นิวยอร์กเตรียมแบนผลิตภัณฑ์อาบน้ำและเสริมความงามต่างๆ ที่มีส่วนผสมของเม็ดสครับขัดผิว เพราะพบว่าเจ้าพลาสติกเม็ดจิ๋วเหล่านี้อาจเป็นตัวการสร้างมลพิษให้แหล่งน้ำ ทำลายสิ่งมีชีวิตต่างๆ และย่อยสลายยาก
สัปดาห์ที่ผ่านมา โรเบิร์ต สวีนีย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมืองนิวยอร์ก ออกมาแถลงในนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติกรรม อีริค ชไนเดอร์แมน ว่า นิวยอร์กเตรียมออกกฎหมายห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมเม็ดพลาสติกขนาดเล็ก หรือ “ไมโครบีดส์ (Microbeads) ” ในภาษาทางการค้า
ทั้งนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ รับรู้จากโฆษณาว่า ไมโครบีดส์ มีคุณสมบัติช่วยขัดผิวและพบได้ในครีมล้างหน้าและครีมอาบน้ำ
“เราจะต้องปกป้องและรักษาแหล่งน้ำในนิวยอร์ค ตั้งแต่ทะเลสาบเกรทเลค , แม่น้ำฮัดสัน ไปจนถึงลองไอส์แลนด์ นี่ถือเป็นความรับผิดชอบของเรา” สวีนีย์ อ่านคำแถลงของชไนเดอร์แมนที่ระบุไว้ในเอกสาร
“การเป็นผู้นำในการรักษาสิ่งแวดล้อมของนิวยอร์คจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ จากการออกกฎหมาย ห้ามใช้เม็ดพลาสติกในผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เพราะเม็ดพลาสติกเหล่านี้จะไหลลงสู่แหล่งน้ำ”
พระราชบัญญัติว่าด้วยการปลอดไมโครบีดในแหล่งน้ำ (The Microbead-Free Waters Act) ที่เตรียมบังคับใช้ในนิวยอร์ก เนื้อหาสำคัญระบุว่าห้ามผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย รวมถึงการขายผลิตภัณฑ์ที่ผสมด้วยเม็ดพลาสติกกลมขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร ทุกชนิด
เพราะทีมนักวิทยาศาสตร์ในนิวยอร์ก ค้นพบว่า เม็ดไมโครบีดส์ในผลิตภัณฑ์ขัดผิวต่างๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร ได้กระจัดกระจายไปทั่วทะเลสาบทั้ง 3 ในนิวยอร์ก คือ ทะเลสาบอิรี ทะเลสาบฮูรอน และ ทะเลสาบซูพีเรีย และพบมากที่สุดในทะเลสาบอิรี ที่อยู่ชานเมืองนิวยอร์กซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างแคนาดาและสหรัฐอเมริกา
นักวิทยาศาสตร์ อธิบายสาเหตุว่า เพราะขนาดที่เล็กและน้ำหนักที่เบาจนลอยได้ในน้ำ ทำให้กระบวนการบำบัดน้ำเสียและทำความสะอาดไม่สามารถกำจัดเจ้าสครับเม็ดเล็กได้หมด และการลอยไปตามกระแสน้ำ ทำให้ไม่มีทางที่จะเก็บเจ้าไมโครบีดส์ออกจากแหล่งน้ำต่างๆ ได้ และโดยตัวมันเองก็ย่อยสลายได้ยาก
มาร์คัส อีริคเซน ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการบริหาร 5 Gyres องค์กรเอกชนที่ศึกษาและเคลื่อนไหวเรื่องการลดมลพิษจากพลาสติกในแหล่งน้ำในสหรัฐอเมริกา ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาเมื่อตุลาคมปีที่แล้วว่า
“มีไมโครบีดส์หลายล้านเม็ดที่ลอยอยู่ในทะเลสาบเกรทเลค และเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีส่วนผสมของเม็ดพลาสติกเหมือนกัน พบว่าในครีมล้างหน้าปริมาณ 1 กรัมมีไมโครบีดส์ประมาณ 6,000 เม็ด หรือประมาณ 1 ล้านเม็ดในครีมล้างหน้า 3 หลอด”
อีริคเซนเสริมว่า แม้ผลกระทบของไมโครบีดส์ต่อทะเลสอบเกรทเลค ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด แต่ข้อกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำยังมี ยกตัวอย่าง สารเคมีที่ก่อมลพิษอย่าง PCBS หรือ โพลีคลอริเนตไบฟีนิล สารโลหะหนักที่ไปเกาะกับเม็ดพลาสติก จะสามารถซึมซับเข้าสู้เนื้อเยื่อของปลาได้ถ้าปลากินไมโครบีดส์เข้าไป
“และไม่ว่าไมโครบีดส์จะสร้างมลพิษหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ มันส่งผลเสียต่อชีวิตไส้เดือนทะเล ซึ่งเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อาหารสำคัญในทะเลและแหล่งน้ำต่างๆ”
ขณะนี้บางบริษัทเริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับต่องานวิจัยของ 5 Gyres แล้ว เช่น ยูนิลีเวอร์ (ดูแล โดฟ, พอนส์ ฯลฯ) , จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ( นิวโทรจีนาและอวีโน) , พรอคเตอร์แอนด์แกทเบิล และ คอลเกตปาล์มโอลีฟ ได้ตกลงลดการใช้ไมโครบีดส์ ซึ่งตอนนี้บางแบรนด์เริ่มหันมาใช้สารธรรมชาติอย่างอื่นทดแทนไปแล้ว เช่น เกลือทะเล เมล็ดแอพพริคอต หรือ เปลือกวอลนัท เป็นต้น
สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ไมโครบีดส์ ในแถลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยังเพิ่มเติมรายละเอียดอีกว่า ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะเปิดเผยรายการ โพลีเอทีลีน หรือ โพลีโพรพิลีน ที่ใช้เป็นส่วนผสมไว้ในบรรจุภัณฑ์ และเร็วๆ นี้จะมีโครงการพัฒนาแอพพลิเคชั่น “Beat the Microbead” ให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีเม็ดพลาสติกเป็นส่วนผสมหรือไม่ โดยการสแกน
เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ฮาลีนา เบรสลาเวค หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของ Personal Care Product Council trade association ออกมาแย้งงานวิจัยของ 5 Gyres ว่าไมโครพลาสติกในผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆ ถือเป็นสาเหตที่เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพลาสติกจากแหล่งอื่นๆ
แต่อีริคเซน และกลุ่มอื่นๆ ให้ความเห็นว่า ระดับความกังวลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมยังน้อยอยู่ในคนบางกลุ่ม
“จะต้องรอให้ผลร้ายส่งผลกระทบมากกว่านี้หรือ และยิ่งประชาชนรับรู้ประเด็นนี้มากขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาก็จะไม่อยากทำลายแหล่งน้ำโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเม็ดพลาสติกมากขึ้นเท่านั้น และคงไม่มีใครอยากให้เม็ดพลาสติกที่ตัวเองใช้ขัดหน้าไปอยู่ในท้องปลาแน่ๆ”
…………………………………………………………..
ที่มา : Huffingtonpost.com
Author
