ร่วมถอดความจริงจากคุณสมบัติและโภชนาการล้ำๆ ของ ‘อาหารมหัศจรรย์’ ที่เรามักได้ยินเพียงคำเล่าลือในเรื่องสรรพคุณ แต่อาจไม่เคยตั้งคำถามกับมันอย่างจริงจัง ดเวน เมลเลอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโภชนาการ มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม และโฆษกสมาคมโภชนาการอังกฤษ (British Dietetic Association) จะเป็นผู้ช่วยถอดคุณสมบัติอาหารทั้ง 5 อย่างให้เห็นความจริงที่ผู้บริโภคควรทราบ
1. น้ำมันมะพร้าว
เป็นไขมันอิ่มตัว ที่เคยเชื่อกันว่าอาจนำไปสู่ภาวะอุดตันเส้นเลือดหัวใจ ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ข้อสรุปว่าไขมันอิ่มตัวจะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลทั้งดีและไม่ดี น้ำมันมะพร้าวจะไปเพิ่มปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
มีผู้แนะนำว่าน้ำมันมะพร้าวจะช่วยจัดการปริมาณน้ำตาลในเลือด เพื่อป้องกันอาการหลอดเลือดสมองตีบและอัลไซเมอร์ ซึ่งยังไม่มีการยืนยันผลจากการทดลองในอาสาสมัคร
คำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ: การรับประทานอาหารที่ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นครั้งคราว น่าจะดีต่อสุขภาพกว่าการรับประทานทุกวัน
2. น้ำส้มหมักจากแอปเปิล
ผลด้านสุขภาพที่คาดว่าจะได้รับจากการรับประทานน้ำส้มสายชูแอปเปิล หรือที่นิยมเรียกว่า แอปเปิลไซเดอร์ มีตั้งแต่ ช่วยป้องกันระบบทางเดินอาหาร อาหารไม่ย่อย แก้เจ็บคอ ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันมะเร็ง รังแค เป็นเครื่องดื่มให้พลังงาน และยังช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด
องค์การอาหารปลอดภัยแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority: EFSA) ยังไม่ให้การรับรองสรรพคุณที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เนื่องจากส่วนใหญ่การทดลองยังคงอาศัยสัตว์ทดลองหรือเซลล์มนุษย์ และเกิดขึ้นจากการควบคุมตัวแปรต่างๆ ในห้องแลบ
คำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ: ปกติแอปเปิลไซเดอร์มักใช้เป็นเครื่องปรุงอาหาร เช่น ใส่แทนน้ำมันหรือมายองเนสในน้ำสลัด หรือใช้ร่วมกับซอสต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติให้อาหาร โดยช่วยลดการเติมเกลือได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้น คุณประโยชน์ของมันอาจอยู่ที่การแทนที่เครื่องปรุงอาหารอื่นๆ ที่ดีต่อสุขภาพน้อยกว่า
3. น้ำผึ้งมานูกา
มานูกา เป็นชาชนิดหนึ่งที่พบมากแถบออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ คุณสมบัติพิเศษของน้ำผึ้งดอกมานูกาที่ได้รับการกล่าวอ้าง คือมีสารฆ่าเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติ โดยมีเมทิลไกลออกซาล (methylglyoxal) ในปริมาณมากกว่าที่พบในน้ำผึ้งทั่วไป
ผลการศึกษาระบุว่า น้ำผึ้งมานูกาสามารถบรรเทาอาการที่เกิดจากการติดเชื้อต่างๆ อาทิ อาการไอ ได้ดี แต่ไม่แน่ชัดว่าผลที่เกิดขึ้นคือผลของสารฆ่าเชื้อแบคทีเรียในน้ำผึ้งหรือมาจากสัมผัสนุ่มคอที่เป็นคุณสมบัติของน้ำเชื่อมโดยทั่วไป
คำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ: ผลทางการรักษาของน้ำผึ้งมานูกายังไม่ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ เมื่อเทียบระหว่างคุณสมบัติด้านสุขภาพที่จะได้รับในฐานะสารปฏชีวนะตามธรรมชาติ กับปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายจะได้รับเข้าไปแล้ว อาจไม่สมเหตุสมผลเท่าไรที่จะเลือกน้ำผึ้งมานูกาเป็นคำตอบแรกในการบรรเทาอาการระคายคอ
4. สาหร่ายเกลียวทอง
สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes for Health) สหรัฐ เตือนว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รับรองคุณสมบัติด้านสุขภาพของสาหร่ายเกลียวทอง หรือที่รู้จักกันในชื่อสาหร่ายสไปรูลินาอย่างเป็นทางการ
ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติในการเพิ่มระบบเผาผลาญอาหาร และอาการผิดปกติของหัวใจ การควบคุมความดันโลหิต และเบาหวาน ไปจนถึงช่วยฟื้นฟูปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า รวมทั้งอาการสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder: ADHD) เนื่องจากมีสารอาหารและแร่ธาตุต่างๆ ตั้งแต่ แคลเซียม ไนอะซิน โปแตสเซียม แมกนีเซียม วิตามินบี เหล็ก และกรดอะมิโนจำเป็นอีกหลายชนิด แต่ประเด็นคือ ไม่มีใครยืนยันว่าร่างกายจะสามารถดูดซึมสารเหล่านี้จากสาหร่ายได้แค่ไหน
คำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ: เราไม่ควรพึ่งพาสารอาหารจากสาหร่ายสไปรูลินา อาจจะดีกว่าถ้านำเงินจำนวนเดียวกันไปซื้อผักผลไม้สด แทนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมสาหร่ายมารับประทาน
5. เมล็ดเชีย
ด้วยคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ อุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิดโอเมก้า 3 แต่ร่างกายคนเราอาจไม่สามารถดูดซึมโอเมกา 3 จากพืชได้ดีเท่าจากสัตว์ อาทิ น้ำมันจากปลาแซลมอน แต่สำหรับผู้ที่ไม่รับประทานปลา เมล็ดเชีย (Chia seeds) ซึ่งแต่เดิมนิยมบริโภคกันในแถบเม็กซิโก อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ยังมีโปรตีนและกากใย เมื่อนำไปแช่น้ำก่อนรับประทาน เมล็ดจะพองตัวคล้ายเม็ดแมงลัก ที่จะช่วยลดน้ำหนักโดยลดปริมาณอาหารที่รับประทานตามปกติ ขณะที่ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติช่วยลดน้ำหนักหรือลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
คำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ: เหมาะจะเป็นส่วนผสมในขนมปังธัญพืช ขณะเดียวกัน เมล็ดฝ้ายหรือเมล็ดกัญชาก็มีปริมาณโอเมกา 3 สูงเช่นเดียวกัน การรับประทานเมล็ดเชียจึงไม่ใช่ทางเดียวที่จะทำให้ร่างกายได้รับกรดไขมันตัวนี้
จากคำยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันมะพร้าว เมล็ดเจี่ย หรือแอปเปิลไซเดอร์ รวมทั้งอาหารต่างๆ ที่กล่าวมา ล้วนยังไม่ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันความมหัศจรรย์ของพวกมัน นอกจากนี้ ส่วนใหญ่คำอธิบายสรรพคุณน่าเชื่อถือต่างๆ มาจากการตลาดและการโฆษณาแทบทั้งสิ้น
แต่ปัญหาที่พบคือ เมื่อคนทั่วไปได้รับข้อมูลคุณสมบัติของอาหารเหล่านี้ โดยเฉพาะทางออนไลน์ ก็มักไม่ค่อยตรวจสอบความถูกต้อง และเลือกที่จะเชื่อโดยไม่ตั้งคำถามหรือหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ที่มา: theguardian.com