ฉันรถติดอยู่บนถนนเส้นเดิม
ถนน… เชื่อมระหว่างสถานที่ซึ่งฉันใช้หากินเลี้ยงชีพ
กับสถานที่ซึ่งใช้พักผ่อนกาย เพื่อจะฟื้นขึ้น และกลับไปหาเลี้ยงชีพ ต่อไปอีกวัน และอีกวัน
ริมถนนเส้นเดิมนี้ มีคนเร่ร่อน
เขาเป็นสิ่งคุ้นเคย สำหรับบริเวณนี้
แม้ไม่ได้ปรากฏตัวทุกวัน หรือสัปดาห์
แต่เขากลับมาเสมอ
ฉันจมลงสู่ห้วงความคิด หลังจากเริ่มปล่อยวางความหงุดหงิดกับสภาพจราจร
คนเร่ร่อน ไม่มีงาน ไม่มีบ้าน… ฉันคิด
คนเร่ร่อน ตัดขาดจากการผูกมัด และความกดดันใดใด… ฉันจ้องมองเขา
เขา… จะไปที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ เท่าที่ขาสองข้างจะมีกำลัง
จะทิ้งตัวพักกายตรงไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมั่นใจว่าจะได้ตื่นมาเห็นวันพรุ่งนี้
ทั้งที่ท้องหิว แต่เมื่อรวบรวมเศษเหรียญได้สักกอง
กลับเอาทั้งหมดนั้น ไปแลกบุหรี่สองสามมวน
ราวกับว่ามันคือสิ่งจำเป็นลำดับแรกของความเป็นอยู่
เป็นวิถีที่ความมั่นคง ไม่เคยถูกนับเป็นทางเลือก
และข้อกังวลต่ออนาคต คงไม่เคยได้รับพื้นที่ในความนึกคิด
ทุกการตอบโต้กับโลก ล้วนขึ้นอยู่กับความพอใจของปัจจุบันขณะ
สำหรับฉัน… ผู้ซึ่งแต่ละวัน ต้องทำตามบทบาท เผชิญหน้าเงื่อนไขมากมาย
ทั้งส่วนที่สังคมมอบหมาย และที่ตนเองสถาปนา
ชีวิตของเขาคนนั้น
ชีวิต… ที่มีอิสรภาพเป็นสมบัติเดียวในครอบครอง
ทำให้ฉันนึกอิจฉาขึ้นมาทันใด
ฉันถูกฉุดขึ้นจากห้วงความคิด ด้วยเสียงแตรจากรถคันด้านหลัง
ฉันเคลื่อนรถไปด้านหน้า เพื่อภายในไม่กี่วินาที
จะถูกหยุดด้วยสภาพจราจร ที่ไม่ได้ผ่อนคลายไปจากเดิม
ฉันเคลื่อนผ่านเขามาไกลแล้ว
เขา… คนเร่ร่อน ผู้สวมมงกุฎล่องหน ที่ชื่อว่า ‘อิสรภาพ’
ฉัน… ผู้ติดในกับดัก ของสิ่งที่ตนเองครอบครอง
บ้านที่ฉันซื้อ ที่ทำงานที่ฉันเลือก รถที่ฉันใช้
จะปลดทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพื่อไปสวมมงกุฎแห่งอิสรภาพเช่นเขางั้นหรือ
ก็คงไม่
มงกุฎที่ว่า มันไม่มีจริงเสียด้วยซ้ำ
ขืนไปพูดต่อหน้าเจ้าตัว ว่าเขาสวมมงกุฎ
คนเร่ร่อนคงตอบว่าเหลวไหลสิ้นดี พลางสูดพ่นควันบุหรี่ ที่จับต้องได้ยิ่งกว่า
ความอิจฉาของฉัน สุดท้ายแล้วไม่ใช่สิ่งใด นอกจากกิเลสของปุถุชน
คือกระหายอยาก ในสิ่งที่ตนไม่มี
อินถา โชตะนะ