ภาคประชาสังคมเฝ้าระวัง FTA ไทย-อียู รอบ 4 หวั่นกระทบยาแพง หนี้เพิ่ม บัตรทองพัง ขัดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เครือข่ายภาคประชาสังคมไทย เช่น เอฟทีเอ ว็อทช์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เครือข่ายเกษตรทางเลือก สภาองค์กรของผู้บริโภค และเครือข่ายนักวิชาการ ร่วมกันแถลงข่าว ‘เอฟทีเอ ไทย-อียู ขัดแย้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน: ยาแพง เกษตรหนี้เพิ่ม บัตรทองพัง’ ณ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เนื่องจากมีหลายประเด็นอ่อนไหวที่ต้องจับตา ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทย-สหภาพยุโรป (EU) รอบ 4 ระหว่างวันที่ 25-29 พฤศจิกายน 2567 ที่กรุงเทพฯ 

นายเฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ระบุว่า เนื้อหาการเจรจาเอฟทีเอครั้งนี้มีประเด็นอ่อนไหวและน่ากังวลหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและการเข้าถึงยา สหภาพยุโรปยังคงเสนอข้อผูกมัดเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวดกว่าความตกลงทริปส์ (TRIPs Agreement) ขององค์การการค้าโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการเข้าถึงยาและระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ เพราะถ้าไทยยอมรับข้อผูกมัดที่เข้มงวด หรือที่เรียกว่า ‘ทริปส์พลัส’ (TRIPs+) ประเทศไทยจะต้องมีค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เพราะยาจะมีราคาแพงขึ้นและขัดขวางการแข่งขันของยาชื่อสามัญที่มีราคาถูกกว่า บีบบังคับให้ต้องใช้ยาต้นแบบราคาแพงเท่านั้น สุดท้ายระบบหลักประกันสุขภาพจะมีภาระงบประมาณค่ายาเพิ่มมากขึ้นจนอาจแบกรับไม่ไหว

“สหภาพยุโรปยังคงเสนอให้ไทยยอมรับการผูกขาดข้อมูลทางยา (Data Exclusivity) การขยายอายุสิทธิบัตร (Patent terms Extension หรือ Supplementary Protection Certificate: SPC) และมาตรการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Enforcement) แม้ในการเจรจาจะปรับเปลี่ยนรายละเอียดของมาตรการต่างๆ ที่เสนอ เช่น การขยายอายุสิทธิบัตรเฉพาะในกรณีที่พิจารณาและอนุมัติทะเบียนยาล่าช้า หรือเฉพาะสิทธิบัตรหลักที่คุ้มครองสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Active Pharmaceutical Ingredient: AP) แต่ผลกระทบที่จะเกิดกับการเข้าถึงยาของประชาชนยังคงรุนแรงและไม่อาจยอมรับได้ สหภาพยุโรปควรหยุดเรียกร้องให้มีข้อผูกมัดทริปส์พลัส และผู้แทนเจรจาของไทยควรรักษาจุดยืนที่ไม่ยอมรับข้อผูกมัดนี้เหมือนอย่างที่เจรจาเอฟทีเอกับกลุ่มประเทศ EFTA”

นายนิมิตร์ เทียนอุดม คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้แทนองค์กรเอกชนด้านผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ป่วยเรื้อรัง กล่าวว่า ในการเจรจาเอฟทีเอครั้งนี้ สหภาพยุโรปตั้งเงื่อนไขและเรียกร้องให้ไทยเปิดตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่ผ่านมาประเทศไทยมี พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐที่สนับสนุนการใช้ยาที่ผลิตในประเทศ และยังมี พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่ส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม รวมถึงยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ ถ้าไทยต้องเปิดตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางยาในระยะยาว เพราะไทยต้องยกเลิกกฎหมายหรือนโยบายที่สนับสนุนการใช้ยาและเวชภัณฑ์ภายในประเทศ รวมถึงการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายาด้วย

“ที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าถึงการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างทั่วถึง เพราะผลิตในประเทศและประชาชนเข้าถึงได้ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพ ต่างจากประเทศอื่นที่ผลิตยาเองในประเทศไม่ได้ ซึ่งเห็นได้ชัดในวิกฤตโรคระบาดที่ สปสช. มีนโยบายส่งเสริมนวัตกรรมในประเทศ และได้เพิ่มแผ่นปิดกะโหลกไททาเนียมเป็นสิทธิประโยชน์ ซึ่งเป็นผลงานการวิจัยและพัฒนาของบริษัทคนไทย แต่ถ้าไทยยอมรับเรื่องการเปิดตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ไทยต้องยกเลิกกฎหมายและนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศเหล่านั้น ซึ่งจะส่งผลต่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมยาและการวิจัยและพัฒนา รวมถึงความมั่นคงทางยาของประเทศ”

นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว รองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “สหภาพยุโรปกำลังปากว่าตาขยิบและเลือกปฏิบัติ ตอนที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 บางประเทศในสหภาพยุโรปออกกฎหมายในภาวะฉุกเฉินเพื่อแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตร หรือซีแอล เพื่อจัดหายาและวัคซีนให้กับประชาชนได้โดยไม่มีเรื่องการผูกขาดด้วยสิทธิบัตรมาเป็นอุปสรรค แม้กระทั่งเมื่อการระบาดของโควิด-19 คลี่คลายแล้ว มีการเสนอกฎหมายต่อสภายุโรปเกี่ยวกับการใช้มาตรการซีแอลได้สะดวกขึ้นภายใต้ภาวะโรคระบาด แต่ในการเจรจาเอฟทีเอ สหภาพยุโรปกลับยื่นเงื่อนไขแบบทริปส์พลัสให้กับประเทศไทยเต็มไปหมด”

ทางด้าน มลฤดี โพธิ์อินทร์ นักวิชาการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ สภาองค์กรของผู้บริโภค ชี้ว่าสิ่งที่น่าห่วงกังวลอีกประการหนึ่งคือ ประเทศไทยจะถูกบังคับให้นำเข้าเครื่องมือแพทย์ใช้แล้วที่ผ่านกระบวนการผลิตซ้ำหรือผลิตใหม่

“ในขณะที่ประเทศยังไม่มีศักยภาพในการควบคุมกำกับเครื่องมือแพทย์เหล่านี้ จะส่งผลให้ผู้ป่วยอาจได้รับการวินิจฉัยและการรักษาโรคผิดพลาดหรือไม่ได้มาตรฐาน แม้แต่การจัดซื้อจัดจ้างตามโรงพยาบาลรัฐก็จะถูกบังคับห้ามปฏิเสธเครื่องมือแพทย์ re-manufacturing เหล่านี้ เกรงว่าในที่สุดไทยจะถูกเป็นที่ทิ้งขยะมือสอง”

อีกประเด็นที่สำคัญต่อผู้บริโภค ขณะนี้อาหารที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทยพบว่ายังไม่มีฉลากภาษาไทยกำกับ ไม่มีการแสดงรายละเอียดของอาหารที่ชัดเจน หากพบสารปนเปื้อนหรือสารที่เป็นอันตรายจะไม่มีระบบการเรียกคืนสินค้า รวมถึงตอนนี้ในไทยยังไม่มีมาตรการให้บริษัทออนไลน์ขึ้นทะเบียนสินค้า ไม่มีการยืนยันตัวตนเป็นผู้ค้าออนไลน์ อาจทำให้ผู้บริโภคได้ของไม่มีคุณภาพ 

นันทวัน หาญดี เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ยืนยันให้ผู้เจรจาฝ่ายไทยต้องปฏิเสธการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา UPOV 1991 ตามข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรป ดังที่เคยยืนยันหนักแน่นมาแล้วในการเจรจากับสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA)

“UPOV 1991 คือ อนุสัญญาระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นเรื่องการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ โดยให้สิทธิเด็ดขาดในพันธุ์พืชใหม่แก่นักปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งผลการศึกษาของทีดีอาร์ไอระบุว่าไทยไม่ควรเข้าเป็นสมาชิก UPOV 1991 โดยสิ้นเชิง เพราะไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับรายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญผลกระทบการเข้าร่วม CPTPP ที่ชี้ว่าเป็นประเด็นที่อ่อนไหวมากและผลกระทบรุนแรง”

เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ระบุว่า การเก็บรักษาพันธุ์พืชไปปลูกต่อ เป็นหัวใจสำคัญของระบบเกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร แต่ภายใต้อนุสัญญาดังกล่าว การเก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่อ แทบทุกกรณีมีความผิดตามกฎหมาย และถือเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ทำให้ราคาเมล็ดพันธุ์แพงขึ้น 2-6 เท่า 

ศาสตราจารย์ ดร.นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์ สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เห็นว่า การค้าระหว่างประเทศควรส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังนั้นกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และทีมเจรจาฝ่ายไทย มีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ 

“กรมเจรจาการค้าจะต้องไม่ยอมให้เกิดการแทรกแซงนโยบาย และการครอบงำเพื่อโน้มน้าวผู้กำหนดนโยบายให้เอื้อต่อภาคธุรกิจมากกว่าประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นจึงต้องเจรจาด้วยความรอบคอบ เพื่อรักษาพื้นที่ทางนโยบายของภาครัฐในการคุ้มครองประชาชน”

กรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานเอฟทีเอ ว็อทช์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางสหภาพยุโรปพยายามประชาสัมพันธ์ว่า เอฟทีเอฉบับนี้จะทำให้รัฐบาลไทยต้องลงนามเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ILO ฉบับ 87 และ 98 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและสิทธิในการรวมตัวเจรจาต่อรองทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างชาติ อย่างไรก็ตาม หากเอฟทีเอฉบับนี้ มีเรื่อง UPOV 1991, TRIPs+ และอื่นๆ ก็ไม่สามารถยอมรับได้

ทั้งนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายนนี้ ภาคประชาสังคมไทยได้นัดพบเพื่อหารือกับผู้แทนเจรจาของสหภาพยุโรปในไทย ซึ่งจะนำประเด็นในการแถลงครั้งนี้ไปนำเสนอเป็นลายลักษณ์อักษรให้ทีมเจรจารับฟังอีกครั้ง

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า