เรื่อง + ภาพ : หนุ่ม หนังสือเดินทาง
1.
เรือเฟอร์รีจากฟากโอ๊คแลนด์ (Auckland) ไปยังฝั่งเดวอนพอร์ต (Devonport) ใช้เวลาแค่ 20 นาที
‘เดวอนพอร์ต’ ย่านนักคิด นักเขียนและผู้มีอันจะกิน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจราจร ผู้คนของที่นี่นิยมนั่งเรือเข้าเมืองไปทำงาน และเพื่อไม่สร้างปัญหาจราจร ศิลปินหลายคนเลยปักหลักทำงานอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้ เดวอนพอร์ตจึงมีคาเฟ่ แกลเลอรี่ และร้านหนังสืออยู่หลายร้าน บ้านเรือนก็คล้ายจะสวยงามกว่าย่านอื่น
วันหนึ่งนั้นเพื่อนของเราบางคนจัดงานแต่งงานของเขาขึ้นที่เดวอนพอร์ต
ไม่ได้จัดขึ้นในโบสถ์สวยหรูอะไร เพราะนั่นจะสำคัญไปกว่า ‘พวกเขารักกันหรือไม่?’ ได้อย่างไรเล่า เพียงแต่เลยจากย่านศิลปะไปเดวอนพอร์ตยังมียอดเขาอยู่ลูกหนึ่ง มันเป็นลูกภูเขาไฟที่ดับไปแล้วนับร้อยปีถึงวันนี้มันกลายเป็นจุดชมวิว สถานที่จ๊อกกิ้ง และลานกีฬาให้เด็กวัยก่อนสเก็ตบอร์ดได้เอากระดาษแข็งรองก้นแล้วไถลงมาจากยอดเขา บนเนินด้านหนึ่งของยอดเขาที่ว่านี้ วันนี้มันเป็นสถานที่ที่ถูกคริสตินากับเฟอร์นานโดใช้เป็นที่แต่งงาน และนั่นก็คือเหตุผลที่พวกเรามา
ขึ้นจากเรือเฟอร์รีแล้ว วันนั้นพวกเรานั่งรถเมล์ไปอีกทอดก่อนจะแวะร้านชำเพื่อซื้อน้ำผลไม้สามสี่ขวดแล้วก็เดินหิ้วขึ้นเนินไปร่วมงานของเพื่อน
‘เพื่อน’ คริสตินากับเฟอร์นานโดนิยามจำนวนแขกของพวกเขาไว้เท่านี้จริงๆ เท่าที่ทราบปีก่อนทั้งคู่เจอกันครั้งมาเที่ยวนิวซีแลนด์ ปีนี้เมื่อสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างถาวร ความสัมพันธ์ก็พัฒนาไปอีกขั้น ครั้งหนึ่งเมื่อคริสตินาจำต้องเดินทางกลับไปบราซิล เฟอร์นานโดเคยออกอุบายให้เธอช่วยเอาของไปฝากแม่ของเขาที่บ้านโดยที่หญิงสาวไม่เฉลียวใจเลยว่านั่นเป็นการดูตัว
ของชิ้นนั้นไม่มีอะไรดอกนอกจากจดหมายน้อยที่เฟอร์นานโดปรึกษากับแม่ “แม่! ผมอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ คิดว่าไง? ถ้าแม่คิดว่าดีก็ส่งแหวนมาด้วย เพราะตอนนี้ไม่มีเงิน”
นั่นเองพิธีแต่งงานกลางแจ้งในดินแดนอื่นของคนจากแผ่นดินอื่นจึงเกิดขึ้น งานเล็กๆ แขกที่มามีอยู่แค่ 20 แต่ในนั้นกลับมีตั้งหลายสัญชาติและต่างก็ทำตัวเป็นกันเองอย่างที่เจ้าของงานคาดหมาย เมื่อไปถึงเราช่วยกันเปลี่ยนศาลาเล็กๆ ให้เป็นมหาวิหารด้วยการตกแต่งมันด้วยผ้าสีขาวและช่อดอกไม้ แล้วก็พรมพื้นหญ้าและทางเดินด้วยกลีบที่เหลือ หน้าที่เวดดิ้งมินิสเตอร์(Wedding Minister) นั้นเล่าก็เป็นของบาทหลวงหนุ่มคนหนึ่งซึ่งตอนนี้แอบซุ่มซ้อมอยู่ ขณะที่เด็กหญิงเล็กๆ อีกสองคนก็กำลังตื่นเต้นกับการทำหน้าที่ถือแหวนและเดินนำหน้าเจ้าสาว เมื่อได้เวลาเจ้าบ่าวก็ขออนุญาตไปแต่งตัว เมื่อทุกอย่างพร้อมพิธีก็เริ่ม
แดดกำลังดี อากาศกำลังสบาย แล้วคริสตินากับเฟอร์นานโดก็มีช่วงเวลาสำคัญ
“บางครั้ง ความรักก็เป็นมากกว่าการได้รักหรือถูกรัก” บาทหลวงหนุ่มเริ่มกล่าวนำพิธี
“แต่มันเกี่ยวกับความมุ่งมั่น และการตัดสินใจที่แน่วแน่ รักเป็นการทะนุถนอม รับฟัง และใส่ใจอีกฝ่าย รักทำให้อุปสรรคไม่เป็นอุปสรรคเพราะเราแบ่งเบาจากกันและกัน รักทำให้ความสุขมีค่ามากยิ่งขึ้น เพราะเราแบ่งปันให้กันและกัน” บาทหลวงหนุ่มยังกล่าวต่อเนื่อง เมื่อทุกคนเงียบ ถ้อยคำของเขาก็กังวานไปไกล ใครบางคนที่ไม่ได้รับเชิญถึงกับหยุดมอง
“เจ้าสาวกับจ้าวบ่าวอาจเคยเป็นเพื่อนกัน แต่วันนี้สิ่งที่ทั้งสองกำลังจะก้าวไปสู่ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในชีวิตคน มันเป็นการรวมกันของคนสองคน ต่อจากนี้ชีวิตของทั้งคู่จะไม่เหมือนเดิม ความรับผิดชอบนั้นจะมากขึ้น ทว่าความรื่นรมย์ในชีวิตก็จะเพิ่มทวี” เมื่อบาทหลวงหนุ่มกล่าวถึงตรงนี้ ได้ยินนิยามความรักกันชัดๆ อีกครั้ง ใครหลายคนที่ดูจะเคยผ่านขั้นตอนนี้มาแล้วถึงกับพยักหน้า ขณะคนที่ยังไม่เคยก็คล้ายจะตกอยู่ในห้วงความคิด ถัดจากนี้ก็เป็นการสวมแหวน
2.
“แล้วเมื่อไหร่จะถึงคิวเธอบ้าง” เสร็จจากบนเขาเราลงมายังร้านอาหารแห่งหนึ่งของเดวอนพอร์ต แล้วใครคนหนึ่งก็โยนคำถามเอากับมายูมิ
มายูมิ เพื่อนของเราอีกคนที่มาร่วมงาน ด้วยความเป็นคนเงียบๆ เรื่องราวของเธอเลยเป็นยิ่งกว่าความลับ แต่เมื่อมาอยู่ในบรรยากาศของเพื่อน กับคนที่เธอพอจะสนิทสนม ถูกกระทุ้งมากๆ เข้า ความลับก็เริ่มรั่ว และนั่นเองเราเลยได้พบอีกหนึ่งเรื่องรัก เรื่องรักที่ต้องให้กำลังใจ
ไม่ต่างกับเฟอร์นานโดและคริสตินา 2-3 ปี มายูมิมาเที่ยวนิวซีแลนด์แล้วได้เจอกับชายหนุ่มของเธอ
หนุ่มญี่ปุ่นคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรและชื่ออะไรมายูมิไม่ขอบอก แต่เธอว่าเขากับเธอเจอกันในงานเก็บผลไม้ จากนั้นก็ทำความรู้จักประเทศและทำความรู้จักกันและกันอยู่
1 ปีก่อนจะกลับไปญี่ปุ่นเพื่อให้ต่างคนต่างบอกกับครอบครัวว่าจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่นิวซีแลนด์
ใช่…เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยที่ไม่ตื่นเต้นกับสถานที่แปลกตา พวกเขาก็เดินทางเพื่อหาหลักปักฐาน ทว่าแม้ชายหนุ่มอาจพอบอกทางบ้านได้บ้างว่าจะใช้ชีวิตในต่างแดนกับเพศอื่น แต่มาตรฐานของครอบครัวกลับทำให้มายูมิไม่สามารถทำอย่างนั้น กับชีวิตในนิวซีแลนด์ 2-3 ปีที่ผ่านเธอเลยต้องบอกทางบ้านมาตลอดว่าอยู่คนเดียว
แต่ความจริงคือ 3 ปีที่ผ่าน มายูมิได้งานแล้ว แต่ชายหนุ่มของเธอยังไม่ได้งานไม่ใช่ไม่อยากบอก เพราะท่วงทำนองที่คิดไว้ก็เป็นไปในแบบของรักแท้ทั้งหลาย มายูมิว่าเขากับเธอกะกันไว้ว่าขอสัก 2 ปี รอให้มีงานเป็นเรื่องเป็นราวกันทั้งคู่แล้วจะจัดการทุกอย่างให้เป็นอย่างที่ควร
ในช่วง พ.ศ. ที่คนนิวซีแลนด์เองยังหางานกันยาก แล้วจะนับประสาอะไรกับคนต่างชาติต่างภาษา เมื่อภาษาไม่ดีและตำแหน่งว่างนั้นมีน้อย แม้จะไม่เกี่ยง แต่ชายหนุ่มของเธอก็ไม่สำเร็จเอาเสียเลย เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่พวกเขาต้องเจอจึงไม่ค่อยสวยงาม
เพื่อควบคุมรายจ่าย พวกเขาเช่าบ้านที่ไกลจากเมืองออกไปเกือบชั่วโมง ทุกเช้าเมื่อมายูมิมาทำงาน ชายหนุ่มก็จำต้องใช้เวลากับสุนัขตัวเล็กๆ ที่พวกเขาหามาไว้เพื่อคลายเหงา ความเศร้าของชายหนุ่มนั้นมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ แต่ไม่มีทางเลือกมากนัก โชคดีที่คนรักเข้าใจ ตกเย็นนั่นแหละมายูมิถึงจะกลับมาทำกับข้าวกินกัน
“อยู่บ้านเฉยๆ ทำกับข้าวเองไม่ได้หรือ” เมื่อมายูมิเล่าถึงตรงนี้ เรานึกถึงคำของเพื่อนอีกคนที่ครั้งหนึ่งเคยตอกย้ำเอากับมายูมิอย่างเดียงสา
ไปไกลกว่านั้น บางคนถึงกับเปรยขึ้นลับหลังว่า “อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย รักไปได้อย่างไร” อาจเพราะคนชอบถาม อาจเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้สึกไร้ค่าที่หางานไม่ได้ นั่นเองมายูมิจึงไม่เคยเปิดเผยชายหนุ่มของเธอให้ใครรู้จัก ครั้งหนึ่งเมื่อน้องชายมาเยี่ยม เธอว่าถึงกับต้องเก็บรองเท้าเก็บสัมภาระของเขาไปซ่อนแล้วให้เขาเอาหมาไปเดินเล่นก่อนที่เธอจะพยายามแทบตายจนน้องยอมกลับเข้าไปพักในเมือง ซึ่งน้องก็คงงงๆ และไม่เข้าใจเหมือนกับที่หลายคนเคยงงและชอบถามว่าทำไม
“แต่กับบรรยากาศอย่างนี้เธอน่าจะลองพาเขามาบ้างนะ อย่างน้อยจะได้เริ่มมีเพื่อน” ถึงตอนนี้ใครคนหนึ่งออกความเห็น แต่มายูมิกลับเงียบ
“พยายามอีกหน่อยนะมายูมิ เราเชื่อว่าพวกเธอทำได้อยู่แล้ว” อีกสองสามเสียงดังขึ้นอย่างสนับสนุน ซึ่งก็พอจะทำให้เห็นรอยยิ้มของเธอได้บ้าง
“แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปฉันคงต้องกลับญี่ปุ่นแล้วล่ะ” ทว่ามายูมิกลับเผยว่าเธอมีอีกแผน เธอว่าจะไม่กลับบ้านตัวเอง พ่อแม่ของชายหนุ่มมีธุรกิจเล็กๆ ที่ยินดีให้ทั้งคู่กลับไปสานต่อ เธอกับเขาจะกลับไปที่นั่น และเธอจะช่วยเขาทำให้มันดียิ่งขึ้น ดีจนกระทั่งเธอสามารถบอกกับคนอื่นได้ว่าเขาคือใคร ถึงตอนนี้นั้นแหละเธอจึงจะบอกความจริงให้ที่บ้านรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ ได้ยินความตั้งใจของเธอแล้วเรารู้สึกอิ่มขึ้นมาทีเดียว
วันนั้นหลังจากทานข้าวเสร็จ เราขอตัวกลับและกลับมาพร้อมกัน กลับมาพร้อมมายูมิและเรื่องราวของเธอ
ก่อนกลับ คริสตินากับเฟอร์นานโดยื่นกุหลาบให้เราคนละช่อ ขึ้นจากเรือแล้วเราก็แยกกันไปคนละทาง สำหรับมายูมินั้นเธอเดินไปยังท่ารถเมล์คนเดียวขณะที่มือก็กำช่อดอกไม้ไว้แน่น มายูมิกำลังกลับไปหาคนรักของเธอด้วยใจมุ่งมั่นเช่นเคย