2 กันยายน แยกอโศก ข้างล่างมีมวลชน บ้างใส่เสื้อยืดธรรมดา บ้างสวมเสื้อนักศึกษา บ้างนุ่งห่มด้วยอาภรณ์สีแดง จะด้วยสังกัดกลุ่มใดก็แล้วแต่ เราพบว่าเขาเหล่านั้นแสดงสัญลักษณ์ร่วมกันผ่านการชูนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง ขึ้นไปยังเบื้องบน
บทเวทีชุมนุม มีหลายคนขึ้นพูด พวกเขาไม่ได้ต้องการสื่อสารเพียงแค่กับคนเบื้องล่าง แต่ส่งสัญญาณไปยังรัฐสภา และถึงใครก็ตามที่มีส่วนในการทำให้บ้านเมืองมีสภาพอย่างที่เห็น
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ พูดว่า “ถ้าเราพูดว่าปล่อยเพื่อนเราไปเรื่อยๆ พูดให้ดังกระหึ่ม เป็นไปได้ว่าพรุ่งนี้เขาจะปล่อยเพื่อนเราออกมา แต่มาตรา 112 ยังอยู่ อีกสองเดือนเขาก็จับเข้าไปใหม่ วิธีเดียวที่จะทำให้เราไม่ต้องพูดคำว่า ‘ปล่อยเพื่อนเรา’ คือการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ยกเลิก 112”
ธนพัฒน์ กาเพ็ง พูดว่า “เด็กรุ่นผมเป็นอนาคตของชาติ แต่ดูสิครับว่าสิ่งที่เด็กรุ่นผมต้องเจอคืออะไร ปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ ปลูกฝังการรัฐประหาร ผมไม่ต้องการให้เด็กรุ่นผมไปสอบนายร้อย จปร. แล้วลากรถถังออกมารัฐประหารยึดอำนาจเราไม่เอาหลักสูตรกบฏครับ”
ชุมาพร แต่งเกลี้ยง พูดว่า “หลังจากเราทำขบวนกี กิจกรรมของขบวนกีมีเพียงอย่างเดียวคือเต้นยั่วๆ บนรถบรรทุก เราไม่คิดว่าเยาวชนและสมาชิกเฟมินิสต์ปลดแอกจะโดนหมายเรียก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไป 12 หมายแล้ว มึงเป็นบ้าอะไร”
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็พูดว่า “หลายคนถามผมว่า ณัฐวุฒิต้องใส่เสื้อสีแดงออกมาสู้หรือไม่ การใส่เสื้อสีแดงของผมมันอาจจะทำให้พี่น้องคนอื่นๆ ที่เคยเห็นต่าง ที่ไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้ของคนเสื้อแดงรู้สึกแสลงใจ ผมอยากกราบเรียนว่า ผมใส่เสื้อสีแดงออกมาในทุกเวทีต่อสู้ ผมไม่ได้ใส่ให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผมใส่ให้พี่น้องที่ถูกเขาฆ่าตายเมื่อเดือนพฤษภา ปี 2553 นี่คือสิ่งเดียวที่ผมทำให้พวกเขาได้ พวกเขาถูกฆ่าตายในเมืองหลวง เป็นร้อยศพ คดีไม่ไปถึงไหน”
นี่เป็นเพียงบางส่วนของเสียงพูด ไม่นับอีกหลายคนที่ส่งเสียงบนเวทีทั้งผ่านเสียงตะโกนและเสียงร้อง ทั้งหมดคือความกระอักกระอ่วนและเหลืออดแล้วของประชาชน มันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในบ่ายของวันนี้ แต่ลากยาวมาเกิน 7 ปี เป็นอย่างน้อย