พระพยอม กัลยาโณ: ไขปัญหาหัวใจ วัยรุ่นช้ำรัก อกหักการเมือง ในวันที่คนรุ่นใหม่ห่างไกลศาสนา

ธรรมะที่แท้จริงคืออะไร? 

‘พระราชธรรมนิเทศ’ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี ได้อธิบายว่า หลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์มิให้คล้อยตามและอ่อนไหวไปกับความอยาก อารมณ์ และความรู้สึก ซึ่งนับวันรังแต่จะถูกชักจูงให้คล้อยตามและไขว่เขวได้ง่ายจากสภาพแวดล้อมภายนอก ไม่ว่าจะเรียกว่าระบบทุนนิยม ลัทธิบริโภคนิยม หรือว่าความทันสมัย

ทว่าพระนักเทศน์ชื่อดังกลับเห็นว่า ปัจจุบันสังคมไทยและคนรุ่นใหม่แทบจะห่างไกลจากศาสนาและไม่เคยได้รับการฝึกฝนจิตใจจากธรรมะ พวกเขาจึงต้องทนทุกข์กับสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่ผันผวนในรอบไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นพระพยอมเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนในการดึงคนกลับมาสนใจศาสนา และนำพาศาสนาออกจากวัดเข้าสู่ชีวิตประจำวันของคน

อย่างไรก็ดี ข่าวฉาวของพระสงฆ์ที่ปรากฏตามหน้าสื่อแทบทุกวัน อาจทำให้ฆราวาส โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่รู้สึกไม่ไว้วางใจใน ‘ผู้ถ่ายทอดหลักธรรม’ ไม่มากก็น้อย 

WAY ถือโอกาสนี้เข้าสนทนาธรรมกับพระพยอม เพื่อค้นหาว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามีที่ทางอย่างไรในสังคมไทยปัจจุบัน หากมันห่างเหินจากชีวิตของผู้คนมากขึ้น พระมีวิธีการทำอย่างไรให้หลักธรรมกับมนุษย์เข้ามาแนบสนิทกันได้อย่างสมัยก่อน ไปจนถึงคำถามว่า ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมการเมืองของคนรุ่นใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงหลักธรรมอะไรบ้าง 

พระพยอมโด่งดังขึ้นมาในฐานะพระนักเทศน์ได้อย่างไร

สมัยโน้นเราจะจับปรากฏการณ์ในสังคมจากหน้าสื่อต่างๆ ในข่าวบ้าง ในภาพยนตร์บ้าง แล้วเอามาทำเป็นสไลด์ภาพประกอบการเทศน์ เพื่อจูงใจให้เด็กๆ สนใจธรรมะ อยากให้เขาเห็นว่าพระก็มีความสามารถในการประยุกต์และสื่อสารถ่ายทอดออกมาได้ดี

เขาบอกว่าพูดร้อยคำก็ไม่สู้เห็นภาพภาพเดียวหรอก ในสมัยนั้นเราจึงเป็นพระดังที่มักมาคู่กับภาพสไลด์ ภาพยนตร์ยังเคยสร้างมาแล้ว เป็นหนังฟิล์ม 16 มม. เรื่อง เด็กหญิงวัลลี เล่าถึงความกตัญญู เราก็ทำ ในสมัยนั้นก็น่าจะถือว่าสุดยอดแล้ว จากนั้นก็เดินสายเทศน์เรื่อยมา

ทุกวันนี้พระอาจารย์กับคนรุ่นใหม่ห่างไกลกันมากไหม

ปัจจุบันนี้เราแปลกใจจนถึงกับงง เมื่อเห็นเด็กประกาศตัวว่าไม่มีศาสนามากขึ้น ก็เลยต้องคลำหาทางว่าพอจะเล่นพลิกแพลงอะไรได้บ้าง เพื่อจูงใจให้เขาเห็นคุณค่าของพระศาสนาและพลิกจิตให้เขายอมรับว่าทิ้งศาสนาไม่ได้ 

มีหลานนักการเมืองเป็นเด็กผู้หญิง ม.5 เขาบอกเราว่าไม่นับถือศาสนา เราก็หยิบเคสต่างๆ จากในข่าวมาชี้ประเด็นสอนใจเขา คือทุกวันนี้จะมีเด็กวัยรุ่นเป็นทุกข์ ก่อเหตุฆ่าตัวตายกันระนาวเลยนะ 

ตัวอย่างเช่น ข่าวแรก เด็กชายอายุ 14 ปี สั่งซื้อโทรศัพท์ทางออนไลน์ แต่ถูกคนขายโกงเอาเงิน ของมาไม่ถึงมือ เขาเครียดจนประสาทแตกเลย ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตาย ข่าวลงว่าเขาตายเพราะไม่ได้โทรศัพท์ เราเลยโยนคำถามให้หลานนักการเมืองคนนี้ช่วยวินิจฉัยหน่อยสิว่า ไอ้เจ้าเด็ก 14 ปี คนนี้ตายเพราะไม่ได้ครอบครองโทรศัพท์จริงหรือ ถ้าเพราะเหตุนี้จริงๆ ล่ะก็นะ เราก็ถามต่อว่าในประเทศไทยยังมีคนที่ไม่มีโทรศัพท์หรือทำโทรศัพท์หายอีกเยอะเลยใช่ไหม แบบนี้ไม่ตายกันอีกบานเลยเหรอ

อีกเคสหนึ่งเป็นข่าวเด็กผู้หญิง อายุประมาณ 16-17 ปี ใช้ปืนของปู่ยิงหัวตัวเองจนตาย ก่อนตายได้เขียนจดหมายรำพันเอาไว้ว่า เมื่อคนรักทิ้งเขาไปแล้วจากนี้จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง เขาไม่อาจทนอยู่อย่างไร้ความรักได้หรอก เราเลยชวนเด็กตั้งคำถามว่า น้องผู้หญิงคนนี้ตายเพราะผู้ชายทิ้งเขาจริงหรือ หรืออันที่จริงแล้วเพราะเขาละทิ้งธรรมะ ทิ้งศาสนา เขาเลยไม่มีหลักให้หัวใจได้ยึดเกาะในเวลาที่เกิดความทุกข์ขึ้นมา เช่น การถูกผู้ชายทิ้ง 

สมัยก่อนเราเคยเทศน์ว่า “ผู้ชายไม่ใช่เลขคณิต อย่าเอามาคิดให้เปลืองสมอง” แม้เขาจะทิ้งเราไป ก็อย่าให้มันมาเยาะเย้ยได้ว่า ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก พูดสวนกลับไปเลยว่า “ตั้งแต่ขาดเธอ ฉันก็เพิ่งเจอความสุข” อะไรทำนองนี้ เด็กที่ได้ฟังก็หัวเราะชอบใจและฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ฉันทิ้งศาสนาไม่ได้

หลวงพ่อพุทธทาสท่านใช้คำพูดว่า “ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ” โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะกลัวความพินาศย่อยยับอยู่แล้ว เราบอกเด็กว่าถ้าเธอทิ้งศาสนา ลงท้ายก็จะกลายเป็นไอ้เด็กที่ขาดโทรศัพท์ก็ตาย ขาดผู้ชายก็ไม่รอด เราพยายามใช้กลวิธีสอดแทรกหลักธรรมเหล่านี้แหละมาเกลี้ยกล่อมให้เขารู้สึกว่าขาดศาสนาไม่ได้

ก็ถามเลยว่า เขาอยากได้อะไรบ้าง แล้วในชีวิตมีต้นทุนอะไรมากพอจะพาเราไปเอาสิ่งที่อยากได้ไหม มนุษย์มีความอยากเสมอ แต่สิ่งที่อยากได้ไม่เคยลอยมาให้เฉยๆ หรอก มันต้องมีเหตุประกอบ ถ้าขยันจะอย่างไรก็ย่อมมีทรัพย์ คนเกียจคร้านย่อมทุกข์ คนขยันย่อมสุข ไม่มีความยากจนในหมู่คนขยัน ขยันให้เหงื่อออกทางขุมขน ดีกว่าขี้เกียจแล้วยากจน น้ำล้นออกทางตา

ปัญหาของหลายคนในยุคนี้คือ ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากทำงาน ไม่อยากเสียเหงื่อ แต่อยากได้เงินง่ายๆ บางคนก็ถึงกับขายร่างกายแลกเงิน (หากินแนวนอน ค้าประเวณี) สาเหตุไม่ใช่อะไรนอกจากการบริโภค สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาบริโภคกันก็คือ ‘ส่วนเกิน’ เขากินเกิน นุ่งห่มเกิน ตกแต่งเกิน และเกินกว่าคนรุ่นก่อนๆ เยอะ เพราะเมื่อก่อนไม่มีโฆษณามาล่อตาล่อใจมากขนาดนี้ ตั้งแต่ยาสีฟันยันแฟชั่นการแต่งตัว ของมันต้องมี ของมันต้องได้ พอได้เห็นได้ยินว่าสินค้าตัวใหม่ออกอีกแล้ว ไอ้ตัวเก่าก็ตกรุ่นไป

สิ่งเหล่านี้ออกมากระตุ้นความต้องการของมนุษย์อยู่เรื่อยๆ หากปล่อยอารมณ์ไหลตาม เขาก็จะกลายเป็นคนบ้าส่วนเกิน ซึ่งในสักวันหนึ่งข้างหน้ามันจะกลายเป็นความขาดอยู่ดี ถ้าคุณกินเที่ยวเตร่ใช้เงินมากๆ ตอนวัยรุ่น บั้นปลายชีวิตตายไปแล้วแม้แต่เงินซื้อโลงศพก็จะไม่เหลือ

ความบ้าส่วนเกินเช่นนี้เป็นปัญหาอย่างไร

พอบ้าแล้วแต่ไม่ได้ใช้ ไม่ได้บริโภคส่วนเกินนั้นๆ ก็มานั่งเศร้าอีก ถ้าได้สมใจปรารถนาก็จะมีอาการลิงโลดไปพักหนึ่ง แต่หากไม่ได้ขึ้นมาล่ะก็ มันจะผิดหวัง เครียด เศร้า ตัวอย่างมีให้เห็นเต็มไปหมด

พระอาจารย์มีข้อสังเกตอย่างไรที่คนสมัยนี้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ากันมาก

เขาอาจไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นใช้ชีวิตให้เป็นที่ตรงไหน ในศาสนาพุทธเราเชื่อว่าชีวิตเริ่มต้นจากการฝึกฝน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นบาลีไว้ว่า “ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ” หมายความว่า ในหมู่มนุษย์ ผู้ฝึกตนได้แล้ว เป็นผู้ประเสริฐที่สุด 

สัตว์หลายชนิดยังฝึกได้ ลิงถูกฝึกจนแสดงละครลิงได้ หมาก็ฝึกให้ทำสิ่งต่างๆ ได้ตามคำสั่งเจ้าของ แล้วเราที่เป็นคนเนี่ยมันฝึกได้มากกว่าสัตว์เยอะ ถ้าไม่ผ่านการฝึกเลยก็ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ไหม

คนมักชอบพูดกันว่าเรื่องเพศเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะต้องสืบเผ่าพันธุ์ เราจึงควรเคารพความจริงจากธรรมชาติข้อนี้ แต่อาตมาว่านี่คือการมองธรรมชาติด้านเดียว รู้แต่ธรรมชาติของการตอบสนองความอยาก ซึ่งหายอยากได้บ้าง ไม่หายบ้าง ทั้งๆ ที่ก็มีอีกด้านหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์คือ การฝึกจิตให้ทนทาน อดกลั้น และระงับต่อความอยาก รู้แหละว่าอยาก แต่ไม่ตอบสนองมัน ฝึกทวนกระแสความอยากอย่างหนักดูบ้าง ก็จะรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ดับ แล้วจะพบความสงบ เย็นสบาย

หากชีวิตต้องวิ่งตามความอยากทุกครั้งคงวุ่นวายบรรลัยเลย ต้องไปพบ ไปเจอ ไปจู๋จี๋กันให้ได้ พอไม่เป็นไปตามนั้นก็จะนั่งหมดอาลัยตายอยาก เพราะชีวิตไปหวังตรงนั้นมากเกินไป อย่าไปรับใช้กิเลสตัณหามากนัก

สิ่งที่เสพแล้วไม่อิ่มมีอยู่ 3 ตัว หนึ่ง-นอน ถามว่ามีใครนอนอิ่มบ้าง นอนแล้วไม่ต้องไปไหนอีก 3 วัน 7 วัน มีหรือเปล่าล่ะ สอง-สุราและยาเสพติด เหล้าเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีคำว่าอิ่ม มีแต่พาจมดิ่ง เมาหัวทิ่มหัวตำ ยาก็เหมือนกัน บางคนอัดไป 5-7 เม็ด ถามว่าอิ่มไหม ไม่มีทางหรอก ประสาทยังไม่ทันหายหลอนก็จัดใหม่แล้ว และตัวที่สาม-กามารมณ์ เพศเป็นสิ่งที่เสพไม่อิ่ม ซ้ำยิ่งพาให้ทะยานอยากมากขึ้น

เคยมีรายการ หลุมดำ ที่ตีแผ่เรื่องบ้าบอเหล่านี้ในสังคม ออกอากาศไม่กี่ตอนก็โดน กบว. (คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์) เซ็นเซอร์ ตอนหนึ่งเขาพูดเรื่องผู้หญิงที่ทำแท้ง ปีหนึ่งทำแท้งถึง 2 หน กุมภาพันธ์ทำแท้งพอถึงธันวาคมก็ไปเอาลูกออกอีก เพราะอะไรรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้มีคำว่า ‘แต้ม’ เป็นหัวใจของชีวิต นอนกับผู้ชายคนหนึ่งได้แต้มเท่าไรก็ว่าไป เขาต้องการหาแต้มเพิ่มเรื่อยๆ แล้วนอนซ้ำไม่ได้นะ ไอ้คนนี้เคยได้กันแล้วเมื่อ 3 วันก่อน ถ้าได้ซ้ำถือว่าแต้มไม่ขึ้น

ทำไมทุกวันนี้โลกโซเชียลมีเดียจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตคนมาก

นี่แหละตัวดี มันทำให้คนเสพหรือดูคนอื่น กลายเป็นว่าอยากเอาอย่างเขา อย่างเรื่องเพศ เขาไม่รู้หรอกว่าถ้าได้สักหนแล้วมันจะติดใจ ใจแตก ความต้องการอาจเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า คนใช้ชีวิตเพื่อสนองความอยากจึงไปมีกิ๊กมีอะไรทำนองนี้

มีชายคนหนึ่งร้ายยิ่งกว่าขุนแผน ใช้โทรศัพท์คุยกับหญิงสาวไปทั่ว บอกว่าเลิกกับเมียนานแล้ว ทั้งๆ ที่ก็นอนบ้านเมียอยู่ทุกวัน จนไปมีอะไรกับผู้หญิงกว่า 20 คน ซึ่งพวกนี้ก็แค้นน่าดู รวมตัวกันเปิดโปงไอ้หนุ่มนี่ และคงจะมีพวกที่อาย ไม่กล้าเล่าหรือเปิดเผยความจริงอีกเยอะ

สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์มีเพียงหลักธรรมเท่านั้นหรือ เพราะเมื่อมีโลกโซเชียลเกิดขึ้น มันก็เปิดโลกอย่างอื่นขึ้นด้วย

ภาษาธรรมะเรียกว่า ‘ผัสสะ’ ถ้าสิ่งแวดล้อมมีแต่เรื่องกาม ก็ไม่แปลกที่เขาจะตกเป็นทาสกามอย่างง่ายดาย แต่หากเขาใฝ่หาผัสสะทางธรรมบ้าง ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่คนประพฤติธรรม มันก็จะเป็นอีกแบบ แต่นี่เพราะไปสัมผัสและคลุกคลีกับฝ่ายกามมากไป มันก็เลยดึงไปทางนั้น

บางทีโซเชียลก็ไม่ได้มีแค่เรื่องกาม แต่ยังพาคนไปเจอแนวคิดหรือศาสนาอื่นก็ได้นะครับ

อ๋อ วัฒนธรรมตะวันตกใช่ไหม แนวคิดพวกนี้บอกให้อยู่ด้วยกันก่อน ให้รู้ว่าไปกันรอดไหม ไม่ต้องรักนวลสงวนตัวหรอก แต่คนสมัยก่อนทำไมคลุมถุงชนก็ยังอยู่กันได้ หนุ่มสาวอาจไม่ได้ชอบกันหรอก แต่พ่อแม่ชอบ ก็บังคับให้อยู่กิน ก็เห็นอยู่กันยันตาย

แต่สมัยนี้คนหลงลืมหลักการ ‘รู้ รัก ลูก’ กล่าวคือ ก่อนจะมีความรัก เราต้องมีความรู้ก่อน สามารถหยิบจับใช้สอยงานการต่างๆ เป็น แต่งงานแล้วไปอยู่บ้านเขาก็จะไม่มีปัญหา แม่ผัวไม่รังเกียจ แล้วค่อยมีลูกเขาก็จะอบรมลูกได้ แต่เดี๋ยวนี้บางทียังรู้ไม่พอ แล้วแต่งเข้าบ้านเขา จนแม่ผัวรำคาญ ด่ากระทบลูกชาย “ไอ้ทิด มึงนี่โง่เหมือนควายยังจะแต่งวัวเข้ามาอีก”

เดี๋ยวนี้ต้องฝึกเด็กผู้หญิงที่ท้องโดยไม่ตั้งใจกันยกใหญ่ ที่วัดของอาตมาก็กำลังอบรมอยู่ 200 คน สอนเรื่องเลี้ยงลูกอย่างไร อาบน้ำให้เด็กทารกเป็นไหม ฯลฯ ตอนนี้ถือเป็นปัญหาระดับชาตินะ เด็กที่มีลูกโดยที่ยังไม่ทันรู้เดียงสาอะไร

ปัญหานี้ไม่ใช่ว่ามีมานานแล้วหรือครับ

เมื่อก่อนยังมีไม่มากเท่าตอนนี้ เพราะมีธรรมเนียมว่าชายใดจะเอาลูกสาวเขาไปกกไปกอด ต้องจ่ายค่าสินสอดทองหมั้นและค่าป้อนน้ำนมให้พ่อแม่ ฝ่ายผู้ชายก็รักศักดิ์ศรี ถ้ากูไม่มีเงินให้เขา ก็ต้องไปรับจ้างผ่าฟืน หาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต เพื่อจะเอามาหมั้นเจ้าสาว แต่เดี๋ยวนี้ผู้หญิงแทบจะตามไปเองแล้ว

นี่คือกุศโลบายของคนโบราณที่สอนให้คนทำงาน อาตมาเคยเห็นกับตาว่า เจ้าบ่าวไปผ่าฟืนให้บ้านเจ้าสาวอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟืนกองพะเนิน เขาเรียกว่าใช้ความรักเป็น motive หรือแรงผลักดัน ซึ่งทำให้คนยุคนั้นไม่ค่อยมีการหนีตามกันเท่าไหร่หรอก นอกจากพายเรือมาฉุดนะ 

แต่บางทีกุศโลบายหลายอย่างไม่ตอบโจทย์กับยุคสมัยแล้ว? 

ไม่ match กันแล้ว (พยักหน้า)

พระอาจารย์เคยได้ยินความเชื่อแปลกหูแปลกตาของวัยรุ่นยุคนี้บ้างหรือเปล่าครับ เช่น ลัทธิบูชาเบคอน สภาเจได หรือลัทธิบูชาซาตาน นี่ไม่ใช่ความพยายามในตอบโจทย์หรือค้นหาตัวตนแบบใหม่ๆ หรอกหรือ

อาตมาจะเล่าว่าในพระไตรปิฎกของเรามีเรื่องเล่าว่า ผู้ชายกลุ่มหนึ่งพากันเที่ยวเตร่สนุกสนาน จนไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งขโมยเครื่องแต่งกายและทรัพย์สมบัติติดตัวไปหมดเลย พวกเขาเลยออกวิ่งตามหานางคนนี้เพื่อเอาของคืน กระทั่งพบเจอพระพุทธเจ้าก็เลยถามว่า “เห็นผู้หญิงหนีมาทางนี้บ้างหรือเปล่า?”

พระพุทธเจ้าถามว่าตามหาใคร พวกเขาตอบ “ตามหาผู้หญิงที่ลักขโมยสิ่งของของตนไป” พระพุทธเจ้าจึงย้อนถามว่า คิดดูให้ดีว่าตามหาใครกันแน่ “จะตามหาผู้หญิงหรือจะตามหาตนเอง” หากหญิงนั้นไม่ลักขโมยของของพวกเขามาก็คงไม่ตามหาให้วุ่นวายขนาดนี้ เพราะว่ายังยึดติดกับวัตถุสิ่งของและยังผูกตัวตนเข้ากับทรัพย์สินจึงได้วางไม่ลงใช่หรือไม่ ถึงได้วิ่งตามหากันจ้าละหวั่น

ไอ้การค้นหาตัวตนนี่ก็มีในพระไตรปิฎกเหมือนกันนะ ไม่ใช่เพิ่งมามีในยุคนี้หรอก สมัยก่อนก็มี เพียงแต่เทคนิควิธีค้นหาแตกต่างกัน สมัยนี้อาจมีวิชาอะไรต่างๆ ที่เป็นสมัยใหม่เอามากๆ เทคโนโลยีก็ทำให้ติดต่อนักวิชาการหรือเรียกหาคนนั้นคนนี้ได้ง่าย แต่ก็ทำให้คนพึ่งพาวัตถุกันมากขึ้น ขณะที่สภาพจิตใจกลับไม่ถูกฝึกเลย

คนรุ่นนี้ไม่เข้าใจว่าสิ่งต่างๆ มีด้านบวกและลบ สมหวังและผิดหวัง แพ้และชนะ จิตใจแทบไม่ได้รับการดูแล พอได้ก็ฟู พอเสียก็แฟบ แต่ปล่อยให้ใจฟูๆ แฟบๆ อยู่เรื่อยแบบนี้ ใครกันจะหาความสุขได้จริง ถึงจะมีวิชาสมัยใหม่สุดๆ ก็ตาม เพราะว่าเรื่องทวิลักษณ์ด้านบวกกับด้านลบของสิ่งต่างๆ เป็นสัจธรรมที่อยู่คู่กับโลกใบนี้มาโดยตลอด มนุษย์จึงควรฝึกปัญญาให้เป็นเครื่องกรองติดตัวเอาไว้ เขาจะได้รู้ว่า มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง (ตถตา)

การฝึกวิทยายุทธ์นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกแน่นอน จะเรียกศาสนาพุทธหรืออะไรก็ได้ แต่หลักการฝึกใจให้นิ่ง สงบ ไม่วิ่งตามอารมณ์ คอยเฝ้าดูและรับรู้เท่าทันอยู่เสมอ ถือเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดแล้วในความเป็นมนุษย์

จุดสูงสุดของคนไม่ใช่การจบดอกเตอร์ ไม่ใช่การหาเงินล้านแล้วติดอันดับเศรษฐีได้ในเวลารวดเร็วหรอก วัยรุ่นสมัยนี้เป็นอะไรก็ไม่แน่ใจ ชอบนักกับการประสบความสำเร็จเร็วๆ อายุน้อยร้อยล้าน ยังไม่ถึง 30 ก็จะมีเงินระดับเจ้าสัวแล้ว รู้ไหมว่าคนพวกนั้นกว่าจะมีเงินก็อายุย่างหลัก 60-70 ปี แล้วถามว่าชีวิตมีความสุขตลอดเลยใช่ไหม พูดแล้วก็ขำอยู่เรื่องหนึ่ง บิล เกตส์ (Bill Gates) ร่ำรวยอันดับ 1 ของโลกมาตลอด อยู่มาปีหนึ่งดันร่วงลงมาเป็นที่อันดับที่ 3 เพราะใครไม่รู้แซงขึ้นมา ว่ากันว่าเขาร้องไห้ แหม อันดับ 3 ก็นับว่ารวยกว่าพวกเราทั้งประเทศรวมกันเสียอีก แต่รวยขนาดนี้ยังร้องไห้ เพราะว่าเขาไม่ได้เทียบกับคนที่แย่กว่า แต่มัวแข่งขันกับคนร่ำรวยอื่นๆ พอผลออกมาไม่ตรงใจก็น้อยเนื้อต่ำใจไปตามระเบียบ นี่คือเรื่องของการยึดติดกับอัตตาและตัวตน

ตอนนี้ก็เช่นกัน โรคขี้น้อยใจมันกำลังระบาดในหมู่วัยรุ่น ลูกเด็กเล็กแดงงอนเป็นแล้ว แค่เราเรียกชื่อเด็กคนหนึ่งมารับของ ไม่ทันได้เรียกอีกคน มันก็งอนจนร้องไห้ พวกผู้ใหญ่ก็น้อยใจกันเองไปทั่ว กระทบกระทั่งไม่ค่อยได้ ทำงานร่วมกันยาก ไม่ค่อยทำงานหรอก ส่วนใหญ่จะทำงอน เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ที่จะละวางตัวตนก็สำคัญ มิเช่นนั้นก็ไม่เรียกว่าใช้ชีวิตเป็น

คนทั่วไปจะสามารถเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้จากที่ไหนบ้าง เพราะปฏิเสธได้ยากว่าข่าวอื้อฉาวของวงการพระสงฆ์ออกมาแทบไม่เว้นแต่ละวัน นี่ยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่ที่กังขาอยู่แล้ว ยิ่งไม่อยากเข้าวัดหรือเปล่า

เราต้องย้อนถามหน่อยนะว่า เหมาเข่งได้ไหมเล่า ตอนนี้เธอเห็นองค์กรหรือสถาบันใดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ดีเลิศ และสง่างามบ้างไหม การเมืองเยี่ยมไหม ทหารตำรวจยอดไหม ครูบาอาจารย์ข่มขืนเด็กมีไหม ถามหน่อยเถอะว่า สถาบันใดไม่มีคำว่าตกต่ำลงและตกหล่นมาตรฐานทางศีลธรรมบ้าง มันเป็นกันทั้งนั้น

พระสงฆ์ก็เป็นองค์กรหนึ่งในสังคม พระผู้มีมลทินมัวหมองพรรค์นั้นบวชเข้ามาโดยที่ไม่เคยมีศรัทธา เอาเงื่อนไขสารพัดเพื่อเข้ามาห่มผ้าเหลือง อาทิ พ่อแม่จ้างบวชบ้าง บวชหนีคดีบ้าง หรือบวชเพื่อเป็นช่องทางทำกินบ้าง เพราะฉะนั้นจะคาดหวังให้พระสงฆ์ดีเลิศประเสริฐศรีก็คงยาก ทุกองค์กรมีทั้งคนดีและคนไม่ดี

จากกรณีพระสงฆ์กับการสักยันต์ พระอาจารย์เคยพูดว่า ไสยศาสตร์บางเรื่องก็มีจริง ไม่ได้ลวงเสียหมด เพียงแต่นี่ไม่ใช่หนทางแห่งการดับทุกข์ คำถามคือเหมาะสมแล้วหรือที่พระสงฆ์จะยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมเหล่านี้ ซึ่งทั้งไม่ดับทุกข์แล้วยังมีผลประโยชน์ในรูปตัวเงินมหาศาล

ของอย่างนี้มีอยู่แล้วล่ะ ถามว่าดีหรือเปล่า ไสยศาสตร์อาจจะเลวร้ายน้อยกว่าหากเทียบกับการไปบ่อน ไปซ่อง ไปเมาเหล้าเมายา อย่างน้อยก็ยังดึงคนเข้าหาพระแทนที่จะไปเล่นพนัน ซื้อบริการทางเพศจากเด็ก หรือเมาหัวทิ่มหัวตำ แต่มันเป็นของดีที่สุดแล้วไหม ไม่หรอก ยังมีศาสตร์ที่ประเสริฐที่สุดกว่านี้

ในสมัยเก่าก่อน ไสยศาสตร์จะสอดแทรกศีลธรรมให้ผู้รับสืบทอด ครูบาอาจารย์จะมีข้อแม้และข้อกำหนดให้ปฏิบัติตามยุบยับไปหมด เฮ้ย เอ็งได้ของดีอันนี้ไป ก็อย่าไปด่าพ่อล่อแม่ใคร ได้เครื่องรางอันนั้นก็อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขานะเว้ย ของเอ็งจะเสื่อม

สมัยนี้ไม่มีข้อกำหนดเลยหรือครับ

จะไปมีเหรอ ไสยศาสตร์ยุคนี้คือการหากินแบบลวงโลก ทำมาเพื่อขาย เรียกว่าจะเสกเอาเงินท่าเดียว ข้อแม้ใดๆ ที่เคยมีหายไปหมด สมัยนี้ไม่มีใครมานั่งถ่ายทอดวิชาหรือปลุกเสกกันตัวต่อตัว แต่เป็นไสยศาสตร์ทางโทรศัพท์ เดี๋ยวสวดให้ฟังทางไกลแล้วโอนเงินมาให้นะ คนกลายเป็นเหยื่อเจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด บางคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะโอนให้เขาเป็นแสนเป็นล้าน

เดี๋ยวนี้เกิดก๊วนแก๊งที่ตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิต่างๆ ที่เอาจิตวิทยาง่ายๆ มาต้มคน สมมุติบ้านคุณมีสมาชิก 7-8 คน มันก็จะไปสืบสาวหรือสอบถามเลียบเคียงว่า ในบ้านนี้มีใครทำอะไรหรือเป็นอะไรบ้าง พอเจอหน้าปั๊บก็ทักเลยว่ามีคนในบ้านเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ใช่ไหม คนถูกทักก็ตกใจว่ามันรู้ได้ไงวะ พอมันเห็นท่าทีก็ชวนคุยต่อจนเคลิ้ม ความเชื่อทะลักล้นมาเลย ทีนี้เขาอยากได้อะไรก็ประเคนให้หมด

ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนไทยเราจะตกต่ำย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ลืมหมดสิ้นแล้วหลักธรรม “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เพราะเอาชีวิตไปแขวนไว้กับ ‘ตุ๊กตา’ สมัยก่อนมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ หินสลัก ต่อมาก็ไอ้ไข่ ไอ้ส้มฉุน หรือท้าวเวสสุวรรณ ฯลฯ สิ่งพวกนี้เข้ามากลบพระรัตนตรัยจนแทบจะทอแสงไม่ออกเสียแล้ว บางวัดสร้างราหูอมมิดอยู่ข้างหน้า หากพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาก็คงจำไม่ได้หรอกว่านี่วัดของเราจริงหรือเปล่า

พระอาจารย์คิดว่าวิธีการใดจะช่วยดึงให้ศาสนาพุทธอยู่คู่กับคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้กลับมาใกล้ชิดกันได้อีกครั้ง

หลายวัดกำลังพยายามจัดกิจกรรมบูรณาการ มีกิจกรรมทางโลก แต่ประยุกต์ (apply) แทรกธรรมะเข้าไป ตัวอย่างเช่นที่นครศรีธรรมราชมีงาน ‘มานคร นอนวัด’ มีงานดนตรี การละเล่นพื้นบ้าน และหนังตะลุงที่แฝงธรรมะกล่อมเกลาจิตใจเด็ก นี่คือการสร้างสภาพแวดล้อมให้ผัสสะของคนอยู่กับเรื่องธรรมะ

การที่พระออกมาเทศน์ผ่านโลกโซเชียล เช่น เฟซบุ๊ก เป็นวิธีการหนึ่งด้วยใช่ไหม อย่างนี้ทำได้หรือเปล่า

ทิดสมปองกับทิดไพรวัลย์เป็นตัวอย่างที่ดีนะ สิ่งที่เขาทำในนาม 2 ‘พส.’ (พระสงฆ์) ประสบความสำเร็จมิใช่น้อย เสิร์ชดูก็เห็นแล้วว่าคนดู 4-5 แสนคน บางอันเป็นล้านก็มี

ส่วนอาตมาก็ทำรายการ กัลยาโณโอเค บางเทปบางตอนพูดถูกใจคนขึ้นมา ยอดพุ่งไปที่ 1.4 ล้านวิว เพราะตอนนั้นพูดประเด็น “ไม่อยากพูดเรื่องโทนี่ (ทักษิณ)” คนไปกล่าวหาเขาว่าโกงบ้าง ใฝ่สูงบ้าง แต่พอขับไล่เขาแล้วเป็นอย่างไร เข้าทำนองที่โบราณว่า “พอเสนียดไป จัญไรมา” แต่โดยทั่วไปก็มีคนดู 100,000-200,000 คน ประมาณนี้

อาตมายังนึกไม่ถึงเลยนะว่าคนที่มาวัดสวนแก้วทุกวันนี้ เขาบอกว่าตามมาจากรายการ กัลยาโณโอเค มากถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์เชียว มีคนมาแซวขำๆ ว่า ในช่วงมาตรการล็อกดาวน์โควิดที่ผ่านมา แม่ค้าที่ขายของบริเวณรอบวัดพระแก้วรายได้ลดลงมาก จากวันละ 30,000 บาท เหลือเพียง 1,000-2,000 บาทเท่านั้น เพราะนักท่องเที่ยวมาไม่ได้ แต่วัดเรามีคนมาไม่ขาดสายเลย เขาเลยหยอกว่า ดูท่าวัดพระแก้วจะแพ้วัดสวนแก้วก็คราวนี้ (หัวเราะ)

อาตมาเคยคิดว่าคงหมดยุคหมดวาระที่เราจะกลับมาดังได้อีก เพราะเคยดังมากสุดในช่วงปี 2526-2530 ไปเทศน์ที่ไหนก็จะมีคนมาฟัง 30,000-50,000 คน เรามาตกวูบเพราะกรณีพาคนเสื้อแดงเข้าวัด อันที่จริงก็จะเอาคนเสื้อเหลืองมาด้วย แต่ดันเกิดรัฐประหารขึ้นก่อน เขาห้ามจัดกิจกรรมรวมตัว พระพยอมเลยถูกด่าเช็ดว่าลำเอียง

ตอนนั้นจัดกิจกรรมอะไรครับ

เราเห็นว่าม็อบเดินขบวนปิดถนนน่ะ ก็เลยคิดว่าเอามาเข้าวัดดีไหม จะพูดเสนออะไรก็ทำไป แต่จะให้สลับกันมา ไม่ให้เกิดการปะทะ แต่ก็ทำได้ครั้งเดียว คนเลยหาว่าลำเอียง ในตอนนั้นคนไม่ชอบเสื้อแดงเยอะ เพราะถูกกล่าวหาว่าจะล้มล้างสถาบันฯ และอยากได้ประธานาธิบดี แต่จริงๆ นี่ก็ชาวบ้าน

เหมือนตอนนี้ ถ้าพรรคก้าวไกลไม่รบกับมาตรา 112 มากขนาดนี้ เราว่าคงได้คะแนนเยอะกว่านี้ เขาเสียมวลชนผู้สูงวัย แต่ได้ใจวัยรุ่น เท่าที่เราเห็นก็เข้าใจว่า วัยรุ่นเขาเบื่อเรื่องประเพณีและพิธีรีตอง บางทีพวกคนแก่ชอบสวดมนต์ แต่เด็กสวดนานไม่ได้ ก็ยังไปสวดเสียจนเด็กเอียน เขาถึงไม่อยากเข้าวัด เด็กสมัยนี้ชอบความกระชับ

มีเรื่องขำอีกว่า ยายสอนหลานให้ท่องนะโม 3 จบ เด็กก็สวนเลยว่า “เอางี้ได้ไหมยาย นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ และวนอีก 2 จบเหมือนตอนแรก พอได้ไหม” เพราะฉะนั้นธรรมะสำหรับคนรุ่นใหม่ต้องกระชับ เข้าใจง่าย

นอกจากการเทศน์ผ่านไลฟ์หรือการตัดลดพิธีกรรม การทำให้หลักธรรมเข้าใจง่ายยังมีวิธีอื่นๆ อีกไหม

อีกประเด็นหนึ่งของการทำให้ศาสนาเข้าใจง่ายๆ คือ การออกแบบสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ชาวพุทธสมัยก่อนเคารพนับถือพระพุทธเจ้าในความเป็นยอดนักศึกษา ในวัย 29 ปี ท่านร่ำเรียนมาแล้ว 18 ศาสตร์ ถ้าเป็นคนทั่วไปนับว่าจบแล้ว พอแล้ว แต่พระพุทธเจ้ายังเข้าป่าไปศึกษาค้นคว้าอีกถึง 6 ปี จึงตรัสรู้ 

หลังเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานใหม่ๆ ยังไม่มีใครปั้นพระพุทธรูปขึ้นบูชาหรอก เขาใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติหรือหลักธรรมของพระองค์ อาทิ รูปเสมา หมายถึงการใฝ่รู้ใฝ่เรียน กระทรวงศึกษาธิการของไทยก็ใช้เสมาเป็นโลโก้ สัญลักษณ์ตรีศูลเป็นการเปรียบเปรยว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เหมือนศาสตราวุธ 3 ชนิด ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้ฟาดฟันโจรร้าย 3 ก๊ก ชื่อ ‘โลภ โกรธ หลง’ หากปราศจากอาวุธนี้ คุณสมบัติความเป็นมนุษย์จะถูกปล้นชิง แล้วสิ่งที่เป็นอารมณ์ใฝ่ต่ำต่างๆ จะเข้าครอบงำ

เมื่อเห็นว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าตอบโจทย์ สามารถบดขยี้อุปสรรคต่างๆ ในชีวิต และช่วยเจือจางความทุกข์ให้เบาบางลงได้ เหล่าพุทธศาสนิกก็สร้าง ‘ธรรมจักร’ เป็นสัญลักษณ์อีกชนิดหนึ่ง ท้ายที่สุดก็คือ ‘แท่นวัชรอาสน์’ ซึ่งเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรือบัลลังก์ที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย มีนัยหมายถึง ณ ขณะนี้ สรีระหรือร่างกายของพระพุทธเจ้าไม่ดำรงอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป จะเหลือก็เพียงพุทธสภาวะ ซึ่งเป็นความว่างและปราศจากตัวตน 

หากเป็นสมัยนี้คงเรียกว่า ไม่มี ego หรือไม่ยึดมั่นในตัวกูของกู เมื่อคืนฟังอภิปรายในสภา เขาบอกว่านายกฯ เป็นโรคหลงตน คิดว่าตนเองแน่จึงอยากอยู่ในตำแหน่งต่อแม้จะเกินวาระแล้ว นี่แหละอัตตาหรืออาการหลง ego ซึ่งพระพุทธเจ้าปราศจากสิ่งนี้ มีตัวอย่างว่า เด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายมาเห็นนักบวชรูปหนึ่งในป่า มันนึกสนุกก็แกล้งเอาฝุ่นดินซัดใส่บ้าง ปัสสาวะใส่เลยก็มี โดยหารู้ไม่ว่านี่คือลูกกษัตริย์คนหนึ่ง หากเป็นลูกหลานชนชั้นสูงทั่วไปคงโกรธว่า “ทำกับกูถึงเพียงนี้เชียวเหรอ” ต้องประหาร 7 ชั่วโคตร แต่พระพุทธเจ้ากลับคิดว่า นี่มันก็แค่น้ำที่มากระทบร่างกายเนื้อหนังมังสา จะแค้นเด็กไร้เดียงสาก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา นี่คือความไร้อัตตาตัวตนขั้นสุดยอด

เราสร้างวัดสวนแก้วก็เพื่อคนรุ่นใหม่ วัดต้องเป็นรมณียสถาน ต้องร่มรื่น มีปฏิมากรรมต่างๆ ไว้สอนธรรมะ สมัยนี้การท่องเที่ยวเน้นอยู่ 2 เรื่อง ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา เช่น ปั่นจักรยาน วิ่ง ที่วัดเราก็สร้างเส้นทางให้คนมาทำกิจกรรมเหล่านี้ในช่วงเย็นหรือเสาร์อาทิตย์ อย่างที่สองคือ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

แต่คนสมัยนี้เขาหยอกกันว่า ‘เข้าวัดแล้วร้อน’ นะครับ

(หัวเราะ) ไม่จริง บางวัดอาจโง่หน่อย เพราะมีต้นไม้เท่าไรก็ตัดทิ้งหมด เจ้าอาวาสอยากจะโชว์หน้าบันโบสถ์ แต่ที่จริงแล้วต้นไม้เป็นของคู่กับศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ สอนสาวก หรือกระทั่งจะดับขันธ์ก็ยังไปประทับใต้โคนต้นไม้เลย สมัยนี้เขาเลยรณรงค์ให้ความเป็นรมณียสถานกลับสู่วัด

นี่เป็นความพยายามในการทำให้วัดกลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่อยู่ใกล้ชิดชุมชนอีกรอบใช่ไหม

แน่นอน คนสมัยก่อนเขาสร้างวัดให้ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งเล่น แต่เดี๋ยวนี้สร้างเอาสวยไว้ก่อนเพื่อแข่งกัน ทั้งๆ ที่ประโยชน์ใช้สวยกับประโยชน์ใช้สอยต่างกัน พล.อ.ประวิตร (วงษ์สุวรรณ) ซวยทุกวันนี้เพราะอะไร? เพราะนาฬิกาสวยไหม รัฐมนตรีบางคนทำถนนอย่างสวย เขาเรียก ‘ชิดชอบบุรี’ แต่ถนนเส้นนั้นมุ่งสู่ประตูบ้านตนเอง ใช้กันอยู่ไม่กี่คน ไอ้เส้นที่ไม่สวยกลับเป็นถนนที่คนใช้กันเยอะ พวกนี้เอางบไปถลุงกันหมดเพราะความสวย

สไตล์การเทศน์ของพระอาจารย์สมัยก่อนจะเน้นเรื่องอบายมุข แต่ปัจจุบันหันมาพูดเรื่องประเด็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากกว่าเดิมหรือเปล่า

เราจะเน้นความเหลื่อมล้ำทางที่ดิน เจ้าสัวมีตั้ง 100,000-500,000 ไร่ ส่วนคนจนแม้แต่ไร่เดียวยังไม่มี วัดเราจึงมีนโยบายว่าไม่สร้างโบสถ์ ไม่สร้างเจดีย์ เมื่อได้เงินมาก็เอาไปซื้อที่ดินอย่างเดียว คุณรู้ไหมว่า เดิมทีวัดสวนแก้วมีขนาดเพียง 3 ไร่ เท่านั้น แต่บัดนี้ขาดอีกเพียงไร่เดียวก็จะครบ 300 ไร่ และในอนาคตยังจะเกินกว่านี้อีกด้วยซ้ำ

ถามว่าทำไมต้องซื้อที่ดิน เพราะการสร้างงาน สร้างอาชีพ ต้องสร้างบนแผ่นดินทั้งนั้น ที่ดินของวัดบางส่วนใช้ปลูกผลหมากรากไม้ แล้วเอาผลไม้นั้นไว้แจกคนทำบุญบ้าง เดินบิณฑบาตรเช้าๆ ก็ให้คนหิ้วไปแจกนับสิบๆ เข่ง ทั้งพริก ผัก และผลไม้ บางส่วนเราก็ไว้ให้ชาวบ้านและคนงานขายบ้าง ไม่อย่างนั้นมันก็จะเน่า โยมบางคนเขาวนมาใส่บาตรหลายรอบ เพราะอยากจะได้ผักต่างๆ (หัวเราะ) เด็กๆ ก็อยากใส่บาตร เพราะจะเอาขนม

นี่คือการดึงศาสนาให้สัมพันธ์กับชีวิตคนใช่ไหมครับ

ต้องเรียกว่าดึงกลุ่มวัยรุ่นและเด็กๆ เพราะคนแก่นั้นแน่นอนอยู่แล้ว เขาไม่ทิ้งศาสนา แต่วัยรุ่นต้องรีบดึงเข้ามาให้ได้และให้ไวที่สุด

แต่สาเหตุหนึ่งที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ชอบใจนักคือ การมีศาสนาเปรียบเสมือนการตีกรอบจำกัดชีวิตเขา แล้วโทษเรื่องบาปบุญหรือเวรกรรมไปเสียหมด

คนสมัยก่อนชอบสอนกันอย่างนั้น เขาเรียก ‘เอาสวรรค์มาฉก เอานรกมาขู่’ แต่วิธีการสอนแบบเก่าก็ได้ผลแค่กับคนรุ่นเก่าๆ เพราะเดี๋ยวนี้คนจะเต็มใจฟังแต่เรื่องราวที่มีเหตุมีผล พิสูจน์ได้จริง หรือ practical (เอาไปปฏิบัติได้จริง) มากกว่า ไม่เช่นนั้นเขาไม่เอาด้วยแล้ว

วิธีการสอนของเราจึงพยายามพิสูจน์ให้เห็นเลย ตัวอย่างเช่นเรื่องเล่าก่อนหน้านี้ เด็กคนนั้นตายเพราะอะไรกันแน่ ไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่แฟน เขาไม่ได้ตายเพราะผู้ชายทิ้งหรอก แต่ตายเพราะตัวเองทิ้งธรรมะ ดังนั้นแม้แต่ชีวิตของตนก็ทิ้งได้

อีกอย่างนะ แล้วใครบอกว่าศาสนาต้องตีกรอบชีวิตเสมอ กฎระเบียบบางอย่างสามารถปรับเปลี่ยนได้ แม้แต่ในวัดของอาตมาก็เปลี่ยนหลายๆ อย่าง จากเทียนพรรษาต้นใหญ่กลายเป็นหลอดไฟนีออนหมดแล้วนะตอนนี้ แต่วัดไม่มีค่าน้ำค่าไฟ เราจึงบอกญาติโยมว่า เปลี่ยนจากค่าต้นเทียนมาเป็นค่าน้ำค่าไฟแทนก็ได้นะ

คำถามสุดท้ายครับ การที่คนรุ่นใหม่ออกมาต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม สิ่งนี้เป็นความพยายามในการดับทุกข์ ณ ปัจจุบันหรือเปล่า หรือเราอาจเรียกได้ไหมว่า สิทธิและเสรีภาพเป็นความเชื่อและศาสนาแบบใหม่ของเขา

มีส่วน ตอนนี้เราต้องยอมรับว่า การเรียกร้องสิทธิต่างๆ หรือสิทธิเท่าเทียมไม่เคยมีมาก่อน เช่น การเรียกร้องให้คนเพศเดียวกัน ไม่ว่าจะชายรักชายหรือหญิงรักหญิง แต่ก็เรียกร้องกันจนสำเร็จ เราอยากฝากเอาไว้นิดเดียวนะว่า สิทธิเสรีภาพที่คุณเรียกร้องจนได้มา เป็นเพราะคนอื่นๆ เขายอมให้ ถ้ากฎหมายหรือสังคมไม่เอาด้วย คุณก็แต่งกันไม่ได้ 

ในพุทธศาสนาของเรามีเสรีภาพอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องรอให้ใครมามอบให้ นั่นคือ สุปะฏิปันโน (การปฏิบัติดี) หากคุณปฏิบัติดีแล้วก็จะได้มรรคได้ผลเสมอกันหมด นี่คือเสรีภาพที่เสมอภาคที่สุด การเรียกร้องให้คนเท่ากันหมดนั้นทำยากเกินไป มนุษย์ไม่ได้ฉลาดเท่ากันหมด คนโง่ในบ้านนี้เมืองนี้ยังมีอีกเยอะ จะให้เท่ากันถ้วนทั่วได้ไหม ถามว่าเรื่องเงินเดือนเนี่ย (ชี้ไปที่ช่างภาพ) คุณตากล้องมีประสบการณ์เป็นสิบๆ ปี ถ่ายงานเนี๊ยบมาก แต่มีเด็กจบใหม่ถ่ายยังไม่เป็น แล้วจะเอาเงินเดือนเท่าคุณ จะให้เงินเท่ากันไหม คุณภาพต่างกันลิบโลก

ในทางศาสนาจึงบอกว่า คุณไม่ต้องเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมอะไรหรอก คุณลงมือปฏิบัติเถอะ เดี๋ยวสิ่งต่างๆ จะเข้ามาเอง นี่คือมรรคผล และถ้าคุณสำเร็จมรรคผลจนบรรลุโสดาบัน บรรลุพระอรหันต์ไปแล้ว ก็จะไม่มัวมาเรียกร้องอะไรอีกเลย เพราะปราศจากความอยากแล้ว

Author

ปิยนันท์ จินา
หนุ่มใต้ที่ถูกกลืนกลายเป็นคนอีสาน โตมาพร้อมตัวละครมังงะญี่ปุ่น แต่เสียคนเพราะนักปรัชญาเยอรมันเคราเฟิ้มและนักประวัติศาสตร์ความคิดชาวฝรั่งเศสที่เสพ LSD มีหนังสือเป็นเพื่อนสนิท แต่พักหลังพยายามผูกมิตรกับมนุษย์จริงๆ ที่มีเลือด เนื้อ เหงื่อ และน้ำตา หล่อเลี้ยงชีวิตให้รอดด้วยน้ำสมุนไพรเพื่อคอยฟาดฟันกับอำนาจใดก็ตามที่กดขี่มนุษย์

ศิริโชค เลิศยะโส
อดีตกองบรรณาธิการ National Geographic Thai มีผลงานกว่า 20 เรื่องทั้งรูปแบบงานเขียนและภาพถ่าย ปัจุบันเป็นช่างภาพสารคดีอิสระ สนใจงานเชิงสังคม-มานุษยวิทยา ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า