ทัศนะแรกหลังพ้นโทษของ ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’: วิกฤติครั้งนี้มันต้องเริ่มจากการเอาเด็กออกจากคุก

ไม่ต้องให้ตั้งตาคอยนานว่า ผู้ชายคนนี้จะยืนตรงจุดไหนในสถานการณ์การเมืองสีหม่น เพราะทันทีที่พ้นโทษจำคุกเพียง 1 วัน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง หนึ่งในขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองสำคัญในทศวรรษที่ 50 ก็หล่นถ้อยแถลงเคียงข้างการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว บางบทตอนบอกเล่าความในใจเรียบง่ายว่า

“พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่หยิบยื่นความเห็นใจและหยิบยื่นเกียรติยศให้พวกผม พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ตะโกนเรียกพวกเรากลางท้องถนน พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่บอกว่าเข้าใจพวกเราแล้ว และขอโทษพวกเราที่เคยเข้าใจผิด ในนามของความเป็นมนุษย์ ผมทิ้งพวกเขาไม่ได้”

บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ ทำหน้าที่ขยายความหลังการแถลงของณัฐวุฒิให้ชัดขึ้น ทั้งความเห็นต่อการที่ชื่อของเขาเองถูกอ้างอิงบนเวทีการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนรุ่นใหม่ระหว่างปี 2563-2564 ไปจนถึงข้อกล่าวหาต่อเขาและคนเสื้อแดงที่ผ่านมา ก็นำมาถาม-ตอบกันโดยไม่อ้อมค้อม

แน่นอนว่า ในฐานะดาวปราศรัยที่ ศาสตราจารย์เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน นักรัฐศาสตร์คนสำคัญของโลกเคยยกย่องณัฐวุฒิว่า “เป็นนักปราศรัยที่ปราดเปรื่องคนแรกในสยามยุคสมัยใหม่”[1] ก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องประเมินสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองให้ผู้อ่านรับรู้รับทราบด้วย และในฐานะอดีตรัฐมนตรี และ สส.เพื่อไทยแล้ว ก็น่าสนใจว่าเส้นทางการเมืองถัดจากนี้ของณัฐวุฒิจะเป็นอย่างไร ความฝันหลังออกจากกรงขังหน้าตาเป็นแบบไหน  

ถึงที่สุดแล้ว อีกด้านเขายังมีฐานะเป็นพ่อของ เด็กชายนปก ใสยเกื้อ ฉะนั้น ความคิดอ่านต่อการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวของเขาวันนี้จึงมีทั้งน้ำเสียงของคนเป็นพ่อ และผู้ใหญ่ผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางการเมือง 

และนี่คือบทสัมภาษณ์แรกหลังพ้นโทษของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 

เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านราวกับปูเสื่อนั่งฟังไฮด์ปาร์ค WAY จึงถ่ายทอดบทสัมภาษณ์ออกเป็น 2 ตอน 

ตอนที่หนึ่ง ว่าด้วยเรื่องราวของคนหนุ่มสาวที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย รวมถึงทัศนะของณัฐวุฒิต่อผู้ใหญ่ที่ถืออำนาจ 

ตอนที่สอง เส้นทางทางการเมืองของณัฐวุฒินับตั้งแต่นาทีนี้ไปจนถึงประเด็นพรรคการเมืองไทย

I: แด่คนหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ที่ถืออำนาจ

เพิ่งพ้นโทษออกมา อยากรู้ว่าชีวิตประจำวันตอนนี้ถือว่าเข้าที่เข้าทางหรือยัง

ผมซ้อมพ้นโทษมาแล้ว 3 เดือนกว่า ด้วยการติดกำไล EM (electronic monitoring – กำไลสวมข้อเท้าผู้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว) ผมใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเป็นหลัก ก็จะไม่มีอะไรแตกต่างมากไปจากปกติ เพียงแต่ว่าเสรีภาพในการเดินทาง การทำกิจกรรมต่างๆ ถูกจำกัดลง และยังอยู่ในเงื่อนไขของกรมคุมประพฤติ คือต้องไปรายงานตัว ไปอบรมธรรมะ ไปกวาดลานวัด ก็ปฏิบัติได้ ไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อผ่านเงื่อนไขต่างๆ ไปแล้ว การเดินทางและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ก็กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์

อยากให้ช่วยเล่าชีวิตที่อยู่ในเรือนจำช่วงที่ถูกจองจำ

ผมทำแฮตทริคในการติดคุกไปแล้ว ส่วนจะมีครั้งที่ สี่-ห้า-หก หรือไม่ ก็ไม่อยากนะ แต่ก็ไม่แน่ ผมคิดทุกครั้งที่เดินเข้าเรือนจำว่า นี่คือการต่อสู้อีกภาคหนึ่งของเรา ดังนั้นต้องเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะเกียรติยศศักดิ์ศรีของพี่น้องที่สู้ร่วมกันมา เราได้แบกเข้าคุกไปด้วย ถ้าข้างนอกเรายืนหยัดอย่างไร เมื่อเข้าไปข้างในจะอ่อนแอให้คนอื่นเห็นไม่ได้ ผมจึงออกกำลังกายทุกวัน พบปะพูดคุยกับเพื่อน เจ้าหน้าที่ น้องๆ ผู้ต้องขัง เป็นเรื่องปกติ เฮฮา สนุกสนาน ใกล้ชิดเป็นกันเอง

ในเรือนจำไม่มีห้องแอร์ มีแต่พัดลม ซึ่งพัดลมต้องแบ่งๆ กันเย็น เพราะคนเยอะ พัดลมก็มีน้อย เวลาออกกำลังกายก็จะถอดเสื้อแล้ววิ่งตอนบ่ายรอบๆ เรือนนอน วันละ 60 รอบ รวมๆ ก็เป็นระยะ 9-10 กิโลเมตรต่อวัน ช่วงเช้าก่อนเปิดเรือนนอนก็จะวิดพื้นสัก 30 นาที ทำอย่างนี้เป็นกิจวัตรจนเพื่อนๆ น้องๆ ผู้ต้องขังพูดว่า “ตั้งแต่เห็นคนติดคุกมา นี่เป็นคนแรกที่ปฏิบัติอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย” ผมก็บอกว่า “นี่ไม่ใช่ผมหรอก นี่แหละแกนนำคนเสื้อแดงเขาทำกันแบบนี้ นี่แหละคนเสื้อแดงเขาเป็นแบบนี้”

ผมไม่คิดจะไปยกตัว หรือแอคชั่นอะไรให้คนมีความรู้สึกว่าไอ้หมอนี่แน่มาก แต่ผมต้องการให้เขารู้จักคนเสื้อแดงในมุมของชีวิตและตัวตน ว่าการเอาเรามาขัง ไม่ได้ลดทอนความเป็นคน ไม่ได้ลดทอนหัวใจของเรา

ส่วนการกินอาหารก็เหมือนคนอื่นคือ สั่งอาหารข้างนอกเข้ามาได้ คนอื่นถ้ามีสตางค์ในบัญชีก็สั่งได้ นอนก็นอนรวมกัน ใช้ห้องน้ำเหมือนกัน จะแตกต่างจากการติดคุกครั้งก่อน และก็เป็นเรื่องเจ็บลึกๆ อยู่บ้างคือ เมื่อปี 2553 ผมเข้าเรือนจำผู้ต้องขังจะเรียก “พี่” มาเที่ยวนี้เข้าไปเขาเรียก “อา” กันหมดแล้ว ไปไหนก็อาครับๆๆ เหมือนกับอาภัพยังไงไม่รู้ (หัวเราะร่วน)

ทั้งๆ ที่เราวิดพื้นโชว์ทุกวันก็ยังเรียกอาได้ลงคอ?

ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเผลอๆ มันเรียกลุง

ตลอดปี 2563 จนถึงปี 2564 มีคนหนุ่มสาวออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย จนมีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มทยอยเข้าไปอยู่ในเรือนจำ พบเจอพวกเขาบ้างไหม

ผมได้เจอทุกคนที่เข้าไปในเรือนจำ ยกเว้นน้องผู้หญิงที่ไม่ได้เจอกันเพราะอยู่อีกที่ และได้ทราบจากครอบครัว ทราบจากทนายความหรือเพื่อนมิตรเวลาศาลเบิกตัวผมมา ว่าน้องๆ นิสิต นักศึกษาเอาคำปราศรัยบางช่วงบางตอนไปพูดบนเวทีชุมนุม เอาชื่อ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไปกล่าวบนเวทีในมิติต่างๆ ผมก็ดีใจนะ ในที่สุดสิ่งที่เราต่อสู้มามีคนจดจำ เก็บเกี่ยว และเอาไปใช้ประโยชน์ต่อ แต่ที่ดีใจมากๆ จนผมน้ำตาคลอ จากที่ได้รับรู้มาคือ เขาบอกว่าคนหนุ่มคนสาวเขาเรียกหาคนเสื้อแดง เขายกย่องคนเสื้อแดง แสดงว่าเขาเข้าใจ บางคนบอกว่าอยากกล่าวคำขอโทษด้วยซ้ำไป ตรงนี้มันเป็นพลังในใจของผมมาก

ผมรู้สึกอยู่เสมอมาว่าคนเสื้อแดงน่าสงสาร ผมไม่ได้พูดเพราะว่าผมเป็นแกนนำแล้วมาสร้างดราม่า แต่ว่าคนกลุ่มนี้น่าสงสารจริงๆ สิบกว่าปีไม่รู้ต้องเจออะไรบ้าง แล้ววันนี้ยังสู้อยู่ ยังเป็นคนเสื้อแดงอยู่ ดังนั้นถ้ามีใครสักคน สักกลุ่ม หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้ก็เป็นเรื่องที่เราภาคภูมิใจ

พอมีการเคลื่อนไหวมากเข้าๆ ก็เริ่มมีน้องๆ ทยอยเข้ามาในเรือนจำ ผมไม่เคยรู้จักใครมาก่อนเลย นอกจาก อานนท์ นำภา เพราะเขาเป็นทนายความให้จำเลยคนหนึ่งในคดีก่อการร้ายของคนเสื้อแดง ส่วนเพนกวิน (พริษฐ์ ชิวารักษ์) เคยเจอกันครั้งสองครั้งในงานกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ก็ไม่เคยได้นั่งพูดนั่งคุยกัน ไผ่ (จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) ก็เจอกันในงานเดียวกับเพนกวิน รวมถึงไมค์ (ภานุพงษ์ จาดนอก) ที่เข้าไปในเรือนจำชุดแรก

จากนั้นก็มีคนทยอยเข้าออก เนื่องจากผมติดตามข่าว พอทราบว่าใครจะเข้ามา ผมก็เตรียมขันน้ำ ผ้าเช็ดตัว สบู่ อุปกรณ์เครื่องใช้ประจำวัน แล้วก็ข้าวปลาอาหารเท่าที่จะหาได้ จัดไว้ให้น้องๆ ตอนที่ผมอยู่ (ก่อน 17 ธันวาคม 2563) เขาเข้าไปในเรือนจำสัก 8-10 วัน อยู่ไม่เกิน 14 วัน จะต้องอยู่ในช่วงของการกักโรค หมายความว่าคุณจะต้องอยู่บนเรือนนอน 24 ชั่วโมง ออกไปไหนไม่ได้ ญาติมาเยี่ยมไม่ได้ เงินในบัญชียังไม่สามารถโอนเข้าได้ ยกเว้นว่ามีทนายมาเยี่ยมก็จะเบิกตัวลงมาได้

นอกจากนั้นจะมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ หรือเจ้าหน้าที่หน่วยนั้นหน่วยนี้มาเยี่ยมเรื่อยๆ ก็จะถูกเบิกขึ้นเบิกลงบ่อยหน่อย ผมก็ได้เจอกันช่วงนั้นแหละ เพราะเขาได้ลงมาข้างล่าง เพราะผมเป็นผู้พักอาศัยในแดนสองไปแล้ว เป็นขาประจำ พวกเขาขาจร

อย่างที่ผมแถลงข่าวไป ผมเห็นอย่างหนึ่งในตัวพวกเขา มันปกปิดอย่างไรก็ไม่มิด และก็เป็นความจริงคือเขาเป็นเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องๆ ที่อายุ 20 ต้นๆ อย่างเพนกวิน อย่างไมค์ สองคนนี้เขาดูน่าจะสนิทกัน ส่วนอานนท์ก็จะห่างกันไม่มากอายุห่างกับผมราวๆ 10 ปี เขาจะนิ่งๆ ขรึมๆ แต่ว่าตลกลึกอยู่ในตัว มุกของอานนท์นี่ก็จะแปลกๆ เช่น

วันหนึ่งนั่งกันอยู่สองคน เขาก็ดูผมจัดข้าวของ เตรียมเอาไปให้น้องๆ ข้างบน อานนท์บอกว่า “ผมคิดๆ ดูแล้ว สถานการณ์แบบนี้มีพี่อยู่ในนี้แล้วดีมากเลยนะ” ผมก็หันขวับมาว่า “เฮ้ย! ทำไมเอ็งพูดงั้นวะ” เขาบอกว่า “อ้าว เวลาพวกผมเข้ามาแล้วมีพี่อยู่นี่มันสบายมากเลย” ผมก็บอกว่า “เฮ้ย! พี่ทำให้เฉพาะเวลาที่ต้องอยู่นะเว้ย วันไหนออกแล้ว ออกเลยเหมือนกัน ไม่คอยนะ”

เห็นพวกเขาแบบนี้แล้ว อยากจะบอกอะไรกับคนอื่นๆ

(หยุดชั่วครู่)

ผมอยากให้ผู้มีอำนาจ หรือใครที่มองว่าน้องๆ เหล่านี้เป็นปฏิปักษ์ ท่านดูดีๆ คนพวกนี้ไม่ใช่วายร้าย เขาเป็นพลังบริสุทธิ์ อย่าไปทุบตี อย่าไปทำอะไรเขาเลย ผมคนหนึ่งที่รับไม่ได้ และผมบอกกับผู้ต้องขังคนอื่นในเรือนจำว่า พี่รู้เพียงว่าเขาเป็นคนหนุ่มคนสาวที่รับไม่ได้กับสภาพสังคมที่รุ่นผู้ใหญ่ส่งต่อให้เขา แล้วเขาออกมาแสดงพลังเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อผมได้ยินว่า ข้างนอกมีลุงๆ ป้าๆ เสื้อแดงคอยหาข้าวหาปลา หาขนมที่พอจะหยิบจับได้เพื่อดูแลเด็กๆ เมื่อเขาต้องเข้ามาในเรือนจำ ผมก็จะทำหน้าที่คนเสื้อแดงในเรือนจำ

มีอยู่ครั้งหนึ่งผู้ต้องหาชุดของไผ่เข้ามาในเรือนจำทีเดียวประมาณ 17 คน แล้วคุณคิดดูเด็กหนุ่มกำลังกินกำลังนอน 17 คน เข้าไปอยู่พร้อมๆ กัน ผมก็สั่งของทีสามตะกร้าแล้วต้องแบกขึ้นไป น้องๆ ผู้ต้องขังอื่นก็ช่วยกันแบกตะกร้าสอง ตะกร้าสาม เดินเอาไปให้ แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยเรื่องการเมืองกัน เพราะเวลามันสั้น ก็ให้กำลังใจพวกเขา เห็นบางคนดูซึมๆ ดูเป็นทุกข์ ก็พยายามบอกพวกเขาว่า “คุณเข้ามาอยู่ในนี้เพราะคุณเป็นนักสู้ ไม่ใช่นักโทษ เมื่อไหร่ก็ตามที่เดินออกไป ก็ขอให้เดินออกไปอย่างทระนงองอาจ”

เราไม่ได้หารือแลกเปลี่ยนแนวคิดแนวทางการต่อสู้ เพราะว่านั่นเป็นเรื่องของพวกเขาเต็มๆ ผมไม่ได้เกี่ยวข้อง เพราะเราอยู่ข้างใน แต่ผมก็ทำหน้าที่ของผม ตามที่คิดว่าควรทำ อย่างที่บอกไป ผมเป็นคนเสื้อแดงคนหนึ่ง ผมไม่สามารถทำอะไรให้คนเสื้อแดงได้หลายๆ อย่าง ทั้งๆ ที่ผมก็พยายามและอยากจะทำ แล้วน้องๆ กลุ่มนี้ซึ่งโตมาทีหลังแล้วเขาทำให้ แล้วก็ให้ในสิ่งที่สำคัญมากคือ ให้ความเข้าใจ ให้ความเห็นใจ และให้เกียรติยศกับคนเสื้อแดง ผมปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างอื่นไม่ได้

คงพอเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมหลังจากพ้นโทษถอดกำไล EM มาหนึ่งวัน คุณจึงประกาศสานต่อเจตนารมณ์คนเสื้อแดง และยืนเคียงข้างกับคนหนุ่มสาว มีเหตุผลอื่นอีกไหมที่ตัดสินใจเช่นนี้

เจตนารมณ์ของคนเสื้อแดงไม่เคยขาดหาย เราเชื่อในหลักการประชาธิปไตย เชื่อในหลักการว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชน เพราะฉะนั้นเมื่อน้องๆ เขาเชื่อในสิ่งนี้ ก็เป็นเรื่องที่มันสัมผัสกันได้ ส่วนการยืนเคียงข้างนิสิต นักศึกษา คนหนุ่มสาว เพราะผมมั่นใจว่าเขาเป็นพลังบริสุทธิ์ และผมคิดว่าอนาคตของชาติควรได้รับการปฏิบัติจากรัฐดีกว่านี้

ถ้าวันหนึ่งพ่อแม่ทะเลาะกันมาสิบกว่าปี แล้วลูกลุกขึ้นตะโกนขึ้นกลางบ้าน ทุกคนต้องตั้งใจฟังพวกเขา แก้ปัญหาให้เขา หรือไม่ก็แก้ปัญหาร่วมกันกับพวกเขา คิดจะอยู่ร่วมกันให้ได้ เดินหน้าไปด้วยกันให้ได้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่รวดเร็วและเชี่ยวกราก ไม่มีสังคมไหนอยู่เหนือความเปลี่ยนแปลง ไม่มีบริบท ไม่มีภูมิทัศน์ทางการเมือง ทางสังคม ทางเศรษฐกิจใดๆ ที่หยุดนิ่ง

อย่าให้พลังบริสุทธิ์ที่เขาแสดงออกมา บอบช้ำ เสียหายไปมากกว่านี้ คนแบบเพนกวิน คนแบบรุ้ง (ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล) หรือใครต่อใคร ไม่ควรต้องมาแบกรับภาระนี้ ไม่ควรต้องมารับผิดชอบกับผลพวงของความขัดแย้งนี้เลย เพราะเขาไม่ได้เกี่ยวข้อง ในวันเริ่มต้นของความขัดแย้ง เขายังเป็นเด็กประถม ยังไม่เข้ามัธยมด้วยซ้ำไป

พูดอย่างนี้หมายความว่าปัญหาของการเมืองตอนนี้ มันสืบเนื่องมาจากการเมืองยุคเหลือง-แดง

มันเรื่องเดียวกัน

แต่ว่าข้อเสนอของคนหนุ่มสาวตอนนี้ ไปไกลกว่าข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงในตอนนั้น คุณมีข้อสังเกตหรือมีจุดยืนอย่างไรต่อข้อเรียกร้องของคณะราษฎร

มันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม วันใดวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้น ดังนั้นเราต้องมองอย่างเข้าใจและเรียนรู้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย คนหนุ่มคนสาวที่ออกมาสู้จนถึงวันนี้ เขาก็ผ่านบทเรียนมาหลายบทหลายตอน และก็คงเกิดการเรียนรู้อะไรขึ้นมากมาย ผมเทียบจากตัวเอง วันที่ 23 มีนาคม 2550 คือวันแรกที่ผมขึ้นยืนปราศรัยบนเวทีต้านรัฐประหาร วันนี้ 2564 ย้อนกลับไปมีเรื่องราวหลายอย่างที่ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยผ่าน ไม่เคยพบ แต่วันนี้ผมได้พบ

เวลานั้นผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ลงให้ใครง่ายๆ อะไรก็จะลุย อะไรก็จะบุก หันไปมองพี่วีระ (วีระกานต์ มุสิกพงศ์) บางทีก็อึดอัด เพราะแกจะชวนคิด ชวนปรึกษากันนานเหลือเกิน เราจะชกหมัดเปล่าใส่สนับมือ แกจะใส่นวมหนาปึ้ก แต่พอมาถึงวันนี้เราเห็นน้องๆ เยาวชน สถานการณ์ที่ผ่านไปก็จะทำให้พวกเขาตกผลึก มีมิติทางความคิดที่เพิ่มขึ้นพร้อมๆ กับสถานการณ์ที่มีพัฒนาการขึ้นไปทุกที

ผมว่าต้องมองอย่างเมตตา และผมว่ามันต้องเข้าใจพวกเขาจริงๆ โดยบริสุทธิ์ใจนะ

ผมไม่เชื่อว่าพลังนี้จะมุ่งหมายโค่นล้มทำลายสถาบัน ผมไม่เชื่อ ถึงจะมีบางคนบางส่วนที่คิดอย่างนั้น ผมก็ไม่คิดว่าพลังอย่างนี้จะไปทำอันตรายสถาบันอย่างที่ถูกกล่าวหาได้ ดังนั้นผมคิดว่าเราหาทางออกจากปัญหานี้ด้วยสันติเพื่อคลี่คลายสถานการณ์นี้ได้ แต่มันต้องเริ่มต้นด้วยการเอาเด็กออกจากคุกก่อน

เอาเด็กออกจากคุก แล้วเรามาแก้ปัญหากัน ไม่ต้องทุบตี ไม่ต้องเผชิญหน้ากันก็ได้ เอาเหตุผลมาว่ากัน เอาความจริงมาว่ากัน เคารพในปรากฏการณ์ที่เป็นจริง เข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง

บางคนก็เสนอเหมือนกับคุณณัฐวุฒิ และก็มีคำถามตามมาว่ารูปธรรมคืออะไร ใครจะเป็นเจ้าภาพ ข้อเสนอหนึ่งมาจาก คุณจตุพร พรหมพันธ์ุ บอกว่าให้ตัดข้อเสนอข้อ 3 ของคณะราษฎรออก แล้วมาไล่ประยุทธ์ร่วมกัน นี่คือทางออกหนึ่ง มีความเห็นอย่างไร

การขับไล่พลเอกประยุทธ์เป็นจุดร่วมของคนจำนวนมากอยู่แล้ว ส่วนข้อเสนอของเยาวชนที่เสนอมา เราต้องเข้าใจธรรมชาติการต่อสู้เสียก่อนว่า เขาประกาศยืนยันข้อเรียกร้องเหล่านี้มาเนิ่นนานแล้วจนมีคดีติดตัวกันหลายสิบคดี เดินมาไกลจนถึงจุดนี้ อยู่ๆ จะไปให้เขาล้มเลิกเพิกถอนก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้นต้องมองใหม่ว่าข้อเสนอทั้งหมด เอาล่ะ รับรู้ รับทราบ เข้าใจแล้วว่าต้องการแบบนี้ จะหาทางออกกันแบบไหน จะใช้เครื่องมืออันใด ก็ต้องคุยกันสิ ไม่ใช่ไล่ทุบ ไล่ตี ไล่จับ เอาเด็กไปขัง

ผมเชื่อว่าคนที่เขาออกมาต่อสู้ เขารู้ว่ามันคือการเดินทางไกล ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นฉับพลันทันที ผมเชื่อว่าลึกๆ แล้วหลายคนรู้ แต่ว่าผู้ถืออำนาจเจตนาจะไม่รู้ เจตนาจะวาดภาพให้ขบวนการต่อสู้ทั้งหลายเป็นขบวนการที่มุ่งร้าย ทำลายประเทศ มุ่งร้ายทำลายสถาบันเป็นด้านหลัก

แล้วก็เอาข้อกล่าวหาเหล่านี้ไปกระทำต่อพวกเขา ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับใครเลย ไม่เป็นผลดีกับเด็กแน่ๆ เพราะถูกกระทำ และไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง และผมว่าจะไม่เป็นผลดีต่อสถาบัน

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และขบวนการ นปช. ก็เคยโดนการตีตราในลักษณะนี้มาก่อนคนหนุ่มสาว และหนึ่งในนั้นคือข้อกล่าวหาที่ว่าคนเสื้อแดงเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง แม้ว่าคดีความจะสิ้นสุดแล้ว ข้อกล่าวหานี้ก็ยังดำรงอยู่ คิดอ่านอย่างไรกับเรื่องนี้

ผมเฉยชินกับข้อกล่าวหาต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายตรงข้าม หรือบางทีฝ่ายเดียวกันที่มีคำถามกับการเคลื่อนไหวของเรา แต่สิบกว่าปีผ่านมา เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ผมก็คือผม ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามเขากล่าวหา แล้วคนส่วนใหญ่เขาเชื่อ ผมเดินมาถึงวันนี้แบบนี้ไม่ได้ หรือว่าแม้กระทั่งการตั้งคำถามจากฝ่ายเดียวกัน ถ้าหากถึงที่สุดพิสูจน์ทราบว่าผมเป็นเช่นนั้นก็คงเดินต่อไม่ได้

ผมผ่านข้อกล่าวหาสารพัด วันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าพ้นจากข้อกล่าวหานั้นนะ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาในทางการเมือง ทั้งเรื่องผู้ก่อการร้าย เรื่องเผาบ้านเผาเมือง แต่เมื่อเราก็คือเรา วันหนึ่งคนก็เข้าใจ หรืออย่างน้อยที่สุดเขาจะเริ่มรับฟังเรามากขึ้น เพราะเขาเห็นแล้วว่าคนคนนี้ ยืนอยู่ตรงนี้ไม่เคยเปลี่ยนที่ยืน ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ฝุ่นฟุ้งไปหมด เมื่อฝุ่นจาง เมื่อฝนสงบ ก็พบว่าเรายืนอยู่ที่เดิม

แน่นอนเราคงได้เห็นว่าหลังจากที่คุณแถลงข่าวครั้งแรกหลังพ้นโทษ จนเป็น Topic of the Day แต่อีกฟากฝั่งหนึ่งก็มีการอ้างคำปราศรัยเรื่อง “เผาเลยพี่น้อง” มาโจมตีอีก จะอธิบายกรณีนี้อย่างไร

ผมพูดเรื่องนี้ไปเยอะแล้วว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนละกรรม คนละวาระ กับการชุมนุมใหญ่ที่ผ่านฟ้า ที่ราชประสงค์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ถ้าดูคลิปนั้นเพิ่มอีกสัก 2 นาที จะรู้ว่ามันคนละเรื่องกัน ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณสั่งเผาตึก เผาห้าง ไม่ได้เกิดขึ้น ณ ห้วงเวลาที่มีการชุมนุม คลิปนั้นที่ผมพูด พูดที่เขาสอยดาว ช่วงต้นปี 2553 (การปราศรัยเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2553 ที่เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี) ยังไม่มีการนัดหมายชุมนุมใหญ่ที่ผ่านฟ้า ที่ราชประสงค์เลย (การชุมนุมใหญ่ครั้งแรกที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553)

คลิปนั้นถูกหยิบเอามาตัดเหลือเพียงไม่กี่วินาที แล้วเผยแพร่ในช่วงเวลาที่ผมติดคุกอยู่ 9 เดือน เวลานั้นผมไม่มีโอกาสได้ชี้แจง เมื่อเวลาผ่านไป คนส่วนหนึ่งจึงสลักใจเชื่อว่าเป็นความจริง เรื่องนี้ในทางคดีความศาลได้ยกฟ้องกรณีไฟไหม้ห้างไปแล้วทุกคดี แม้แต่คดีก่อการร้าย

พยานปากเอกของฝ่ายโจทก์ในคดีนี้คือ คุณถวิล เปลี่ยนสี ในฐานะเลขาธิการ ศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) เวลานั้น ขึ้นเบิกความกับศาล ด้วยการเอาคลิปที่ตัดออกนี้แหละไปเปิด แล้วบอกว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้พูดแบบนี้ในวันที่ 8 เมษายน 2553 ที่แยกราชประสงค์ เมื่อถึงคราวทนายความของผมถามค้าน จึงเอาคลิปนี้ไปเปิดอีกครั้ง แต่ว่าเปิดเพิ่มอีก 2 นาที ให้คุณถวิลดู แล้วถามคุณถวิลหน้าบัลลังก์ศาลว่า พยานยังจะยืนยันไหมว่า จำเลยพูดที่ราชประสงค์ในวันที่ 8 เมษายน 2553 ถ้าพยานยังยืนยัน จำเลยจะใช้สิทธิฟ้องกรณีให้การเท็จ คุณถวิลก็เปลี่ยนคำให้การ

คำเบิกความจึงระบุว่า เข้าใจผิดมาตลอด เพิ่งมารู้วันนี้ว่าคนละเหตุการณ์กัน นี่เป็นข้อเท็จจริงนี่ปรากฏในสำนวนคดี และผมเล่าเรื่องนี้ผ่านสื่อหลายรอบแล้ว ถ้าไม่จริงสักคำ คุณถวิลซึ่งเป็นคนที่ถูกอ้างอิงต้องออกมาโต้แย้ง แต่ว่านี่มันเป็นสถานการณ์การต่อสู้ทางการเมือง การที่ยังมีคนเอาเรื่องเดิมๆ ซึ่งไม่ตรงข้อเท็จจริงและเก่าเป็นสิบปีมาโจมตีกันในวันนี้ ถ้าคิดอีกมุมหนึ่งก็แสดงว่าไม่มีประเด็นใหม่ ไม่มีเรื่องหลักการ ไม่มีเรื่องเหตุผล ไม่มีเรื่องข้อเท็จจริงอะไรที่จะพูด

II: เส้นทางทางการเมือง และพรรคการเมืองในใจ

คนมักจดจำคุณในฐานะเป็นผู้นำมวลชน แต่อีกบทบาทหนึ่งคือ การเป็นนักการเมือง และยังทำงานกับพรรคการเมืองมาอย่างยาวนาน อยากรู้ว่า คุณวางเส้นทางการเมืองนับจากนี้ไว้อย่างไร

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี จากคำพิพากษา กฎหมายห้ามลงสมัคร สส. ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะฉะนั้นถ้าหากตัวบทกฎหมายยังเป็นแบบนี้ จะเห็นผมไปยืนพูดในสภาภายใน 10 ปีนี้ คงเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงประการใดก็ค่อยว่ากันในเรื่องของอนาคต

แต่การเมืองของผม ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นหรือไม่ได้เป็นผู้แทนฯ ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็น สส. มาก ผมอยู่หน้าเวทีปราศรัยของพรรคการเมืองมาตั้งแต่ 8-9 ขวบ มีแม่คอยพาไป ตอนนั้นจะมีเวทีของพรรคเดียวเท่านั้นที่มีให้ผมดู ก็คือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนักพูดเขาเยอะ แล้วก็มีแฟนหนาแน่น แต่แปลก เห็นแต่ประชาธิปัตย์ปราศรัยมาจนโต แต่ไม่เคยคิดอยากเข้าพรรคประชาธิปัตย์

เพราะอะไร

ผมคงไม่ได้เกิดมาเพื่อเดินทางนั้น จึงไม่เคยแม้แต่จะไปเสนอตัวใดๆ ปกติในภาคใต้ผมเข้าใจว่าส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าหากสนใจการเมืองคงอยากจะเดินไปหาพรรคประชาธิปัตย์ เพราะโอกาสได้มันเยอะ โอกาสที่จะก้าวต่อไปทางการเมืองมันกว้าง แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น

ผมพยายามเข้าไทยรักไทยตั้งแต่ยุคแรก แต่เข้าไม่ได้เพราะที่มันเต็ม โนเนมเกินไป ก็เดินไปที่พรรคชาติพัฒนา เขาก็ตอบรับให้ลง สส. ชีวิตก็ดำเนินเรื่อยมาจนถึงวันนี้ นั่นคือเจตนาในวัยเด็ก มาถึงตรงนี้ เป็นหรือไม่เป็น สส. เป็นหรือไม่เป็นรัฐมนตรี มีตำแหน่งทางการเมืองอีกหรือไม่ สำหรับผมเป็นเรื่องเล็กมาก

ไม่ได้พูดเอาเท่เอาหล่อ แต่ผมไม่สนใจ ถ้า (เน้นเสียง) ได้กลับไปทำงานการเมืองในระบบอีกก็จะทำ เพราะมันสามารถทำอะไรได้มากขึ้น สามารถเอาพลังที่เรามีไปขับเคลื่อนบ้านเมืองให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการ หรือให้มันเป็นประโยชน์กับประชาชนได้มากขึ้น แต่ถ้าได้ยืนอยู่กับประชาชน โดยไม่มีตำแหน่งอะไรใดๆ อีกแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเอามาเสียใจ

ส่วนงานการเมือง เรื่องพรรคการเมือง ประการใดอย่างใดต่อไป คำตอบอยู่ในกาลเวลา เมื่อเวลามาถึง คำตอบมันก็จะมาพร้อมกัน แต่เอาเป็นว่าผมไม่ได้กลับไปเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เวลานี้ก็เป็นอิสระ

พรรคการเมืองในฝันของคุณหน้าตาเป็นอย่างไร

เป็นพรรคการเมืองที่ยืนบนหลักการประชาธิปไตยชัดเจน ผมเขียนสโลแกนในวันแถลงข่าวหลังพ้นโทษว่า ‘มั่นคงในหลักการ ซื่อตรงต่อประชาชน’ พรรคการเมืองที่อยากเห็นต้องเป็นแบบนั้น และมีศักยภาพในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน ซึ่งปัญหาสำคัญที่สุดก็แน่นอนคือเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ

พรรคการเมือง มันจะมั่นคงชัดเจนในจุดยืนเพียงอย่างเดียวไม่พอ มายืนเฉยๆ เดินไม่เป็นเลย ไม่ได้ มันต้องเดินเป็นด้วย แก้ปัญหาจริงได้ด้วย แต่คุณจะเดินจากรากที่ไร้จุดยืนไม่ได้ คุณจะยืนจากรากที่มีจุดยืนที่รับใช้ต่ออำนาจ สนองต่อวิถีเผด็จการ ก็ไม่ได้ แต่ถ้าหากกอดหลักการ ทำงานไม่เป็น ถ้าหากหลักการเด่น เล่นแต่การเมือง แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ไม่มีขีดความสามารถ ก็อย่าทำเลย

พรรคการเมืองแบบนี้จะเกิดได้ไหมในรัฐธรรมนูญนี้ บางคนบอกว่าไล่ประยุทธ์ออกก็พอ แล้วรัฐธรรมนูญนี้ค่อยว่ากันทีหลัง

ถ้าประเมินความต้องการของผู้ถืออำนาจ พวกเขาอยากเลือกตั้งในกติกานี้แน่ และผมค่อนข้างเชื่อว่า กติกานี้จะถูกใช้ในการเลือกตั้งอีก อย่างน้อยหนึ่งครั้ง สมมุติว่ามีการไล่พลเอกประยุทธ์ แล้วพลเอกประยุทธ์ไปจนมุม หลบไปนั่งไขว่ห้างอยู่ที่ไหนสักแห่ง ไปไหนไม่รอดแล้ว แกก็จะประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ในกติกาที่ได้เปรียบสูงสุด

ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในระยะสั้น ถ้าพูดกันบนความจริงทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กระนั้นก็ตาม ไปท้อถอยไม่ได้ ข้อเรียกร้องนี้ก็ต้องเดินหน้าต่อไป ผมอยากเห็นการเลือกตั้งในกติกานี้ คือไม่ได้อยากรักษากติกานี้ไว้นะ แต่ความจริงมันมีแนวโน้มจะต้องใช้กติกานี้ต่อ

ผมอยากเห็นคะแนนของประชาชน มันชนะท่วมกติกา คุณไปดูกติกาของพม่า อัตราความขี้เหร่ ไม่ได้เป็นรองกันนะ มินอ่องหล่าย กับ มายอ่องตู่ นี่ใกล้เคียงกันมาก แต่ประชาชนที่นั่นเลือกจนท่วมท้น เลือกจนกติกาหงายหลังไปเลย

เมื่อประชาชนในประเทศหนึ่งทำได้ ประชาชนอีกประเทศหนึ่งก็ต้องทำได้ ผมฝันจะเห็นแบบนั้น เพราะนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอำนาจกลับคืนสู่ประชาชนโดยสันติ ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย ที่ผมพยายามเรียกร้องผู้มีอำนาจ ให้เข้าใจเด็ก ให้เลิกการกระทำใดๆ ต่อเด็ก เพราะผมกลัว 

ความกลัวของผมไม่ได้เกิดจากความขี้ขลาด แต่ผมกลัวเพราะผมเคยเจอ ผมเคยเป็นแกนนำที่ประชาชนผู้ร่วมต่อสู้ถูกยิงตายเป็นร้อย แล้วมันไม่เกิดอะไรขึ้นในทางกฎหมาย ไม่มีใครรับผิดชอบในทางคดีความ ประทานโทษ…คดีความยังไม่ถึงศาลด้วยซ้ำ มันเป็นความเจ็บปวด สิบกว่าปีมาแล้วที่ผมตามเรื่องทุกวิถีทาง ไปในทุกองค์กร แล้วมันก็วนกลับมาที่เก่า

คือกำลังพูดถึงคดีความที่สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง?

ใช่ ถ้ามันจะเกิดขึ้นกับคนหนุ่มคนสาวกับเยาวชน ผมไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเจอกับสิ่งเหล่านี้ แล้วคนที่ยังเหลือชีวิตรอด ต้องมารู้สึกเจ็บปวดแบบที่ผมเป็น มันอาจจะดูโรแมนติกเกินไป อาจจะดูเป็นภาพฝันๆ มัวๆ เกินไป แต่ผมมีสิทธิฝันว่า ถ้าหากไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะเฉพาะหน้า วันเวลามันเดินไปเรื่อยๆ ถึงที่สุด รัฐบาลนี้ก็ต้องหมดวาระ ก็ต้องมีการเลือกตั้งอยู่ดี

แต่ถ้าผมพูดแบบนี้ บางคนคิดมากก็จะบอกว่า “เอ้า ณัฐวุฒิจะส่งสัญญาณให้คนที่สู้อยู่ หยุด รอการเลือกตั้งเหรอ” ไม่ใช่ นั่นคือฝันของผม แต่ในโลกของความจริงวันนี้ ขบวนการต่อสู้ยังทำหน้าที่ เขายังขับเคลื่อนอยู่ ซึ่งผมก็บอกแล้วว่าผมเคียงข้างพวกเขา ผมเคารพพวกเขาและหลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำ เพราะว่าผมไม่แน่พอที่จะไปแนะนำคนที่เขากล้าหาญแบบนี้

เมื่อสักครู่พูดว่า ยังไม่ได้กลับไปพรรคเพื่อไทย แบบนี้จะพาเข้าใจไปว่าจะวางระยะห่างจากคุณทักษิณหรือเปล่า

จริงๆ ผมก็ไม่ได้ใกล้กับท่านมาก (หัวเราะน้อยๆ) แต่ไหนแต่ไร ผมเป็นลูกพรรค ผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ผมเป็นคนที่เคารพนับถือท่าน แต่ผมก็เป็นคนที่ทำอะไร ขัด (ลงเสียงหนัก) กับแนวทางของพรรคเพื่อไทยมาหลายครั้ง มติของพรรคในบางเรื่องที่ผมรู้สึกว่า มันขัดกับหลักการของผมจริงๆ ผมก็ไม่ทำ และผมก็แสดงความไม่เห็นด้วยชัดเจน

เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ความเป็นผมกับท่านนายกฯ ทักษิณ หรือแม้กระทั่งความเป็นผมกับพรรคเพื่อไทยก็มีระยะของมันอยู่ เพียงแต่เมื่อมาถึงวันนี้ ผมไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ผมไม่ได้กลับเข้าไปทำงานในพรรค มันก็อาจจะชัดเจนมากขึ้น ผมก็จะพูดให้เข้าใจกันอีกครั้งว่า วันนี้ผมคือผม ผมเป็นอิสระ ผมเคารพนับถือนายกฯ ทักษิณดังเดิม ผมรักพรรคเพื่อไทยในฐานะเป็นบ้านเดิม

ช่วงนี้ Tony Woodsome หรืออดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จัดรายการใน Clubhouse บางคนก็อยากจะเห็นแมทช์ณัฐวุฒิกับทักษิณ พอจะมีทางเป็นไปได้ไหม

(หัวเราะพลางตอบไปพลาง) ผมไม่แน่ใจว่า ผมจะมีองค์ความรู้ขนาดที่พี่โทนี่กำลังพูดอยู่ในคลับเฮาส์หรือไม่ เพราะว่าโดยศักยภาพหรือประสบการณ์ คงต่างจากท่านมาก เพราะท่านเห็นโลก ท่านบริหารประเทศ ไอ้ผมนี่ แค่นำพามวลชนไปสู่ชัยชนะทางการเมือง ผมยังล้มลุกคลุกคลานอยู่จนวันนี้เลย

แต่ว่า ก็ติดตามรับฟัง ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนในยุคปัจจุบันซึ่งอาจจะไม่ได้ผูกพันกับนายกฯ ทักษิณ อาจจะโตไม่ทันที่จะรับรู้การทำงาน รับรู้วิสัยทัศน์ ได้รับฟังก็จะเป็นต้นทุนของชีวิต แต่ว่าคลับเฮาส์นี่ก็มีพี่ๆ น้องๆ มาจีบอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ตอบรับว่าจะไปเป็นผู้ร่วมสนทนา แต่ผมเข้าไปแอบฟังอยู่นะ เข้าไปในนามปากกา คนก็จะไม่เห็น

คุณต่อสู้ทางการเมืองล่วงผ่านสิบปีมาแล้ว คิดว่าโฉมหน้าของเผด็จการไทยหน้าตาเหมือนหรือต่างกันแค่ไหนกับตอนเริ่มต่อสู้ ซึ่งพี่ Tony เพิ่งแนะนำใน Clubhouse ให้คนสนใจการรัฐประหาร 2549 ไปอ่านงานของ เออเชนี เมริโอ (Eugénie Mérieau) เรื่อง Deep State หรือ รัฐพันลึก 

มันไม่เหมือนไม่ต่างนะ มันเป็นคนคนเดียวกัน เป็นคนคนเดียวกัน (ย้ำ) เราดูการยึดอำนาจปี 2549 ตอนนั้นหัวหน้าคณะยึดอำนาจคือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน วันนี้พลเอกสนธิไปไหน เส้นทางอำนาจของคนในกองทัพ ใครบ้างที่เป็นสายอำนาจของพลเอกสนธิเดิม ไม่มี พลเอกสนธิจึงมีลักษณะเป็นผู้นำรัฐประหารชั่วคราว

แต่กลุ่มนายทหาร 3 ป. กลับเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ตั้งแต่ห้วงเวลานั้นจนปัจจุบัน ผมถึงบอกว่าหน้าตาของเผด็จการ อย่าถามว่าเหมือนหรือต่าง มันคนเดียวกัน ตอนพลเอกสนธิยึดอำนาจ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็เป็นแม่ทัพภาคที่หนึ่ง ซึ่งปกติการยึดอำนาจ กำลังหลักคือกำลังของกองทัพภาคที่หนึ่ง พลเอกประวิตรพ้นจากราชการไปแล้ว แต่ใครๆ ในแวดวงการเมืองก็รู้ว่า ท่านมีบทบาทสำคัญขนาดไหนในเหตุการณ์นั้น พลเอกประยุทธ์ก็เติบโตขึ้นมาตามลำดับในชีวิตราชการ พลเอกสนธิหมดบทบาทไปตั้งแต่รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์

นายทหาร 3 ป. มีบทบาทมากขึ้นๆ หลังเลือกตั้ง 2550 ได้รัฐบาลนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ก็เป็นนายทหารกลุ่มนี้ที่ยังมีบทบาทต่อเนื่อง จนในที่สุดยุครัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พลเอกอนุพงษ์ก็พา ผบ.เหล่าทัพ แถลงกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออก และก็มีการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในค่ายทหาร คิดว่านายทหารกลุ่มไหนล่ะที่มีบทบาท

รวมไปถึงการปราบปรามประชาชนปี 2553 ใครเป็น ผบ.ทบ. ใครเป็นรอง ผบ.ทบ. ใครเป็นรัฐมนตรีกลาโหม การยึดอำนาจนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ใครเป็นหัวหน้าคณะยึดอำนาจ ใครมาเป็นนายกฯ ใครมาเป็นคนมีบทบาทมีอำนาจในรัฐบาลจนปัจจุบัน มันเป็นทั้งเรื่องเดียวกัน และคนเดียวกัน

ขอบคุณที่ช่วยทวนความจำ ปรากฏว่าโฉมหน้าเหมือนกัน แบบนี้ มายอ่องตู่ ก็มาก่อน มินอ่องหล่าย

ผมก็คิดว่าเขาอาจจะเป็นไอดอลกัน

ส่งท้ายด้วยคำถามนี้ ถ้าไม่ถามคงไม่ได้ จะมีโอกาสออกไปชุมนุมกับเยาวชนนักศึกษาไหม

ผมยังไม่คิดจะเดินขึ้นไปบนเวทีปราศรัย และได้แสดงจุดยืนไปแล้ว ส่วนถ้าเขาจะมีการนัดชุมนุมกันอีก ในคราวต่อๆ ไปของนักศึกษา (จิ๊ปาก) ไม่แน่…ผมกำลังออกแบบชีวิตตัวเองอยู่ว่า ผมจะไปสัมผัสบรรยากาศแบบนั้นได้อย่างไร โดยที่ไม่เป็นเป้าสายตาของผู้คน คือผมอยากไปเงียบๆ ผมอยากฟังปราศรัย เพราะผมออกมาจากเรือนจำผมก็หาคลิปที่เขาปราศรัยมาฟัง ใครที่เขาบอกว่าน้องคนนั้นพูดเก่ง น้องคนนี้พูดดี ผมก็หาฟัง เพราะผมคิดถึงบรรยากาศเหล่านั้น

ตั้งแต่เป็นแกนนำ นปช. เคลื่อนไหวหนักๆ แล้ว ความอยากของผมมากๆ คือ ผมอยากจะลงไปนั่งกับมวลชน ไปเดิน ไปสัมผัส เวลาเขาออกมาสู้ด้วยกันบนท้องถนน แต่ว่าตอนนั้นมันทำไม่ได้ เพราะว่าถ้าเดินไปพี่ๆ น้องๆ จะมาถ่ายรูปจับไม้จับมือเป็นกลุ่มเป็นก้อน

แต่ เอ๊ะ! เดี๋ยวนี้มันมีหน่วยที่เรียกว่า CIA ใช่ไหมครับ ผมอาจจะไปเป็นลูกค้าของ CIA ในที่ชุมนุมก็ได้ (มองไปยังประตูห้อง)


[1] ‘มองอนาคตการเมืองไทยผ่านสายตาคนนอก’ โดย เบน แอนเดอร์สัน

Author

อิทธิพล โคตะมี
อิทธิพลเข้ามาในกองบรรณาธิการ WAY พร้อมตำรารัฐศาสตร์ สังคม การเมือง ถ้อยคำบรรจุคำอธิบายด้านทฤษฎีและวิธีการปฏิบัติ คาแรคเตอร์โดยปกติจะไม่ต่างจากนักวิชาการเคร่งขรึม แต่หลังพระอาทิตย์ตกไปสักพัก อิทธิพลจะเป็นชายผู้อบอุ่นที่โอบกอดมิตรสหายได้ทุกคน

Photographer

อนุชิต นิ่มตลุง
อาชีพเก่าคือคนขายโปสการ์ดภาพถ่ายขาวดำยุคฟิล์ม จับกล้องดิจิตอลรับเงินเดือนประจำครั้งแรกที่นิตยสาร a day weekly เมื่อปี 2547 ถ่ายงานหลากหลายรูปแบบทั้งงานสตูดิโอ ภาพข่าว สารคดี มีความสามารถพิเศษสั่งตัวแบบได้ตั้งแต่พริตตี้ คนงานทุบหินแถวหิมาลัย ไล่ไปจนถึงงานที่ถูกใครต่อใครหยิบยืมไปใช้สอยบ่อยๆ อย่างภาพถ่ายนักวิชาการที่ไม่น่าจะถ่ายรูปขึ้น นอกจากทำงานให้ WAY อย่างยาวนาน ยังเป็นเจ้าของกิจการเครื่องหนัง Dog's vision อันลือลั่น

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า