามีก๊าซในอ่าวไทยปริมาณมากและราคาถูกกว่าแหล่งก๊าซอื่น แต่นำไปจัดสรรให้กลุ่มปิโตรเคมีก่อน ส่วนการผลิตไฟฟ้าสำหรับประชาชน เรากลับนำเข้าก๊าซ LNG จากต่างประเทศ ซึ่งอิงราคาพูลก๊าซสากล โดยไม่นำก๊าซอ่าวไทยมารวมในต้นทุนผลิตไฟฟ้า ทำให้ราคาก๊าซที่นำมาผลิตไฟฟ้าในครัวเรือนสูงเกินจริง” 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศลดค่าไฟจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับค่าใช้จ่ายส่วนต่างนี้ แต่ผู้ที่ต้องจ่ายเงินคืนให้ กฟผ. ก็คือประชาชน 

“ในอนาคตการนำเข้าก๊าซ LNG หน่วยท้ายๆ อาจทำให้ค่าไฟสูงถึง 8 บาท ดังนั้นเราจึงควรปรับโครงสร้างราคาก๊าซ โดยนำก๊าซในอ่าวไทยมาคิดเป็นต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าก่อน แล้วค่อยให้กลุ่มของปิโตรเคมีใช้ราคาพูลก๊าซเดียวกันกับที่ กฟผ. ต้องใช้ ซึ่งจะทำให้ลดค่าไฟได้ถึงปีละ 40,000-80,000 ล้านบาท” ชาลีกล่าว

ใช้โซลาร์เซลล์แบ่งเบาภาระค่าไฟด้วย Net Metering 

ท่ามกลางโฆษณาโซลาร์เซลล์มากมาย มีสิ่งหนึ่งที่คนไทยผู้อยากก้าวเข้าสู่วงการโซลาร์เซลล์ยังขาดอยู่ และเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การติดตั้งโซลาร์เซลล์คุ้มค่า นั่นคือระบบการคิดค่าไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย หรือ Net Metering 

“ปัญหาของการผลิตไฟฟ้าบนหลังคาคือ สุดท้ายเมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ไฟฟ้าส่วนเกินที่ผลิตได้ เช่น ในช่วงกลางวัน เราอาจจะต้องปล่อยให้ไหลทิ้งฟรีๆ หรืออาจหยุดผลิตไป ทำให้เสียทรัพยากรและความคุ้มทุนไปโดยใช่เหตุ ดังนั้นถ้ารัฐมนตรีจะช่วยสร้างระบบ Net Metering ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย จะทำให้ประชาชนสามารถฝากไฟฟ้าไว้ได้ในช่วงที่มีกำลังการผลิตสูงกว่าความต้องการ และนำไฟฟ้ากลับมาใช้ในช่วงที่ไม่มีแสงอาทิตย์ได้ ทำให้การผลิตไฟฟ้าบนหลังคาเกิดขึ้นได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น” ชาลีกล่าว 

ชาลีกล่าวว่า Net Metering ไม่เพียงทำให้ประเทศไทยสามารถปลดล็อกการใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างกว้างขวาง และช่วยลดการผลิตไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลแล้ว แต่ยังทำให้ค่าไฟถูกลงได้อีกด้วย

“ดังที่เราทราบกันดีว่า ในอนาคตไฟฟ้าจากก๊าซ LNG หน่วยท้ายๆ จะมีราคาแพง แต่ถ้าเรามีแสงอาทิตย์เข้ามาเสริม ส่วนลดที่เกิดจากการใช้ก๊าซ LNG และส่วนที่เราเพิ่มจากการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์จะสามารถหักลบกันได้ จนท้ายที่สุดเมื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์มากยิ่งขึ้น ค่าไฟโดยรวมจะถูกลง”

จับตาแผนพลังงานฟอสซิลฉบับใหม่ หากประชาชนไม่มีส่วนร่วม ค่าไฟไม่มีวันแฟร์ 

เร็วๆ นี้กระทรวงพลังงานกำลังจะนำแผนพลังงานชาติ (PDP) ออกสู่สาธารณะ เพื่อขอการประชาพิจารณ์จากประชาชน ซึ่งการจัดทำแผนพลังงานชาติฉบับล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เกิดความผิดปกติกับแผนดังกล่าว กล่าวคือ ไม่มีการทำประชาพิจารณ์หรือกระทั่งเปิดเผยต่อสื่อมวลชน เครือข่ายขับเคลื่อนค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรม จึงได้เน้นย้ำกับนายพีรพันธุ์ว่า แผนฉบับนี้ประชาชนควรได้เข้าไปมีส่วนร่วมและปรับปรุง อีกทั้งภาคประชาชนยังได้ทำแผนพลังงานชาติของภาคประชาชนที่เรียกว่า ‘Green PDP’ ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นประเทศปลอดคาร์บอน 

“อีกข้อเสนอหนึ่งของพวกเรา คือการพัฒนาระยะยาว ให้ประเทศไทยมีตลาดพลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบที่สามารถรองรับพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนให้ได้มากยิ่งขึ้น เช่น หากโรงงานอุตสาหกรรมอยากส่งสินค้าไปขายที่ยุโรปและต้องการลดคาร์บอนฟรุตปรินต์ เพื่อไม่ให้โดนกำแพงภาษี 4 แบบ ท้ายที่สุดแล้วเขาต้องการแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อผลิตสินค้า ถ้าเราเปิดให้กริดส่วนกลางซื้อขายไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าโดยตรงเหล่านั้นได้ โอกาสในการแข่งขันก็จะสูงขึ้น” ชาลีกล่าวถึงโมเดลหนึ่งของตลาดพลังงานไฟฟ้าจากหลายโมเดลที่เป็นไปได้ 

‘พีรพันธุ์’ บอกรู้แล้ว รู้อยู่ รู้หมด ถ้าอยู่ครบ 4 ปี แก้ได้แน่

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน กล่าวภายหลังรับฟังข้อเสนอทางนโยบายจากเครือข่ายขับเคลื่อนค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมว่า “ผมอยากเรียนว่า ที่ท่านพูดมาทั้งหมด 90 เปอร์เซ็นต์ ผมรู้อยู่แล้วและขณะนี้ผมกำลังดำเนินการหาทางแก้ไขอยู่ ผมเข้าใจหมด แต่ปัญหาคือโครงสร้างที่เราเห็นกันอยู่มันใช้มาตั้งแต่ผมอายุ 20 กว่าปี ตกทอดต่อเนื่องมาถึงวันนี้ หลายประเด็นที่ท่านพูดมาเป็นเรื่องกฎระเบียบ กฎหมาย ถ้าผมอยู่ในตำแหน่งครบ 4 ปี หลายเรื่องที่ท่านพูดท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลงแน่นอน” 

ทั้งนี้ นายพีรพันธุ์กล่าวว่า ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหลายชุดเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในแนวทางที่ประชาชนเสนอ และกล่าวว่าตนเองตั้งใจเข้ามาแก้ไขปัญหา ขอให้เวลา ส่งข้อมูลเข้ามา และคอยดูผลงานต่อไป

#ค่าไฟต้องแฟร์ ทั้งต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม 

หลังเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หลายคนบอกว่านี่คือสัญญาณที่ดี วีรภัทร ฤทธาภิรมย์ นักรณรงค์ด้านพลังงานหมุนเวียน กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า “ดีใจที่รัฐมนตรีตอบรับและบอกว่ารู้ปัญหาแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอีก 2 ประเด็นที่เราต้องการเรียกร้องมากที่สุดคือ ต้องการให้รัฐบาลปลดระวางถ่านหินให้ด่วนที่สุด และประกาศใช้แนวทาง Net Metering ให้เร็วที่สุดตามจุดยืนที่เราได้ประกาศกับประชาคมโลก เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

ปัญหาค่าไฟไม่แฟร์นั้น ไม่เพียง ‘ไม่แฟร์’ ต่อกระเป๋าเงินคนไทย แต่ยังไม่แฟร์ต่อโลก ดังที่ชาลีกล่าวว่า Net Zero เป็นไปไม่ได้จริง หากโครงสร้างพลังงานไม่เปลี่ยน 

เช่นเดียวกับ กฤษฎา บุญชัย จากสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวถึงความกังวลเรื่องนี้ว่า ปัญหาค่าไฟไม่แฟร์นั้นสัมพันธ์กับปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ  “UN และ IPCC (คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) ให้ความเห็นว่าแต่ละประเทศทำเรื่องแผนปรับลดก๊าซเรือนกระจกยังไม่พอ และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 60 มาจากภาคพลังงาน และในจำนวนนี้มีร้อยละ 30 มาจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานฟอสซิล ดังนั้นแผนพลังงานที่รัฐบาลเสนอในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างเป็นสัญญาณที่ดี แต่เราอยากทำให้ชัดเจนขึ้นว่า เราอยากเห็นการปลดระวางพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียน”

ร่วมผลักดันนโยบาย Net Metering กับกรีนพีซ ประเทศไทย
https://act.seasia.greenpeace.org/th/solar-netmetering

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า