เรื่อง : อารยา คงแป้น
ภาพ : มณฑล กสานติกุล
หลังจาก 27 ชั่วโมงบนรสบัสข้ามประเทศ มิ้นท์ – มณฑล กสานติกุล ต่อสายตรงผ่านบริการฟรีคอลมาถึงเรา จากชิลีถึงไทย น้ำเสียงสดใสจากอีกทวีปทะลวงผ่านหูโทรศัพท์ เธอกล่าวทักทายพร้อมขอโทษขอโพยที่ต้องทำให้การสนทนาเริ่มต้นล่าช้ากว่านัดหมายเล็กน้อย – ด้วยความที่เขตเวลาต่างกันมาก
“ขอโทษที่เลทนะคะ พอดีรถบัสดีเลย์ไป 7 ชั่วโมง” เธอบอกกับเรา
“โห 7 ชั่วโมง” เราตกใจ
ใช่…รถบัสที่เธอโดยสารข้ามประเทศเกิดความขัดข้องทางเทคนิค แถมยังต้องฝ่าดงของการซ่อมถนน ทำให้การเดินทางล่าช้า จาก 20 ชั่วโมงเลยปาเข้าไปเป็น 27 ชั่วโมงแทน ผลที่ได้จากการเดินทางคือความเพลียและเมื่อยล้า แต่เธอก็ยังสามารถพูดคุยกับเราได้อย่างสนุกสนาน
เสียงในสายคือหญิงสาวอายุ 26 ปี ที่หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาสเปน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบปริญญาโทสาขาวรรณกรรมสเปนที่มาดริด ประเทศสเปน และเก็บเงินเป็นทุนการเดินทางได้ก้อนหนึ่ง เธอก็ตัดสินใจแพ็คของใส่กระเป๋าและออกไปตะลุยโลกคนเดียว…ไปคนเดียว
ตอนนี้เธอเดินทางมาแล้วกว่า 60 ประเทศทั่วโลก พร้อมแชร์ประสบการณ์การเดินทางและรูปภาพสวยๆ ผ่านแฟนเพจ ‘I Roam Alone’ เธอพิมพ์วัตถุประสงค์การเดินทางในช่อง description ของแฟนเพจไว้ว่า
“จุดมุ่งหมายของฉัน คือ อยากให้สาวๆ ได้เห็นภาพว่าการเป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียวมันเป็นอย่างไร อันตรายหรือไม่ เจอคนแปลกๆ บ้างไหม ต้องระวังอะไรบ้าง แต่งตัวอย่างไร นอนอย่างไร กินข้าวกับใคร เผื่อว่าวันนึงถ้าใครตัดสินใจแบกเป้เดินทางคนเดียวเหมือนฉัน อย่างน้อยก็พอจะมีข้อมูล มีคำปรึกษา มีเคล็ดลับที่ฉันแบ่งปันไว้ จะได้ไม่รู้สึกเคว้งคว้างว้าเหว่จนเกินไป”
ด้วยความที่เป็นผู้หญิงแล้วเดินทางคนเดียวนี่เอง จึงทำให้มีคนพูดถึงเธอมากขึ้นๆ สื่อหลายแขนงต่างอยากดึงเธอมาร่วมสนทนา
“คิดจะหาคู่หูเดินบ้างหรือเปล่า” เป็นความสงสัยแรกๆ ที่ถูกยิงออกไป
“เคยคิดนะ แต่ยังหาไม่ได้ การเดินทางแบบนี้มันต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง บางครั้งมันต้องผ่านปัญหาด้วยกัน เลยยังไม่รู้สึกว่าจะมีคนที่เราสามารถเดินทางได้ด้วยนานๆ”
01
นักเดินทาง
มิ้นท์ ออกเดินทางท่องโลกคนเดียวตั้งแต่อายุราวๆ 21 – 22 ปี กับทริปที่นาน 3 สัปดาห์ในประเทศโปรตุเกส การเดินทางครั้งนั้น เธอให้คำกัดจัดความว่าทั้งสนุกสนานและสะบักสะบอม เพราะทำกิจกรรมใหม่ๆ สารพัดในประสบการณ์ต่างแดน ทั้งดำน้ำและเดินทางไปชมภูเขาไฟ แถมยังเป็นทริปที่ทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับโลมา และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เจอหน้าวาฬตัวเป็นๆ ซึ่งเธอบอกว่าการไปเที่ยวแล้วได้เจอสัตว์แบบนี้น่ะ มันเข้าทางเธอจริงๆ
“ส่วนใหญ่มิ้นท์จะเอาสัตว์กับธรรมชาตินำไปก่อน แล้วมิ้นท์ก็ไม่ค่อยใช้บริการหนังสือนำเที่ยวในการตัดสินใจนะ เพราะส่วนใหญ่จะอาศัยตัวอย่างจากในหนังสืออย่าง National Geographic เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ เราก็จะใช้อ่านเอา อ่านเล็กๆ น้อยๆ แล้วถ้าแบบรูปสวย มีสัตว์ เราก็ตัดสินใจเลยว่าจะไปจะไปจะไป บางทีแค่โดนรูปหลอกก็สามารถทำให้เราตัดสินใจไปได้เลย พอได้ไปแล้วก็ประทับใจ
“แต่จะไม่เน้นเที่ยวเมืองนะ เพราะถ้าเข้าเมืองปุ๊บ เราจะกลายเป็นง่อยทันที เพราะไม่ค่อยได้ไปไหน พอเข้าเมืองก็จะเน้นพักมากกว่า เดินตามถนน กินข้าว เราก็อยากใช้ชีวิตอย่างคนพื้นถิ่นดูบ้าง เพราะบางทีก็เบื่อการเป็นนักท่องเที่ยว”
และเมื่อต้องเดินทางคนเดียว การวางแผนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง มิ้นท์สาธยายให้เราฟังว่าการแบกเป้ท่องโลกแต่ละครั้ง เธอจะวางแผนโดยขีดเส้นสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำให้ต่อกันเป็นวงกลมเพื่อมีแกนในการวางแผน ซึ่งแผนต่างๆ สามารถยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์
“การวางแผนต้องเริ่มจากการเลือกก่อนว่าอยากไปทำอะไรที่ไหนบ้าง จากนั้นก็เรียงลำดับตามความเหมาะสมของเส้นทางและสภาพอากาศ ซึ่งตรงนี้จะเป็นปัญหานิดหน่อยเพราะคาดเดาอะไรไม่ค่อยได้
“แล้วก็เริ่มหาว่าแต่ละเมืองหรือแต่ละประเทศจะเชื่อมต่อกันด้วยวิธีไหน ศึกษาดูว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง ควรอยู่กี่วัน ตั๋วเครื่องบินก็ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อยสองสามเดือน จากนั้นเริ่มหาที่พักที่ชอบเอาไว้ก่อน พอใกล้ๆ เดินทางถึงค่อยจอง”
นอกจากต้องเตรียมตัวให้พร้อม กระเป๋าเดินทางก็สำคัญไม่แพ้กัน แต่เธอบอกว่าจะทริปสั้นทริปยาว น้ำหนักของกระเป๋าก็ไม่ได้แตกต่างกัน
“มิ้นท์คิดว่าจะไป 6 เดือน หรือ 1 เดือนก็จัดกระเป๋าไม่ต่างกัน เพราะพอเข้าโฮสเทลเราก็ซักเสื้อผ้าตามปกติ อย่างทริปตอนนี้มันเป็นทริปเดินป่ามากกว่าทริปเมือง ก็จะมีกางเกงเดินป่า 2 ตัว เสื้อกล้าม 3 ตัว กางเกงขาสั้น 1 ตัว กางเกงยีนส์ 1 ตัว เสื้อยืดธรรมดาสองสามตัว ชุดนอน เครื่องกันหนาว ชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ”
ในเรื่องของที่พัก มิ้นท์เล่าต่อว่า ส่วนใหญ่เธอจะหาที่พักด้วยวิธีดูรีวิวจากในเว็บ เลือกที่ที่มีรีวิวเยอะๆ เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก
แต่นั่นทำให้เราสงสัย ว่ามีบ้างหรือไม่ที่สถานที่จริงผกผันกับคะแนนในเว็บอย่างสิ้นเชิง
“ก็ที่ชิลีนี่แหละค่ะ เขารีวิวไว้ดีมาก แต่พอไปจริงๆ มันกลับเป็นโฮสเทลที่เสียงดังมากกกกก…พัก 3 คืนนี่แทบไม่ได้นอนเลย ก็แบบนี้แหละค่ะ ตามบุญตามกรรมกันไป” เธอจบประโยคด้วยน้ำเสียงปนขำ
02
ทวีปที่ 7
แอนตาร์กติกา คือทวีปปิดท้ายหลังจากเธอไปเหยียบมาแล้ว 6 ทวีป แถมยังเป็นทริปที่เธอบอกว่าคุ้มค่ามาก เป็นไฮไลท์ของชีวิตการเดินทาง เพราะธรรมชาติบริสุทธิ์ เพื่อนเดินทางมีทัศนคติในการท่องเที่ยวชั้นเยี่ยม แถมยังได้เห็นนกเพนกวิน สัตว์ที่เธอหลงใหลในระยะแค่เอื้อมมือ
แต่กว่าจะได้ ‘ฟิน’ กับการกับท่องเที่ยวแบบนี้ มันก็ต้องแลกมาด้วยการรอคอยอันแสดทรหด มิ้นท์เล่าว่าทริปที่เธอซื้อควักกระเป๋าซื้อ เป็นการเดินทางที่ต้องนั่งเครื่องบินไปขึ้นเรือ และเป็นทริปที่คาบเกี่ยวช่วงเปลี่ยนศักราช ซึ่งทุกคนหวังที่จะได้เคาท์ดาวน์ร่วมกันบนเรือ แต่ผิดคาด เธอและลูกทริปคนอื่นไม่สามารถขึ้นบินเพื่อไปต่อเรือได้ เพราะสภาพอากาศไม่พร้อมที่จะให้ล้อเครื่องบินลาจากพื้นรันเวย์
“พอเครื่องขึ้นไม่ได้เราก็กลับโรงแรม เพื่อที่ตี 2 จะมาสนามบินใหม่ แล้วรอเครื่องออกตอน 6 โมงเช้า ตอนนั้นทุกคนก็สภาพยับเยินมาก แล้วมิ้นท์ก็ไม่ได้ฉลองปีใหม่ เพราะตอนนั้นเหนื่อยมาก หลังจากนั้นก็นั่งรถไปสนามบินตอนตี 2 พอ 6 โมงเช้าเครื่องก็ขึ้นไม่ได้อีก เพราะอากาศยังไม่ดี พวกเราก็ต้องกลับโรงแรมอีกครั้ง
“พอกลับมาถึงโรงแรมตอนตี 4 เขาก็นัดให้มาเจอกันอีกครั้ง ตอน 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น สรุปว่าไม่ได้นอน ทุกคนก็เริ่มกังวลแล้วว่าจะได้ไปหรือเปล่า แต่ไม่มีใครบ่นเลยนะ พวกเขามีทัศนคติการเดินทางที่ยอดเยี่ยมมาก”
“แล้วทัศนคติที่ดีของผู้ร่วมทริปเป็นอย่างไร” เราอยากรู้
“คือพวกเขาไม่บ่นไม่โวยวายอะไรเลย เครื่องจะขึ้นไม่ได้กี่ครั้ง ไม่ได้ฉลองปีใหม่บนเรือ เขาก็ยังยิ้มได้ตลอด มันเลยช่วยส่งให้ทริปนี้มันสนุกมากขึ้นไปด้วย” เธอไขข้อข้องใจ
สุดท้าย การรอคอยอันยาวนานก็สิ้นสุด เธอและลูกทริปฟีลกู๊ดทั้งหลายได้ขึ้นบินและลงเรือสมใจ มิ้นท์เล่าว่า หลังจากขึ้นเรือทุกคนต่างแฮปปี้ดี๊ด๊ากับความสวยงามของแอนตาร์กติกา ที่หันไปทางใดสายตาก็ปะทะแต่กับภูเขาน้ำแข็ง หาได้มีมนุษย์สักคน ยกเว้นพวกเธอ
แถมสต๊าฟของทริปยังดูแลดี มีกิจกรรมแอดแวนเจอร์ให้ทำเพียบ ทั้งนั่งเรือเล็กเข้าฝั่ง ปีนภูเขาน้ำแข็ง กางเต็นท์ ดูทะเลสาบ และมีกิจกรรมที่อาจเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของทริปคือ การกระโดดโพลาพลันจ์ (polar plunge)
“มันคือการกระโดดลงน้ำนี่แหละค่ะ แต่อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 1.1 องศา”
และทริปนี้เธอยังได้ใกล้ชิดกับสัตว์ที่เธอหลงรักมานาน
“มิ้นท์ได้ดูเพนกวินกับแมวน้ำด้วยนะ ซึ่งมันอยู่ใกล้เรามากๆ แล้วทริปเขาก็จะมีการให้ความรู้เรื่องสัตว์ มันเลยไม่ได้ดูเหมือนเป็นการเที่ยวอย่างเดียว แต่มันได้ความรู้ด้วย เพราะคนที่ทำงานบนเรือเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายๆ ประเภท ทั้งเรื่องภูมิประเทศ เรื่องธรณีวิทยา เรื่องสัตว์ เรื่องนก”
ในเมื่อเป็นทริปไม่ธรรมดา แน่นอนราคาย่อมแพงหูฉี่ 240,000 บาท คือราคาของทริปแอนตาร์กติการะยะเวลานาน 9 วัน เราทึ่งในราคา แต่เธอบอกว่า ‘โคตรคุ้ม’
“โอ๊ยยยย คุ้มมากแล้วก็สนุกมากกกกกก (เธอลากคำว่ามากเสียจนเราคล้อยตาม) ใครไปก็บอกว่าคุ้ม นี่ถ้าได้ไปรอบสองมิ้นท์ก็ยอมจ่ายนะ”
“ทริปแพงขนาดนี้ มีวิธีเก็บเงินไปเที่ยวยังไง” เราสงสัย เนื่องจากราคาของทริปที่ว่า
เธอหัวเราะก่อนตอบ
“ได้เงินเดือนจากแม่ค่ะ แต่ขอไม่บอกนะว่าเท่าไหร่ พอได้มามิ้นท์จะเก็บจากส่วนนี้แหละ และก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่สเปน เราก็ทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เอาไว้เป็นทุนสำหรับเดินทาง”
03
ทัศนคติดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ในเมื่อเดินทางรอบโลกคนเดียว แน่นอนมันย่อมมีปัญหา ซึ่งปัญหาที่คนธรรมดาจะต้องเจอก็คือ ความเหงา วันไหนเหนื่อยมาก วันนั้นเหงามาก เหนื่อยเพราะเธอต้องวางแผนทุกอย่างเอง หาที่พักเอง แถมบางครั้งขึ้นแท็กซี่ก็ต้องคอยระวังว่าคนขับน่าไว้ใจหรือเปล่า ทั้งยังต้องตื่นตัวตลอดเวลา คอยดูแลสัมภาระกระเป๋า แก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว แต่เธอหาได้ยี่หระ เพราะ “ถ้าอยากสบายให้อยู่บ้าน” เธอว่าอย่างนั้น
“พอออกมาข้างนอก เราต้องยอมรับว่ามันอยู่เหนือการควบคุมของเรา เวลาเจอปัญหาก็ให้ตั้งสติอย่าไปบ่น เพราะบ่นไปนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังทำให้คนรอบข้างหงุดหงิดอีกต่างหาก”
มิ้นท์บอกว่าการจะเที่ยวให้สนุกต้องอาศัยการมีทัศนคติที่ดี อะไรที่ช่างมันได้ ต้องช่างมัน อย่าเก็บมาคิดเล็กคิดน้อย เพราะไปในฐานะนักท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่มีทางที่จะใช้จ่ายเงินได้เหมือนคนท้องถิ่นแน่นอน
แต่ถ้าหากสามารถทำให้ตัวเองจ่ายเท่าเจ้าถิ่นได้ นั่นแปลว่าต้องเป็นคนที่ ‘โคตรเคี่ยว’ ต้องคิดคำนวณทุกอย่าง มันทำให้เสียเวลาไปโดยใช่เหตุ เช่นเดียวกับชาวต่างชาติมาเที่ยวประเทศเรา พวกเขาไม่มีทางนั่งแท็กซี่ กินข้าว ซื้อของได้ในราคาตามมาตรฐาน
เพราะสำหรับคนต่างถิ่น การถูกหลอก ถูกโก่งราคามันเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ
“ความจริงบางทีส่วนต่างที่ต้องจ่ายมันอาจจะเพิ่มขึ้นแค่ 30-40 บาท เท่านั้นเอง มิ้นท์เคยเสียเงินมากสุดก็ประมาณ 600-700 บาท ไม่เกินนั้น ซึ่งเราก็คิดว่าเราเอาเงินที่เสียไปแลกกับน้ำใจของคนที่นั่นดีกว่า เวลาเราเดินทาง มันมีทั้งคนที่หลอกเราและคนที่ช่วยเรา บางทีมีคนท้องถิ่นพาขึ้นรถเมล์แล้วไม่ต้องจ่ายเงิน เราเลยคิดว่ามันไม่เป็นไรหรอก ถัวๆ กันไป”
และการคิดแบบนี้นี่เองทำให้เธอมีเพื่อนใหม่เยอะแยะ คนล่าสุดนี่ก็น่าจะเป็นเจ้าของโฮสเทลที่ชิลีนี่เอง
“อย่างมาชิลีพักที่โฮสเทลนี้ มิ้นท์ก็กลายเป็นเพื่อนกับเขา ตอนไปเช็คเอาท์เขาบอกไม่ต้องจ่าย เพราะเราเป็นเพื่อนกันแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เงินน้อยๆ เลยนะ เพราะนอน 5 คืน ก็ประมาณ 6,000 บาท”
เธอยังบอกอีกว่าทัศนคติที่ดีนี่แหละคือสูตรสำเร็จของการเดินทาง อย่าอารมณ์เสีย เพราะการมาเที่ยวคือการมาหาความสนุก หาใช่หาเรื่องขุ่นข้องใจใส่ตัว
“เราเดินทาง เราต้องตั้งใจว่าเราจะมีความสุขกับมัน แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็อย่าไปเก็บมาเป็นอารมณ์ แล้วมันมีคำพูดหนึ่งที่พูดว่า มันจะไม่ใช่การผจญภัยเลยจนกว่าจะมีความผิดพลาด เราก็คิดแบบนี้ไว้ดีกว่า”
ตอนนี้เธอเดินทางมาแล้วกว่า 60 กว่าประเทศทั่วโลก และคงเดินทางต่อไปเรื่อยๆ เธอยังหวังว่าในอนาคตข้างหน้า เธอจะทำให้การท่องเที่ยวเป็นงานให้ได้ เพื่อจะได้อยู่กับมันได้นานที่สุด เพราะการเดินทางคือความสุข
อ้อ…เธอฝากมาบอกว่า ไปเที่ยวที่ไหนก็อย่าลืมพกสติกับรอยยิ้มติดตัวไปด้วย รับรองปลอดภัยแน่นอน
*****************************************
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร WAY ฉบับ 70 คอลัมน์ Face of Entertainment, กุมภาพันธ์ 2557)