กาลครั้งหนึ่ง เมื่อศาสนาพุทธมีอายุได้ 2,566 ปี พุทธสาวกรายหนึ่งเห็นชายแต่งกายคล้ายพระสงฆ์ เดินจับมือกับชายอีกคนเข้าห้องน้ำสาธารณะห้องเดียวกันราวกับจะนิมนต์ไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ฉับพลันทันใด เสียงเลื่อนลั่นสั่นไหวเป็นจังหวะของ ‘กิจนิมนต์’ ได้กระตุ้นให้พุทธสาวกก้มลงมองลอดใต้ประตูห้องน้ำ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับเป็นภาพพระสงฆ์กำลัง ‘ฉันบวบ’ ของโยม และฉัน ‘ผัดไทย’ ร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อย
เหตุการณ์ดังกล่าวและพุทธชาดกคล้ายๆ กันอีกหลายเรื่องตกเป็นข่าวฉาวให้ชาวบ้านติเตียนไม่เว้นแต่ละวัน จนมีการเผยแผ่คำศัพท์ใหม่ๆ ที่ส่อเสียดไปทางเพศ ออกสู่โลกโซเชียลไม่เว้นแต่ละสัปดาห์
อย่างไรก็ดี พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า พระสงฆ์ที่ทำตัวเสื่อมเสียจนผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งมีในปัจจุบัน หากแต่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล กระทั่งเกิดการบัญญัติศัพท์ว่า ‘ภิกษุทุมมังกุ’
“คนเหล่านี้เป็นพวกที่ไร้ยางอาย ไม่มีหิริโอตัปปะ ไม่อายชั่วกลัวบาป ไม่มีมารดาแห่งศีลธรรม พระวินัยจะศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เพราะพระสงฆ์มีหิริโอตัปปะ มียางอาย มีความเกรงกลัวบาป อายชั่วกลัวบาปอย่างล้นปรี่หัวใจ และมีวินัยเคร่งครัด ปฏิบัติดี เป็นสุปฏิปันโน เป็นพระเนื้อนาบุญ ไม่ใช่เนื้อนรก
“ยังไงๆ พวกน้องท่านทั้งหลายที่บวชทีหลังหรือบวชเก่าก็ตาม อย่าให้ถึงขั้นกระอักเลือดเลย ขอให้ได้ปิติว่า ไม่ถูกสังคมหรือโลกโซเชียลเอามาขย่ม ขยำ ขยี้ ให้อายญาติ อายเพื่อนอายฝูง แล้วก็อายแก่ศาสนาอื่นๆ ซึ่งเขาไม่ค่อยมีเรื่อง ถ้าเราอายเป็นก็ดี ถ้าหน้าด้าน อายไม่เป็น ก็จะก่อกรรมทำเวรไปเรื่อยๆ”
WAY สนทนากับพระพยอม ในประเด็นเรื่องข่าวฉาววงการสงฆ์
ตอนนี้มีคำศัพท์ในวงการพระสงฆ์เป็นที่นิยมทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น ฉันบวบ ผัดไทย พระอาจารย์เคยได้ยินบ้างไหม
(หัวเราะ) เรื่องบวบต้องไปถามแพรรี่ (ไพรวัลย์ วรรณบุตร) เพราะเป็นคนเปิดประเด็น แต่จะอย่างไรก็ตาม ถ้าประเทศไทยยังไม่มีความเป็นธรรม และความเลวร้ายยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องมีคนอย่างแพรรี่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพจสายไหมต้องรอด หรือ กัน จอมพลัง ขึ้นมา
ตอนนี้วงการสงฆ์ทำแต่เรื่องไร้ยางอาย ตั้งแต่เราบวชมา 50 ปี เราว่าพระบางรูปในยุคนี้โง่กว่ายุคใดๆ ทั้งหมด เช่น พระรูปหนึ่งไปซื้อบริการทางเพศ จ่ายเงินไป 20,000 บาท ให้ผู้หญิงมานอนด้วย พอเขาไม่มา เชิดเงินหนี ยังโง่ต่ออีกนะ ไปฟ้องร้องเขา ไม่รู้จะประจานเขาหรือประจานตัวเอง พระแบบนี้ใครจะเอาไว้ เสียค่าโง่ไม่พอ เสียทั้งเงิน เสียทั้งสติปัญญา และเสียสภาวะของความเป็นสมณะ ผลที่สุดก็เป็นพระต่อไม่ได้
พระที่ผิดศีลเหล่านี้เขาเรียกว่า ‘ทุมมังกุ’ แปลว่า พวกเก้อ-ยาก (แก้ยาก) พวกหน้าด้าน พวกไร้ยางอาย พวกกาวตราช้างอย่างหนา คนพวกนี้ไม่เขิน ไม่กระดาก ไม่ละอาย เหมือนพระรูปนั้น ทั้งๆ ที่ทำเรื่องน่าอายมา แต่ดันไปแจ้งความต่อ เสียเงินให้กับผู้หญิง ซึ่งจะเอามาทำผิดพระวินัยถึงในกุฏิ
แต่แพรรี่เขามีหลักเกณฑ์และหลักฐานมากพอ อะไรที่ไม่ชัดเจน เขาไม่ทำ มีคนส่งเรื่องมา 100 กรณี เขาจะสกรีนที่ชัดๆ สัก 2-3 ราย เพราะฐานเก่าเขาแน่น เขารู้วงจรขององค์กรคณะสงฆ์ดี จึงได้แต้ม ไม่เสียหลัก ไม่ล้ม ไม่บุ่มบ่าม ค่อยๆ ทำไปทีละราย หรือ 2-3 ราย แต่ข้อมูลเป๊ะ จนต้องสึก ต้องหนี ต้องเผ่น อยู่ไม่ได้ อีกอย่างเขาก็รู้จักแยกแยะนะ ไม่ใช่จะทำทุกเรื่อง อย่างเรื่องตำรวจเขาก็ให้ชูวิทย์ แบ่งงานกันทำ ไม่ใช่จะทำทุกเรื่อง เก่งทุกอย่าง ไอ้คนประเภทนั้นไม่มีหรอก
ทีนี้ ไอ้คนที่ชอบความอยุติธรรม ใช้กฎหมายกดหัวใครต่อใครเอาไว้ มันจะกดไม่ลงจนต้องกระเด้ง เพราะคนเหล่านี้ อย่างตำรวจที่ไปตั้งด่านตรวจดาราต่างประเทศ ซึ่งใช้กฎหมายกดหัวเขาชัดๆ สุดท้ายตัวเองก็ต้องกระเด็นกระดอน ถูกย้าย ถูกปลด
ปัจจุบันนี้พระสงฆ์แทบจะตกเป็นข่าวฉาวรายวัน เมื่อเทียบกับสมัยก่อนแล้วเป็นอย่างไร
มันต่างกัน เดี๋ยวนี้โชคดีที่มีโลกโซเชียล เมื่อก่อนคดีแบบนี้ไม่มีใครเก็บภาพหลักฐานได้หรอก ภาพเคลื่อนไหวยิ่งแล้วใหญ่ แต่สมัยนี้ โอ้โห ภาพเป๊ะ อย่างพระที่ไปเล่นสกีกับโยมผู้ชาย ภาพมันถูกบันทึกแล้ว แก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้น
สมัยก่อนตอนเราเป็นเด็ก มีพระเกจิรูปหนึ่งรดน้ำมนต์และรักษาโรค มีคนศรัทธามากมาย จู่ๆ ไปทำผู้หญิงท้อง สมัยโน้นเมื่อ 50 ปีก่อน ไม่มีการตรวจ DNA เขาก็ไปจ้างผู้ชายมารับแทนว่า เป็นพ่อของเด็กในท้อง เขาบอกเนี่ยลูกผม พระไม่เกี่ยว แล้วเรื่องก็เงียบหาย แต่ชาวบ้านเขาเห็นตำตาเลยว่า ปลดจีวรไปกอดกันในซุ้มในสวน พอออกมาไม้นี้ ไม่มีการตรวจ DNA ชาวบ้านก็จ๋อย พระนั่นก็อยู่ต่อ
แต่ต่อมาไม่นาน โยมพ่อของพระลงมือสืบเอง สืบไปสืบมาก็พบว่า พระทำผิดจริง เขาก็ไม่เข้าข้างลูก เชื่อไหมว่า พ่อเตะก้นลูกทั้งๆ ที่เป็นพระ แต่เขาฉลาด ก่อนจะเตะ ถลกสบงขึ้นก่อน ไม่ได้เตะพระนะ เตะก้นคนชั่ว
แต่ทั้งหมดนี้ก็อย่างที่แพรรี่พูด ถ้าเจอชาวบ้านเขลาๆ ก็ลำบาก จะไปจัดการพระทำผิด แต่ชาวบ้านยังรักและเคารพ ก็ร้องไห้ร้องห่ม พากันประท้วง ดีไม่ดีถ้าหลักฐานไม่ชัด คนที่ไปเล่นงานพระจะแย่เอง อย่างแพรรี่เนี่ยถ้าไม่ได้ภาพอมบวบจริงๆ มานะ คงจะแย่กว่านี้ เพราะชาวบ้านหลงภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้า แต่ไม่รู้ลับหลัง เบื้องลึกว่าเขาเป็นยังไง
เข้าใจว่าเรื่องกามหรือเรื่องเพศเป็นข้อหาร้ายแรงมากสำหรับพระ?
ถ้าไปทำเข้าก็ขาดจากความเป็นพระ ถ้าเกี้ยวพาราสี แตะเนื้อต้องตัวก็เป็นอาบัติรองลงมา เขาเรียก ‘สังฆาทิเสส’ ต้องไปอยู่กรรม 9-10 วัน หรือ 15 วัน ไปทรมานสักพักหนึ่งเพื่อให้เข็ดหลาบ แต่อาบัติที่เล็กน้อยรองลงมาเรียก ‘โลกวัชชะ’ จะโดนโลกหรือชาวบ้านติเตียน ถ้าโดนหนักมากๆ ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ต้องหนี ต้องย้ายสังกัด หรือย้ายวัด
แต่มันก็มีบางกรณีอีกแหละ ย้ายไปแล้วมีวัดที่รับช่วงต่อ จำได้ไหม พระรูปหนึ่งที่เคยมีข่าวกับสีกาจนต้องสึก มีเจ้าอาวาสวัดหนึ่งที่เป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกัน รับเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ แต่แล้วตอนหลังก็ถูกปลดจากหน้าที่
ดังนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องกลัวนะ เราอยากจะฝากประชาชนไว้อย่างหนึ่ง อย่าเอาความเลวของพระบางรูปมาเป็นเหตุผลให้ไม่เอาศาสนา พระแย่ บอกไม่เอาแล้ว เลิกนับถือ ถ้าคิดอย่างนี้ขาดทุนแย่ เอาความเลวของคนอื่นมาทำให้ตัวเองกระเด็นหลุดออกจากความดี ปัดตนเองออกจากการนับถือ ปฏิบัติดี ปฏิบัติงาม
ขอให้เชื่อมั่นไว้อย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบไว้ว่า ธรรมวินัยของพระองค์เหมือนทะเลกว้าง ลึก ใหญ่ แม้มีขยะลอยในทะเลมากเท่าไร สุดท้ายจะถูกคลื่นในทะเลซัดขึ้นฝั่งทั้งหมด นั่นคือถูกจับสึกบ้าง ชาวบ้านไล่บ้าง และตอนนี้คลื่นลูกใหญ่ๆ คือโลกโซเชียล สื่อมวลชน และพวกองค์กรต่างๆ เป็นคลื่นลูกใหญ่ซัดพระพวกนี้ขึ้นฝั่งตั้งไม่รู้เท่าไรแล้ว
ศาสนาพุทธเกิดเรื่องร้ายๆ แบบนี้มาไม่รู้เท่าไร สมัยก่อนนี้มีเยอะแยะ จนกระทั่งครั้งหนึ่งมีพระเจ้าแผ่นดินชื่อ พระเจ้าอโศกมหาราช จัดการพระสงฆ์ที่ประพฤติเลวทรามเสียอยู่หมัด ไม่ใช่เฆี่ยนนะ ฆ่าเลย บั่นคอพระไป 400-500 รูป แล้วต่อมาพระรูปใดทำผิดตอนเป็นพระก็จะถูกสักหน้าว่า ‘สมี’ แปลว่า ประพฤติเลวในขณะครองผ้าเหลือง แต่ถามว่าทำไมศาสนายังอยู่มาได้ล่ะ มันคือความผิดของหลักการหรือบุคคล ถ้าเรายึดมั่นในหลักการ เช่น 3 หัวใจหลักของพุทธ คือ ปัดบาป สร้างกุศล ทำจิตให้บริสุทธิ์ ก็จะไม่มีวันเดินผิดทางเลย
บางทีเราเห็นเขาพลาดไปก็สงสาร เหมือนคนปีนต้นไม้ อยากจะไปเก็บผลไม้ที่ปลายยอด แต่กิ่งหักบ้าง ลื่นลงบ้าง ตกมานอนแอ้งแม้งอยู่โคนต้น เราจะกระทืบซ้ำเหรอ ชาวพุทธเป็นแบบนั้นเหรอ พยุงเขาออกไปรักษาสิ แต่ไปให้พ้นจากโคนต้นนะ คนอื่นๆ จะได้ขึ้นต่อ ไม่ใช่หล่นแล้วยังขวาง ยังกอดต้นเอาไว้ไม่ให้คนอื่นขึ้นอีก อันนี้ใช้ไม่ได้
หลักการทั้ง 3 ข้อจึงสำคัญ เรายังเสียดายที่คนไม่ให้ความสำคัญกับข้อแรก ชาวพุทธนี่ก็แปลก เมื่อเร็วๆ นี้ได้ยินว่า มีดาราจะทำบุญประเทศ เพราะเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองกำลังย่ำแย่ แต่เราว่าเขาจับผิดหลัก เวลาเกิดเรื่องไม่ดี มันเกิดจากความชั่วหรือจากบาป ดังนั้นพระพุทธเจ้าเลยบอกให้ละบาปก่อน แล้วค่อยทำบุญ
มีพระรูปหนึ่งเรียกได้ว่าเป็นเพชรอีสาน ชื่อหลวงพ่อชา ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น มีโยมเอาเงินไปทำบุญ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่าที่วัดจำนวนมาก แต่แทนที่ท่านจะชื่นชม กลับบอกโยมที่มาทำบุญว่า มันสู้การละบาปไม่ได้ ละบาปได้ประโยชน์มากกว่า ประเทศเราถ้าคนไม่ทำบุญ ไม่ทอดกฐินทอดผ้าป่า หรือไม่ใส่บาตร ยังไม่เท่าไร แต่ขออย่างเดียวอย่าทำบาป
ท่านอุปมาไว้ชัดที่สุดเลยว่า คนทำบุญแต่ไม่ละบาป ก็เหมือนคนแต่งตัวแต่ไม่อาบน้ำ ส่วนคนละบาปแต่ไม่ทำบุญ เหมือนอาบน้ำแต่ไม่ได้แต่งตัว ถามว่าระหว่างไม่อาบน้ำกับไม่แต่งตัวเนี่ย คุณเอาแบบไหน เราขออาบน้ำก่อนดีกว่า มาชุดปอนๆ ไม่ต้องใส่ชุดแพงๆ ก็ได้ แต่ขอให้เราได้อาบน้ำให้ร่างกายสะอาด ท่านเปรียบเทียบดีมาก เป็นพระที่สอนได้เยี่ยมรูปหนึ่ง แต่แปลกมากแม้หลักการจะดี แต่กลับไม่มีใครหรือพระรูปใดเอามาวิเคราะห์ หรือมาปลุกเร้าให้คนละบาปมากกว่าทำบุญ มีแต่ชวนทำบุญตะพึด จนคนบ้าบุญ เมาบุญ หลงบุญไปก็เยอะ ชาวบ้านทำบุญโง่ๆ พระบริหารเงินบุญโง่ๆ แทนที่จะเอาเงินบุญเขาไปสร้างบารมี ดันเสือกไปสร้างคดี
แต่อย่าห่วงเลย เราผ่านข่าวแบบนี้มาเยอะ แต่ก่อนนี้ชอบทำตัวเป็นตำรวจพระ แล้ววันหนึ่งก็โดนเบรก หลวงพ่อพุทธทาส วัดสวนโมกข์ ท่านถามว่า คุณพยอมอยากเป็นพระหรือจะเป็นสัปเหร่อ เราก็งง ตอบท่านว่าอยากเป็นพระ ท่านถามกลับว่า แล้วคุณจะไปชำแหละศพทำไม พระที่ต้องอาบัติหนักเขาตายไปแล้ว ตายจากความเป็นพระแล้ว คุณจะไปนั่งแถนั่งชำแหละทำไมอีก ถ้าเป็นพระก็ต้องทำอะไรต่อไป ไปเทศน์ไปสอนหรือเอาหลักธรรมมาตีแผ่ อันนี้ถึงจะทำให้พระศาสนามั่นคง อยู่เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกได้
พระอาจารย์อยากฝากอะไรถึงภิกษุทุมมังกุ
คนเหล่านี้เป็นพวกที่ไร้ยางอาย ไม่มีหิริโอตัปปะ ไม่อายชั่วกลัวบาป ไม่มีมารดาแห่งศีลธรรม พระวินัยจะศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เพราะพระสงฆ์มีหิริโอตัปปะ มียางอาย มีความเกรงกลัวบาป อายชั่วกลัวบาปอย่างล้นปรี่หัวใจ และมีวินัยเคร่งครัด ปฏิบัติดี เป็นสุปฏิปันโน เป็นพระเนื้อนาบุญ ไม่ใช่เนื้อนรก โยมทำบุญกับเนื้อนรกไม่ค่อยได้บุญเท่าไรหรอก เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักเลือกทำบุญกันบ้าง
พวกทุมมังกุฟังให้ดี เคยมีครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเทศน์ให้พระภิกษุ 180 รูป เทศน์เสร็จมีพระบรรลุอรหันต์ 60 รูป ขอลาสึก 60 รูป และกระอักเลือด 60 รูป พวกแรกคือไม่เคยทำผิดเลย ปลื้มใจว่าไม่ถูกพระพุทธเจ้าตำหนิ ก็เลยปิติจนหลุดพ้น ส่วนอีกพวกหนึ่งแสลงใจเหลือเกินที่ถูกพระองค์ตำหนิ ว่าเลวทรามต่ำช้า หน้าด้าน ไร้ยางอาย จึงเลือกสึก ส่วนอีกพวกหนึ่งเจ็บปวด แต่ยังไม่อยากสึก จนต้องกระอักเลือด ยังไงๆ พวกน้องท่านทั้งหลายที่บวชทีหลังหรือบวชเก่าก็ตาม อย่าให้ถึงขั้นกระอักเลือดเลย ขอให้ได้ปิติว่า ไม่ถูกสังคมหรือโลกโซเชียลเอามาขย่ม ขยำ ขยี้ ให้อายญาติ อายเพื่อนอายฝูง แล้วก็อายแก่ศาสนาอื่นๆ ซึ่งเขาไม่ค่อยมีเรื่อง ถ้าเราอายเป็นก็ดี ถ้าหน้าด้าน อายไม่เป็น ก็จะก่อกรรมทำเวรไปเรื่อยๆ