“วันที่ 10 พฤศจิกายน พี่ลานะ! จะไปเดินป่า” นี่คือคำพูดของผมขณะเดินไปหาแอดมินที่ทำงาน เพื่อขอลาไปเดินป่าที่ ‘ภูสอยดาว’ จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นการเดินป่าทริปแรกของปีและอาจเป็นทริปสุดท้ายของปี 2566 เพราะโดยส่วนตัวไม่ได้มีเช็กลิสต์เก็บยอดดอยให้หมด แต่เน้น ‘อารมณ์’ และ ‘จังหวะชีวิต’ พาไปล้วนๆ และช่วงปลายฝนต้นหนาวก็เหมาะเจาะสำหรับการเดินเข้าป่าเป็นอย่างยิ่ง
การเดินทางในครั้งนี้เหมือนการ ‘แทงหวย’ แต่โชคเข้าข้าง ถูกหวยแบบโชค 3 ชั้น คือ ชั้นที่ 1 สามารถนัดมิตรสหายสายเดินป่าที่สามารถลางานพร้อมกันได้ ชั้นที่ 2 สามารถจองคิวเพื่อเดินขึ้นลานสนเพื่อไปกางเต็นท์ และชั้นที่ 3 คือ การได้ปีนขึ้นยอดภูสอยดาวที่ความสูง 2,102 เมตร (ซึ่งถือว่าเป็นยอดเขาสูงอันดับ 4 ของประเทศไทย) แต่การจะได้ปีนขึ้นยอดภูนั้นไม่ง่าย เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในบริเวณอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวด้วย เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของผู้พิชิตยอด 2,102 ทั้งหลาย
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_001-1200x272.jpg)
ดวง+ดวง+ดวง
ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มิตรสหายได้ทำการจองคิวขึ้นลานสนกับทางอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ผ่านแอปพลิเคชันของกรมอุทยานแห่งชาติ ซึ่งถือว่ามีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ประสงค์จะขึ้นลานสนเพื่อไปกางเต็นท์ อาบป่าสนสามใบและทุ่ง ‘ดอกหงอนนาค’ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งดอกหงอนนาคนี้จะบานสะพรั่งไปทั่วลานสนดั่งพรมสีม่วงเฉพาะในช่วงฤดูฝนเท่านั้น ผมได้ไปเห็นก็เกือบจะสิ้นสุดฤดูดอกหงอนนาคเข้าไปแล้ว
เมื่อจองคิวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ตั้งตารอว่าเมื่อไหร่ทางอุทยานฯ จะเปิดให้ขึ้นยอด 2,102 เมตร ซึ่งสำหรับสายเดินป่าแล้ว การไปภูสอยดาวถ้าจะค้างแรมที่ลานสน 1 คืนแล้วกลับก็คงไม่ใช่ แต่จะต้องขึ้นยอดด้วยเพื่อให้คุ้มค่ากับการเดินทางอันแสนยาวนาน ซึ่งตรงนี้ต้องพึ่ง ‘ดวง’ เป็นอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางอุทยานฯ ได้ประกาศเปิดยอดภูสอยดาวให้ได้ปีนป่ายตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป จึงรู้สึกโล่งใจไปอีก 1 เปลาะ ว่าอย่างน้อยก็ไม่เสียเที่ยว ได้ครบจบที่ยอด 2,102 แน่นอน
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ยังไม่ทันจะล่วงผ่านเดือนตุลาคม อุทยานฯ ก็ประกาศปิดการขึ้นยอด 2,102 เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ยังมีฝนตกหนักบนยอดภูสอยดาว ส่งผลให้ทางขึ้นภูได้รับความเสียหายและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เราจึงปรึกษากันในหมู่คณะถึง ‘แพลนบี’ ว่าหากทางอุทยานไม่เปิดให้ขึ้นยอดจะไปไหนต่อดี
ก่อนออกเดินทางเพียง 3 วัน เราได้รับข่าวดีเมื่อทางอุทยานฯ ประกาศเปิดให้ขึ้นยอดภูสอยดาวอีกครั้งในวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่ 2 ที่เราจะอยู่บนภูสอยดาว และเป็นไปตามแผนเดิมว่าวันนี้เราจะขึ้นยอด 2,102 จึงถือเป็นโชคดีอีกครั้งที่แผนการเดินทางท่องเที่ยวไม่สะดุดแม้แต่น้อย
ออกเดินทางได้…
ทีมงานเหยียบคันเร่งให้ล้อหมุนออกจากจังหวัดชลบุรีตอน 20.00 น. ถึงจังหวัดพิษณุโลกเวลา 02.00 น. ก่อนแทงเข้าเส้นทาง 1296 และ 1143 ไปยังอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก บนเส้นทางนี้เมื่อหลาย 10 ปีก่อน สมัยผมยังเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยเดินทางผ่านถนนสายนี้ ผ่านจังหวัดเลย เพื่อไปจังหวัดหนองคาย ตอนนั้นเส้นทางยังไม่เรียบกริบขนาดนี้ รถตู้ยังเคยติดหล่มโคลนจนต้องไปช่วยเข็นช่วยดัน กระทั่งเวลา 05.00 น. ก็ถึงปั๊ม ปตท. ชาติตระการ อันเคยมีห้องนํ้าในความทรงจำที่ผมเคยล้างโคลนจากการเดินทางอันยากลำบากเมื่อ 10 ปีก่อน
อำเภอชาติตระการมี ‘ตลาดสดเทศบาลตำบลป่าแดง’ อันเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งที่บรรดาสายป่าเดินเขา หรือรถสองแถวที่รับส่งนักท่องเที่ยวจากสถานีรถไฟพิษณุโลก-ภูสอยดาว ต้องแวะจอดซื้อของก่อนขึ้นภูสอยดาวทั้งสิ้น แม่ค้าต่างคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวสายป่าเป็นอย่างดี เราแวะซื้ออาหารกันก่อนนำไปใส่ตู้เย็นฟ้า (ถุงพลาสติกสีฟ้า) ที่จะนำไปฝากลูกหาบเอาขึ้นภูสอยดาวเพื่อนำขึ้นไปกินกันบนนั้น
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ฟ้าก็เริ่มสาง จึงตัดสินใจเดินทางต่อไปยังที่ทำการอุทยานฯ บนเส้นทาง 1237 ซึ่งมีความคิดเคี้ยวมากยิ่งขึ้นเพราะเป็นเส้นทางขึ้นเขา แต่ก็ไม่ได้ลำบากจนขับรถกันไม่ได้
และแล้วก็ถึงที่ทำการอุทยานฯ ตอนเวลาประมาณ 7 โมงกว่า ทำการลงทะเบียนขึ้นลานสนและขึ้นยอด แปรงฟัน จัดเตรียมสิ่งของให้กับลูกหาบเพื่อนำขึ้นสู่ลานสน
ทางขึ้นแสนอบอุ่น สุดทางสู่ขิต?
ทีมงานถึงหน้าประตูเส้นทางเดินขึ้นสู่ลานสน ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน 3 กิโลเมตร รถจอดหน้าทางขึ้น เวลา 08.45 น. ก็เลยเดินถ่ายรูปรอฤกษ์ 09.00 น. จึงได้เริ่มเดินขึ้นจากจุดเริ่มต้นไปยังลานสนเป็นระยะทาง 6.5 กิโลเมตร (ระยะทางจริงประมาณ 8 กิโลเมตร จากการจับพิกัด GPS)
เส้นทางจากจุดเริ่มปล่อยตัวช่างดูอบอุ่นสวยงาม มี ‘นํ้าตกภูสอยดาว’ มารอต้อนรับ ก่อนที่เราจะลัดเลาะไปตามตลิ่งลำธาร ข้ามลำธารด้วยสะพานท่อนซุงของป่าดิบชื้น เพื่อไปยังเนินแรกคือ ‘เนินส่งญาติ’ ที่เราจะเริ่มไต่ระดับขึ้นมา เป็นเส้นทางที่เอาเรื่องไม่น้อย หลายคนโดนรับน้องด้วยเนินนี้ ทำเอาตายเหมือนญาติมาส่งไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ จะกลับตัวลงไปก็ไม่ทันเสียแล้ว แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น!
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_002-1200x800.jpg)
หลังจากถูกรับน้องที่เนินส่งญาติ เราหยุดแวะดื่มกาแฟที่นี่ หยิบอุปกรณ์ ‘ชุดเคลื่อนที่เร็ว’ ออกมาจากกระเป๋าคู่ใจ 13 กิโลกรัม บวกนํ้าอีก 3 ลิตร อันมีทั้งเตาขนาดเล็ก ดริปเปอร์พับได้ และกานํ้าอย่างเบา มาต้มกาแฟดื่มเติมพลัง เมื่อดื่มเสร็จเพื่อนที่ตามมาข้างหลังเพิ่งเดินมาถึงจุดพักของเนินส่งญาติ แต่ก็ได้นอนแผ่ผายกลางโขดหิน ดังนั้น จึงตกลงกันว่า ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งจะนำไปก่อน ขึ้นถึงแล้วจะเตรียมกางทาร์ป รับของจากลูกหาบ และหุงข้าวรอไว้
ชุดลาดตระเวน 2 คน ออกเดินล่วงหน้าต่อไปยัง ‘เนินปราบเซียน’ ซึ่งเป็นการไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ยากลำบากอะไรนัก มีจุดพักคือ ‘แคร่ลูกหาบ’ หลายช่วง ห่างกันประมาณ 500 เมตร เห็นจะได้ เดินเรื่อยๆ จนถึงเนินต่อไปคือ ‘เนินป่าก่อ’ เส้นทางระหว่างทั้งสองเนินค่อนข้างยาวเป็นพิเศษ ผ่านป่าเบญจพรรณ และผ่านจุดพักหลายครั้ง เมื่อมาถึงเนินนี้ก็เติมพลังด้วยไส้อั่วชาติตระการ ที่ซื้อมาจากตลาดป่าแดง อันมีเอกลักษณ์คือ เครื่องเทศไม่เยอะ ไม่เผ็ด แต่เนื้อในนุ่มและไส้บางกรอบ พร้อมด้วยข้าวเหนียว ก่อนออกเดินทางไปยัง ‘เนินเสือโคร่ง’
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_003-1200x800.jpg)
เมื่อถึงเนินเสือโคร่งแล้ว เราจอดพักรับลมเย็นๆ ที่พัดผ่านกลางป่าเต็งรังมาให้ได้ชื่นใจ แลขวาแหงนหน้ามองขึ้นไปก็พบกับ ‘เนินมรณะ’ ที่เป็นเนินสุดท้ายของการขึ้นลานสน เนินมรณะนี้ลักษณะเหมือนหน้าผา มีทุ่งหญ้า ไร้ต้นไม้ ซึ่งบอกให้รู้ว่า เรากำลังใกล้ถึงป่าสนเขาที่มีความสูงมากกว่า 1,600 เมตรแล้ว การเดินขึ้นเนินมรณะ จะเป็นการเดินซิกแซกไปตามไหล่เขาจนสุดทาง เรามองเห็นนักท่องเที่ยวที่รวดไปก่อนหน้าจากไกลๆ ดูเหมือนมดไต่ไปเรื่อยๆ
เมื่อพร้อมแล้วจึงได้เริ่มเดิมขึ้นเนินมรณะ อันเป็น 1.5 กม. สุดท้ายก่อนถึงลานสน ขณะที่อากาศร้อนตอนเที่ยงวันก็ยิ่งทำให้ผมเหนื่อยมากยิ่งขึ้น ในแต่ละฝีก้าวต้องยกขาปีนโขดหินตลอดเส้นทาง คนที่เดินตามหลังมาก็บอกว่านี่ยากกว่าเขาช้างเผือกเสียอีก ได้แต่นึกในใจว่า “จริงเหรอวะ! อย่างน้อยไอ้เนินมรณะนี่ มันก็ดีกว่า เขาช้างเผือกล่ะวะ นั่นมี 4 ลูกเลยทีเดียว” หรือมันก็ดีกว่า “สันหนอกวัว เดินเท่าไรก็มองไม่เห็นยอดสักที” แต่ยิ่งเดินขึ้นเข้าใกล้ลานสนมากเท่าไร เราก็เห็นยอดภูสอยดาว ที่มักจะมีเมฆหมอกคลุมตลอดเวลาเข้าใกล้มากเท่านั้น
จนในที่สุด ชุดลาดตระเวนถึงลานสนในเวลาประมาณ 14.00 น. ก็รู้สึกหายเหนื่อยเมื่อเห็น ‘ทุ่งดอกหงอนนาค’ ไม่ใช่สิ! เห็นลานกางเต็นท์ต่างหาก รวมระยะเวลาเดินขึ้นลานสนภูสอยดาว 6 ชั่วโมงตามมาตรฐาน
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_004.jpg)
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_014.jpg)
ปลายขนหางช้างเผือก
เมื่อถึงลานสนที่ความสูง 1,633 เมตร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชุดลาดตระเวนได้จับจองพื้นที่เพื่อพักแรม แม้จับจองพื้นที่ในลานกางเต็นท์ที่ 1 แต่ก็ขอให้อยู่ห่างๆ จากกรุ๊ปทัวร์ที่มักจะจับจองพื้นที่บริเวณหน้าห้องนํ้าเป็นหลัก จะได้พักผ่อนยามคํ่าคืนอย่างสบายใจไร้เสียงรบกวน ก่อนเดินไปรับของจากลูกหาบที่บริเวณหน้าที่ทำการอุทยานฯ เมื่อกางเต็นท์เสร็จก็กางทาร์ปเป็นพื้นที่นั่งส่วนกลางสำหรับทำอาหารและกินอาหาร ทางเจ้าหน้าที่และลูกหาบอนุญาตให้ก่อกองไฟได้ หากจุดไม่ติดก็ไปขอ ‘ไม้เกี๊ยะ’ หรือ ‘แก่นสน’ มาเป็นเชื้อไฟในการจุดได้ เมื่อจุดไฟติดก็เริ่มหุงข้าวด้วยหม้อสนาม จนสุกกินได้ไม่ไหม้ก้น จนกระทั่งเวลา 18.00 น. เพื่อนทั้งหมดได้เดินทางมาถึงยังลานสน หลายคนเหนื่อยจนต้องทิ้งกระเป๋าให้ลูกหาบระหว่างทาง มีอาการตะคริวอีก เมื่อพวกเขามาถึงผมจึงเริ่มเปิดครัวระหว่างรอให้พวกเขาเก็บของและกางเต็นท์ โดยเมนูวันแรกก็ง่ายๆ ต้มยำไก่กับผัดกระหลํ่าปลีหมูนํ้าค้าง ซัดกันเหมือนคนอดอยากมานาน
หลังรับประทานอาหารคํ่าเสร็จก็เดินไปล่า ‘ทางช้างเผือก’ ซึ่งคืนนั้นเป็นคืนเกือบสุดท้ายที่ทางช้างเผือกจะกลับลงไปสู่ซีกโลกใต้แล้ว ผมเห็นเพียงปลายขนหางของมันแค่นั้นเอง แต่ดาวน้อยใหญ่ยังคงระยิบระยับเต็มท้องฟ้าอยู่เช่นเดิม
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_005-1200x800.jpg)
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_006-1200x800.jpg)
ท้องฟ้าเป็นใจให้เราได้พิชิตยอด
วันที่ 2 บนภูสอยดาวนั้น เราตื่นแต่ตี 5 เพื่อมาทำกิจวัตร รับประทานอาหารเช้า ดื่มกาแฟ ให้เสร็จก่อน 7 โมงเช้า เพราะจะเตรียมขึ้นยอดภูสอยดาวในช่วงเวลา 08.00 น. แม้จะเกรงๆ อยู่บ้างว่าฝนจะตกไหม แต่ก็โชคดีที่ฟ้าเป็นใจให้เราได้พิชิตยอด 2,102 ม.
เมื่อถึงเวลาเราก็เดินทางไปยังที่ทำการอุทยานฯ เพื่อสวมอุปกรณ์ความปลอดภัยคือ หมวกเซฟตี้ เข็มขัด และเชือกสำหรับการโรยตัวก่อนขึ้นยอดภูสอยดาว เมื่อทุกคนมาครบ เราเป็นชุดที่ 2 ของวันแรกที่เปิดให้มีการขึ้นยอด โดยชุดแรกเริ่มปีนตอน 7 โมงเช้า
เราเริ่มเดินทางจากหน้าที่ทำการไปยังลานกางเต็นท์ 2 เมื่อผ่านเนินเขาของลานกางเต็นท์ 2 ไปแล้ว จะเป็นเขตห้ามผ่าน ผ่านได้เฉพาะขึ้นยอดกับเจ้าหน้าที่เท่านั้น เดินมาสักพักเราจะเริ่มเข้าสู่เขตป่าดิบเขาเพื่อเริ่มสถานีการปีนยอด 2,102 เมตร โดยมี 10 สถานี ก่อนถึงยอดด้านบน เส้นทางในการปีนช่วงแรกมีขึ้นเนินบ้าง ลงหุบบ้างตามวาระ จนกระทั่งสถานีที่ 4 เป็นต้นไป จะเป็นการเริ่มปีนเขาที่มีความชันโดยประมาณ 60-70 องศา ซึ่งจำเป็นต้องโหนเชือกดึงตัวเองขึ้นไป ระหว่างทางก็ได้ชม ‘ต้นก่วม’ หรือ ‘ต้นเมเปิ้ล’ สลัดใบสีแดงลงมา มีดอกไข่ดาวที่ร่วงลงบนพื้นไปตลอดเส้นทาง ลมที่พัดผ่านเข้ามาที่ชะง่อนผาที่ยืนอยู่ก็พาให้รู้สึกหายเหนื่อยบ้าง ก่อนที่เราจะเข้าเส้นทางสุดโหดในช่วง 3 สถานีสุดท้าย ซึ่งเป็นหน้าผาตั้งชัน 80-90 องศา กับบันไดลิงให้ได้โหนขึ้นเท่านั้น
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_007.jpg)
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_008.jpg)
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_009.jpg)
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_010.jpg)
และแล้วเมื่อเวลา 11 โมง เราก็ปีนขึ้นยอด 2,102 เมตร ได้สำเร็จ บนยอดนั้นมีลานไม่ใหญ่มาก มีป้ายผู้พิชิตยอดภูสอยดาวและหลักเขตแดนระหว่างไทย-ลาว วันนั้นเราไม่สามารถมองลงมายังลานสนได้ เนื่องจากเต็มไปด้วยหมอกที่ปกคลุมขาวโพลน ต่างจากเรื่องเล่าของชุดแรกที่ได้ปีนขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ พวกเขาบอกว่า พวกเขาสามารถมองลงมาเห็นลานสนได้อย่างชัดเจน
แน่นอน ผมกับมิตรสหายอีกท่านคือ ชุดลาดตระเวน (อีกแล้ว) ส่วนคนอื่นยังขึ้นมาไม่ถึง ก็เลยต้องนำอาหารเที่ยงขึ้นมารับประทานรอ ชงกาแฟรออีกรอบ จนกระทั่งชุดปีนที่ 2 เริ่มขึ้นมาถึงเต็มลานบนยอด เราจึงตัดสินใจกลับลงไปด้านล่าง ซึ่งสวนทางกับหนึ่งในทีมงานของเราที่เพิ่งถึงยอด
การเดินลงจากยอดนั้น มีความยากลำบากกว่าขาขึ้นและดูอันตรายมากกว่า เหมือนเอาหน้าทิ่มลง เพราะอาจจะไถลลงเป็น run down ไปได้ ผมเองก็เจอประสบการณ์นี้เช่นกัน จนได้แผลเป็นตราประทับจากการที่ไถลลง แล้วตอบสนองด้วยการเอาแขนโหนเชือก แต่แขนไปครูดกับเชือกถลอกเลือดซิบ เส้นทางขาลงแม้จะลำบาก แต่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ลงมาถึงลานสนช่วงบ่ายแก่ๆ ด้วยความเหนื่อยก็ไม่ได้รู้สึกถึงความหิว แต่ไปเดินเก็บซากไม้สนมาทำฟืนสำหรับคํ่าคืนนี้ เมื่อถึงบริเวณที่พักก็ตระเตรียมเอาอุปกรณ์ไปอาบนํ้า หลังจากไม่ได้อาบนํ้ามา 2 วัน
หลังจากได้อาบนํ้าที่เย็นจัดก็รู้สึกสดชื่นตัวเบา จากนั้นก็เตรียมอาหารสุดหรู ‘ชาบูดอย’ ต้มนํ้าซุปจากไก่ที่เหลือจากเมื่อวาน พร้อมจิบกาแฟยามบ่าย ชมเมฆที่ปกคลุมยอดภูสอยดาว พร้อมเกิดคำถามขึ้นใจในว่า “กูขึ้นไปได้ยังไง”
ในระหว่างรอมิตรสหายลงมาจากยอดภูสอยดาว คนที่อยู่บนลานสน 3 คน (อีกคนไม่ได้ขึ้น) ได้เดินไปชมพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมเดินไปตามเส้นทางโดยรอบลานสน พวกเราเดินไปถึงพื้นที่อันเป็นสมรภูมิรบมาก่อนในปี 2530 นั่นคือ สมรภูมิบ้านร่มเกล้า อันเป็นสงครามขนาดย่อยระหว่างไทย-ลาว อันเกิดจากความขัดแย้งด้านพรมแดน โดยหลุมบังเกอร์ของทหารลาวยังคงอยู่บนฝั่งไทย ทว่าปัจจุบันเราไม่สามารถเดินขึ้นไปตามสันเขาเพื่อไปชมหมุดเขตแดนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้อีกต่อไป
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_011-1200x800.jpg)
หลังจากนั้นเราย้อนกลับไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ก่อนลงไปยังเต็นท์เพื่อรับประทานชาบูดอยทำเอง โดยคืนนี้ยังคงเหมือนเดิมว่า เราจะไปถ่ายดาวกันเช่นเคย แม้ว่าฟ้าฝนของภูสอยดาวจะเป็นใจ แต่พื้นที่โดยรอบเมื่อมองออกไปกลับเต็มไปด้วยพายุฝน โดยเฉพาะฝั่งลาวที่ฟ้าผ่ากระหนํ่าอยู่
ในระหว่างนั้น เราได้พบมิตรภาพระหว่างทางช่วงถ่ายดาวอยู่ ก็มีนักท่องเที่ยว 2 ท่านขอให้ผมถ่ายรูปกับดาวให้ เราก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด ผมต้องอัปรูปจากกล้องไปยังมือถือด้วยสัญญาณ 4G โชคดีที่บริเวณนั้นสัญญาณแรง ก่อนส่งรูปผ่านแอร์ดร็อปจากมือถือไปยังมือถือ 2 ท่านนั้น
ก่อนเข้านอน เราได้เดินไปพบปะสนทนากับเจ้าหน้าที่และลูกหาบซึ่งผิงไฟอยู่บริเวณหน้าที่ทำการ แม้ว่าจะอากาศจะไม่หนาวนัก ไม่ถึงเลขตัวเดียว แต่เหมือนเป็นกิจกรรมสร้างสัมพันธ์ที่มาพร้อมดาวลอยบนฟากฟ้า
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_012-1200x800.jpg)
Good Bye ภูสอยดาว
หลังจากผมและมิตรสหายใช้ชีวิตอยู่บนภูสอยดาวเป็นเวลา 2 คืน จึงได้เวลากลับมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงที่ทิ้งไว้ข้างหลังเมื่อหลายวันก่อน เช้านี้เราตื่น 6 โมงเช้า สายหน่อย หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้ว เราก็เริ่มเก็บเต็นท์และอุปกรณ์ ก่อนดำเนินการเปิดครัวรับประทานอาหารเช้า จัดแจงแบ่งข้าวแบ่งอาหาร เพื่อนำไปรับประทานระหว่างการเดินลง อีกทั้งเตรียมสิ่งของที่จะนำลงไปข้างล่างฝากให้ลูกหาบไป ก่อนที่เราจะเริ่มเดินลงในเวลา 9 โมงเช้า
ในระหว่างที่กำลังเก็บสัมภาระนั้น ก็มีคู่รักเดินมาถามว่า ตรงนี้สามารถกางเต็นท์ต่อจากพวกเราได้ไหม เพราะบริเวณที่เขากางอยู่ถัดจากเราไปด้านบนมันเป็นแอ่ง เราก็ตอบกลับไปว่าได้เลย คู่รักคู่นี้มาเยือนภูสอยดาวเป็นครั้งที่ 2 แล้ว หมายมั่นปั้นมือว่าจะขึ้นยอดภูสอยดาว 2,102 เมตร ให้ได้ เพราะการมาเยือนครั้งแรกไม่ได้ขึ้น ทว่า คู่รักคู่นี้โชคไม่ดีนัก เพราะหลังจากเมื่อวานที่อุทยานฯ เปิดให้ขึ้นยอดเป็นวันแรก แต่วันถัดมานี่เอง เจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่ามีฝนตกบริเวณยอดภูสอยดาว เพื่อความปลอดภัยจึงปิดไม่ให้ขึ้นยอด
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/phu-soi-dao_013-1200x800.jpg)
การเดินทางลงใช้เวลาน้อยกว่าตอนขาขึ้น ด้วยความเร็ว 30 นาที ต่อ 1 กิโลเมตร ทำให้ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง จึงถึงนํ้าตกภูสอยดาว เมื่อถึงนํ้าตกภูสอยดาวเรานั่งพักผ่อนรอมิตรสหายคนอื่นสักพัก แต่ว่ายังไม่มีวี่แววสักทีว่าจะถึง เพราะมิตรสหายบางคนมีอาการบาดเจ็บจากการขึ้นยอดเมื่อวานนี้ 3 คนที่อยู่บริเวณนํ้าตกจึงขึ้นรถเจ้าหน้าที่ไปยังที่ทำการอุทยานฯ ด้านล่าง เพื่ออาบนํ้าและรับของจ่ายเงินให้กับลูกหาบ ก่อนไปลงชื่อผู้พิชิตยอดภูสอยดาว 2,102 ม. เพื่อรับเกียรติบัตรและเสื้อยืด ทุกคนลงมาถึงพร้อมกันตอน 5 โมงเย็น ก่อนล้อหมุนเดินทางออกเพื่อกลับบ้านในเวลา 6 โมงเย็น
การเดินทางในครั้งนี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่น่าประทับใจ คุ้มค่ากับความพยายามในการมาเยือนภูสอยดาวในครั้งนี้ ซึ่งกลับมาพร้อมรอยประทับของเชือกที่บาดแขน ทั้งยังได้พิสูจน์แล้วว่า ภูสอยดาวที่เขาว่ายากนั้น ไม่จริงเลย เมื่อเทียบกับสันหนอกวัวหรือเขาช้างเผือกที่เคยไปมาแล้ว