วันที่ 16 สิงหาคม 2563
นับเป็นอีกหนึ่งวันที่บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองครั้งใหม่สำหรับใครหลายคน เพราะการชุมนุมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น ณ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นำโดยคณะประชาชนปลดแอก (Free Youth) อาจเป็นการชุมนุมครั้งแรกในชีวิต โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่วัยหนุ่มสาว
เพื่อสำรวจและบันทึกความรู้สึกของผู้ร่วมชุมนุมในเส้นทางการต่อสู้ครั้งนี้ WAY คุยกับ 3 บทบาท ทั้งนักศึกษา ผู้ที่เรียกตัวเองว่าอนาคตของชาติ, ผู้ใหญ่ที่ทำงานและขับเคลื่อนประเด็นด้านสิทธิสตรี, นักกวีผู้ที่มีประสบการณ์การร่วมชุมนุม ผ่านร้อนหนาวมากมาย
นักศึกษา: “เรามองเห็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม”
“เรารู้สึกว่าเราต้องออกมาเป็นส่วนหนึ่งของพลังในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เผด็จการกัดกินพวกเรา พวกเราคือเด็กที่จะต้องใช้ชีวิตต่อในประเทศนี้ แต่กลับมองไม่เห็นแสงสว่างในประเทศนี้ วันนี้เราจึงออกมาต่อสู้ เพื่ออนาคตของเราและเพื่อนๆ”
“ที่ออกมา เพราะเราทนไม่ไหวอีกแล้วกับความอยุติธรรมที่เห็นตามหน้าข่าว เรามีแค่กระดาษ ปากกา ไมค์ ลำโพง คุณฟังเสียงพวกเราบ้าง เราคืออนาคต วันเวลาของเราอยู่ข้างหน้า เราอยากเจอสิ่งที่ดีที่สุด เรามองไม่เห็นทิศทางของอนาคต เราก็เหมือนคนเดินหลงทาง”
“แม้จะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาจากการที่เราออกมา แต่ยินดีที่จะรับความเสี่ยงในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”
“เราเคยออกมาร่วมชุมนุมในรั้วมหา’ลัยครั้งหนึ่ง บรรยากาศวันนี้ (16 สิงหาคม) แตกต่างกันมาก บรรยากาศวันนี้คึกคักมาก ผู้คนออกมามากมาย เหมือนเราได้เจอเพื่อน เจอคนที่คิดเหมือนกัน เราเจอคนที่กำลังต่อสู้ในเรื่องเดียวกันอยู่”
“พวกเรามีมันสมองนะคะ ได้รับการศึกษา คิดวิเคราะห์แยกแยะเป็น รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในประเทศ ฉะนั้นไม่มีทางที่ใครจะมาจูงจมูกเรา เราตกผลึกความคิดด้วยตัวเอง พวกเรามองเห็นความผิดพลาด ความอยุติธรรมที่เกิดในสังคม เรารู้ได้ด้วยตัวเอง”
ตัวแทนจากภาคีนักศึกษาศาลายา
นักสิทธิสตรี: “ถึงพวกที่ใช้ชีวิตมานมนาน คุณต้องแบ่งอนาคตให้คนอื่นได้ใช้บ้าง”
“เราสนใจประเด็นสิทธิ LGBTQ+ สนใจเรื่องเฟมินิสต์ สิทธิของผู้หญิง และเรารู้สึกว่าตัวเองมีพลังพอที่จะออกมาพูดในสิ่งที่เราเคยพูดในโลกทวิตเตอร์ เอาออกมาพูดให้เป็นประเด็นสาธารณะ”
“วันนี้คณะผู้หญิงปลดแอกมีแถลงการณ์ฉบับแรกว่าด้วยประเด็นสิทธิการทำแท้งอย่างปลอดภัย เราอยากให้การเข้าถึงการทำแท้งเป็นบริการสุขภาพอนามัยอย่างแท้จริง เราจึงออกมาต่อสู้ให้มีการแก้ไขกฎหมายทำแท้ง (ยกเลิกมาตรา 301) เพราะสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงก็คือสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์เหมือนกัน”
“การพูดเรื่องสิทธิผู้หญิงในโลกออนไลน์มีข้อแตกต่างจากการสื่อสารในที่สาธารณะ ตรงที่เราได้สบตากัน ใจมันส่งถึงใจกันมากกว่า”
“นี่คือม็อบครั้งแรกในชีวิต อากาศร้อนมาก! แต่การได้เจอเพื่อนร่วมม็อบ รู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อน การได้ฟังคำปราศรัยในประเด็นต่างๆ ก็รู้สึกฮึกเหิม ครั้งหน้าถ้ามีม็อบออกมาเคลื่อนไหว เราก็อยากจะออกมาอีก”
“เจ้าของอนาคตคือเด็กและเยาวชน ถึงแม้เราจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่อนาคตที่เหลือเป็นของเด็กไม่ใช่หรือ เราควรซัพพอร์ตอนาคตของชาติ เราไม่อยากให้เด็กเดินตามเราเพราะสิ่งที่เราเคยผ่านมามันไม่เวิร์ค เราอยากให้เขาออกแบบอนาคตแบบที่เขาต้องการเอง”
“พวกคนที่ใช้ชีวิตมานานแล้วน่ะ แบ่งอนาคตให้คนอื่นใช้บ้าง”
ตัวแทนจากคณะผู้หญิงปลดแอก (Women for Freedom and Democracy)
กวี: “อะไรที่เราพอจะสนับสนุนพวกเขาได้ อาจจะไม่ต้องรอให้เด็กๆ ร้องขอ”
“เราเป็นกลุ่มกวีราษฎร์ที่เคยต่อสู้ร่วมกับชาวบ้านมาตั้งแต่ปี 53 ก็คือกลุ่มคนเสื้อแดง ตอนนั้นเรารณรงค์เรื่องการยกเลิก ม.112 เพราะเราเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน นักศึกษาหรือว่าเป็นชาวบ้าน ทุกคนควรจะมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกหรือพูดถึงสิ่งที่ไม่ยุติธรรมทั้งหลาย”
“ผู้มีอำนาจมักไม่ได้รับโทษทัณฑ์ แต่ชาวบ้านหรือกับคนอย่างเราๆ กลับได้รับโทษทางกฎหมายอย่างไม่ยุติธรรม เราก็ต่อสู้กันมาเรื่อยๆ จนมาในจุดที่ประเทศนี้… ดูแล้วอาจจะไม่มีความหวัง เพราะว่า 5-6 ปีที่ผ่านมา เราอยู่ภายใต้อำนาจที่ไม่ใช่อำนาจธรรมดา เราไม่สามารถมีปากมีเสียงหรือพูดได้อย่างเสรีภาพ มีการอุ้ม บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวาดกลัว”
“จนกระทั่งครั้งนี้มีกลุ่มนักศึกษา ซึ่งเป็นคนรุ่นลูกออกมาเคลื่อนไหว ความคิดของพวกเขาได้ดันเพดานไปไกลกว่าที่เราเคยพูดกันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราเคยคิดว่าอยากจะพูดอย่างนี้แหละ แต่ไม่ได้มีโอกาสหรือว่าอาจจะไม่กล้าพอ ไม่มีแรงสนับสนุนพอ แต่ว่าตอนนี้เราเห็นแล้วว่าเด็กๆ พูดเหมือนที่เราอยากจะพูด เราก็เลยออกมาสนับสนุน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากน้อยในฐานะประชาชนทั่วๆ ไป”
“อันที่จริงผมไม่อยากฝากอะไรถึงคนรุ่นหลังนะ เพราะเขามีความกล้าหาญมาก สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันมาจากความรู้สึกของเขา การฝากเป็นเหมือนมรดกอะไรสักอย่าง เราก็ไม่อยากจะทำอย่างนั้น ประเทศเรามันยุ่งยากเพราะเรื่องการฝากมรดกกันมานี่แหละ ผมก็เลยคิดว่าอะไรที่เราพอสนับสนุนได้ อาจจะไม่ต้องให้เด็กๆ ร้องขอหรอก”
“10 ปีที่ผ่านมา ในฐานะเคยเป็นส่วนหนึ่งของเสื้อแดง การห้ามจัดกิจกรรม ห้ามมีการพูดถึง เรารู้สึก… มันห่อเหี่ยวนะ อย่างน้อยเวลาจัดงานรำลึก เรายังได้เจอเพื่อน ผมเสียเพื่อนจากเหตุการณ์วัดปทุมฯ การกลับไป ได้รำลึกกัน มันไม่ทำให้เราสิ้นหวัง เหมือนอย่างม็อบวันนี้ ถึงแม้เราจะไม่ได้ทำอะไรร่วมกับเด็กๆ แต่เรารู้สึกมีความหวังขึ้นมาว่าประเทศเราอนาคตมันอาจจะดีกว่ายุคของเราก็ได้”
คาล รีอัล ตัวแทนกลุ่มกวีราษฎร์