มติ ครม. มิชอบ! ข้อสังเกตต่อกรณีประทานบัตรเหมืองแร่โปแตช อุดรธานี

เนื้อหาและความเห็นในบทความเป็นสิทธิเสรีภาพและทัศนะส่วนตัวของผู้เขียน โดยอาจไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับทัศนะและความเห็นของกองบรรณาธิการ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ทำหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 เพื่ออธิบายว่าคำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินที่ 1-4/2557 ของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 4 แปลงที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีนายทุนฆ่าเสือดำ เจ้าของอิตาเลียนไทย ถือหุ้นเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยแร่และระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว 

หนังสือชี้แจงของ รมว.อุตสาหกรรม ระบุว่า พื้นที่คำขอประทานบัตรเป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้แผนแม่บทฯ พ.ศ. 2560-2564 มีผลใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 รวมถึงได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9​ ธันวาคม 2557 แล้ว จึงขอเสนอผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการดังกล่าวต่อ ครม.​ เพื่อโปรดทราบก่อนดำเนินการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรในขั้นตอนต่อไป 

นอกจากนี้ รมว.อุตสาหกรรม ยังขอให้ทบทวนเพื่อยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ด้วย เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ได้นำแผนแม่บทฯ เสนอต่อ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่งในการอนุญาตประทานบัตรจะพิจารณาอนุญาตได้เฉพาะในพื้นที่ที่แผนแม่บทฯ กำหนดให้เป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ มีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจและสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ แล้วเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ครม. จึงมีมติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 ว่า 

1) รับทราบผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียโครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ อก. รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

2) เห็นชอบให้ยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 (เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย) เฉพาะในส่วนของข้อ 2

3) ให้ อก. ร่วมกับ ทส. กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โปแตชให้ถูกต้อง เหมาะสม คุ้มค่า มีความโปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ (EIA) ให้ครบถ้วน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง และกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการด้วย

โดยสรุปมติ ครม. ทั้ง 3 ข้อก็คือ เตรียมออก/อนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชใต้ดินทั้ง 4 แปลง ซึ่งสวนทางกับข้อเท็จจริงอย่างน้อย 2 ประเด็น คือ

1. แหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง หรือแหล่งต้นน้ำ/ป่าน้ำซับซึม

การอ้างว่าพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้ง 4 แปลง จำนวน 26,446 ไร่ 1 งาน 49 ตารางวา ซึ่งกินอาณาเขตกว้างขวางมาก และได้ขึ้นทะเบียนคำขอตั้งแต่อยู่ภายใต้การบังคับใช้ของกฎหมายแร่ฉบับเก่าที่ถูกยกเลิกไปแล้ว (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510) เป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ตามแผนแม่บทฯ ที่ถูกกำหนดโดยกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560) นั้น ถือว่าเป็นข้ออ้างที่บิดเบือน ไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง เหตุเพราะว่าในหลายมาตราของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ โดยเฉพาะมาตรา 17 วรรคสี่ กำหนดไว้ชัดเจนว่า คนร. ต้องเอาพื้นที่ประเทศไทยทั้งประเทศประมาณ 320 ล้านไร่ มาจำแนกประเภทให้ชัดเจนว่าพื้นที่ไหนบ้างเป็นพื้นที่ที่ถูกหวงห้าม ไม่จัดอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองที่จะนำไปขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดใดๆ มิได้ เช่น พื้นที่อุทยานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่โบราณวัตถุและโบราณสถานตามกฎหมายที่ว่าด้วยการนั้น พื้นที่หวงห้ามเฉพาะตามกฎหมายที่ว่าด้วยการนั้น และ ‘พื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม’ และพื้นที่ไหนบ้างจัดอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง 

สอดคล้องกับคำพิพากษาชั้นต้นของศาลปกครองจังหวัดอุดรฯ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2561 ที่ชาวบ้านฟ้องในสาระสำคัญว่า การดำเนินการตามคำขอประทานบัตรทำเหมืองโปแตชใต้ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าว ได้ละเว้นหรือยังไม่ได้จัดทำ ‘รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร’ (ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่า) ที่จะต้องไต่สวนพื้นที่คำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินที่ไม่มีประชาชนคนใดสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เพราะเป็นกิจกรรมที่อยู่ใต้ผืนดินลึกลงไปไม่ต่ำกว่า 160 เมตร ตามชั้นแร่โปแตชชนิดซิลไวท์ที่ถูกสำรวจพบในพื้นที่ดังกล่าว โดยจะต้องไต่สวนประหนึ่งว่าไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรเหมืองบนผิวดิน เพื่อชี้ให้เห็นว่ามีห้วยน้ำลำธารใต้ดินไหลไปสู่ทิศทางไหน อย่างไรบ้าง และมีความสัมพันธ์กับน้ำบนผิวดินอย่างไรบ้าง 

ขออธิบายเพิ่มเติมในที่นี้ว่า โดยข้อเท็จจริงที่เห็นอยู่เป็นประจำในหลายพื้นที่การขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดต่างๆ มักพบว่าการไต่สวนตามรายงานไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร หากพบว่ามีห้วยน้ำลำธารอยู่ เจ้าหน้าที่รังวัดปักหมุด/ไต่สวนมักจะหลีกเลี่ยงที่จะเขียนลงไปว่า ‘พบ’ โดยมักจะเขียนลงไปว่า ‘ไม่พบ’ เพราะถ้าเขียนลงไปว่าพบ ก็จะทำให้ดำเนินการตามคำขอประทานบัตรต่อไปไม่ได้ และคนที่ลงนามรับรองทั้งผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน และเจ้าหน้าที่รังวัดปักหมุด/ไต่สวน มักถูกกล่าวหาและถูกลงโทษว่ามีความผิดอยู่เสมอในหลายพื้นที่จากการร้องเรียนและฟ้องคดีของชาวบ้าน 

หลังมีการฟ้องร้องของชาวบ้าน ศาลปกครองชั้นต้นจึงได้พิพากษาว่า การดำเนินการตามคำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินทั้ง 4 แปลง มีความผิดจริง เพราะยังไม่ได้จัดทำ ‘รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร’ จริงตามที่ชาวบ้านกล่าวหา/ฟ้องคดี 

แต่เนื่องจากในระหว่างพิพากษาก็ได้มีการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่ และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) หน่วยงานในสังกัด อก. ก็ได้ออกอนุบัญญัติ/กฎหมายลำดับรองจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ขึ้นมาใหม่ คือ ‘ประกาศกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรังวัดกำหนดเขตคำขอตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 พ.ศ. 2562’ (เป็นประกาศฉบับใหม่เพื่อยกเลิกประกาศฉบับเก่าในชื่อเดียวกันที่ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ให้หลังจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับได้เพียงแค่ 2 วัน) เพื่อไม่ให้การดำเนินการตามคำขอประทานบัตรชนิดแร่ใดๆ ก็ตามต้องจัดทำ ‘รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร’ อีกต่อไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องไต่สวนเรื่องห้วยน้ำลำธารและที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทอื่นๆ 

อย่างไรก็ตาม ประกาศดังกล่าวก็ยังมีหลักการให้ต้องรังวัดปักหมุดขอบเขตคำขอโดยคำนึงถึงที่ดินเอกชน ที่ดินรัฐ ที่สาธารณประโยชน์ต่างๆ อยู่ดี ถึงแม้จะไม่ต้องไต่สวนตามรายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร ก็มิอาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องรังวัดปักหมุดทับลงไปในพื้นที่ที่เป็นห้วยน้ำลำธารและที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทอื่นๆ โดยไม่ใส่ใจ/ละเลยมิได้ ศาลปกครองชั้นต้นจึงได้พิพากษาให้กลับไปดำเนินการขอประทานบัตรทำเหมืองโปแตชใต้ดินทั้ง 4 แปลง ตามกระบวนการ/ขั้นตอนของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ให้ครบถ้วน แปลง่ายๆ ว่าให้กลับไปดำเนินการขอประทานบัตรใหม่ตามกระบวนการของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ตั้งแต่ต้น

ทว่าสิ่งที่ กพร. และ อก. ทำ คือ ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เพราะเนื่องจากมีการอุทธรณ์คดี จึงทำให้คดียังไม่ถึงที่สุด ในช่วงเวลาสุญญากาศนี้ กพร. อก. และบริษัทฯ จึงยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น

แต่ต่อให้ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ก็ยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่อยู่ดี โดยเฉพาะต้องปฏิบัติตามมาตรา 187, 188 และ 189 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า (1) บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ หรือคำสั่งที่ออกตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าและพระราชบัญญัติพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ พ.ศ. 2509 ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายแร่ฉบับใหม่ (2) บรรดาคำขอทุกประเภทที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎหมายแร่ฉบับใหม่ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นคำขอตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ แต่ให้พิจารณาดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ และ (3) บรรดาอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่า ก่อนวันที่กฎหมายแร่ฉบับใหม่ใช้บังคับ ให้ถือเป็นอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่ยังคงใช้ได้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ ตามลำดับ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขใหม่ๆ ให้ต้องปฏิบัติตาม 

ดังนั้น การอ้างว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่แล้ว โดยบิดเบือนว่าพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้ง 4 แปลง เป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ตามแผนแม่บทฯ ซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบแล้วนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะข้อเท็จจริงก็คือ อก. และ กพร. ได้ยกคำขอประทานบัตรทั้ง 4 แปลงที่ขอไว้ตั้งแต่กฎหมายแร่ฉบับเก่าใช้บังคับ เอามาอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองโดยที่ยังไม่ได้จำแนกพื้นที่ตามหลักวิชาการที่กำหนดไว้ในมาตรา 17 วรรคสี่ และมาตราอื่นๆ ของกฎหมายแร่ฉบับใหม่แต่อย่างใด 

จะเห็นว่าการจำแนกพื้นที่ตามหลักวิชาการที่กำหนดไว้ในมาตรา 17 วรรคสี่ รวมถึงมาตราอื่นๆ ของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ คือเรื่องเดียวกับที่ศาลปกครองชั้นต้นได้พิพากษาไว้นั่นเอง นั่นคือ จะต้องนำพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้ง 4 แปลง มาจำแนกให้ได้ว่าพื้นที่ไหนบ้างมีห้วยน้ำลำธารที่ไหลอยู่ใต้ผิวดิน (ระบบน้ำใต้ดิน) สัมพันธ์เชื่อมโยงกับระบบน้ำบนผิวดิน 

หรือจำแนกให้ได้ว่าพื้นที่ตามคำขอประทานบัตรทั้ง 4 แปลง พื้นที่ไหนบ้างเป็นแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมที่จะต้องถูกกันออกจากการเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองที่จะนำมาขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชมิได้ 

2. บิดเบือนกระบวนการรับฟังความคิดเห็น

การอ้างว่าได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9​ ธันวาคม 2557 แล้ว ยิ่งบิดเบือนมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะข้อเท็จจริงในพื้นที่มีแต่ความขัดแย้งที่เกิดจากการกระทำของบริษัทฯ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และยังมี อบต. ในพื้นที่บางแห่งที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการ ทั้งโดยวาจาและลายลักษณ์อักษร ส่งไปถึงส่วนราชการต่างๆ ซึ่งเป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการขอประทานบัตรตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าและฉบับใหม่ แต่ก็ยังถูกละเลย/ละเว้น/เพิกเฉยจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ปล่อยให้มีการขอประทานบัตรกระโดดข้ามหรือลัดขั้นตอนหน่วยงานท้องถิ่นไปเสีย

ทุกๆ เวทีที่เกิดขึ้นตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมาในการผลักดันโครงการนี้ บริษัทฯ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัดและกรมกองของ อก. จะทำทุกวิถีทางในการต้อนคนทั้งที่เห็นด้วยและไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาลงชื่อ นั่งกันอยู่เฉยๆ 3 ชั่วโมง ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงเที่ยง โดยไม่มีปากมีเสียง/แสดงความคิดเห็นอะไร (เพื่อให้ครบเวลาที่หน่วยงานราชการระบุไว้ว่า การจัดเวทีต้องจัดอย่างน้อย 3 ชั่วโมง แต่กลับไม่ระบุว่าใน 3 ชั่วโมงนั้นต้องเสนอและต้องได้เนื้อหาอะไรกลับมาบ้าง และไม่ระบุว่าในเวทีต้องมีสัดส่วนของผู้เห็นต่างด้วยจึงจะครบองค์ประกอบ/องค์ประชุม) และทำทุกวิถีทางในการกันคนเห็นต่างไม่ให้เข้าร่วมเวที แม้ต้องใช้กำลังตำรวจพร้อมอุปกรณ์คุมฝูงชนและ อส. หลายร้อยนายก็ตาม ถึงขั้นที่ในยุครัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. จัดเวทีในห้องประชุมเทศบาล/อบต. ในพื้นที่ไม่ได้ ก็เข้าไปจัดในค่ายทหารแทน

ทั้งๆ ที่โครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานีครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่มาก เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก จำเป็นต้องคำนึงถึงทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม สุขภาพ และเศรษฐกิจ รวมถึงต้องทำทุกวิถีทางในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน คุณภาพชีวิต การมีสุขภาพอนามัยที่ดีของประชาชน และเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน แต่เวทีต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา กลับสร้างความเข้าใจและการรับรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ที่กันผู้เห็นต่างซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงที่ถูกระบุไว้ในกฎหมายแร่ทั้งฉบับเก่าและฉบับใหม่ออกไปด้วย เป็น 15 เปอร์เซ็นต์ของผู้เห็นด้วยและผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กับโครงการฝ่ายเดียวเท่านั้น

ในมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 จะเห็นได้ชัดถึงความละอายของกระทรวงอุตสาหกรรม กพร. และ ครม. ประยุทธ์ที่ไม่สามารถจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9​ ธันวาคม 2557 ได้จริง จึงมีมติให้ยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 (เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย) เฉพาะในส่วนของข้อ 2 เสียเลย เพื่อลบล้างผลผูกพันที่เกรงว่ากระทรวงอุตสาหกรรม กพร. และ ครม. ประยุทธ์จะถูกดำเนินการร้องเรียนและฟ้องคดีจากประชาชนเพื่อเอาผิดในอนาคตได้

นี่คือเนื้อหาที่ระบุไว้ในมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 (เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย) เฉพาะในส่วนของข้อ 2 ดังนี้ 

“ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่โปแตช ในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ผลดีและประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการนี้ในอนาคต และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการข้างต้นต่อคณะรัฐมนตรี โดยจะต้องมีความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป”

ในเนื้อหาของมติ ครม.​ ก็บอกไว้ชัดเจนว่า ไม่เพียงต้อง ‘ชี้แจงทำความเข้าใจ’ แต่จะต้อง ‘สร้างการรับรู้’ ให้แก่ประชาชนด้วย ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากจากบริษัทฯ และส่วนราชการในการประชาสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่จำนวนมากอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้ง 2 ประการ คือ ‘ชี้แจงทำความเข้าใจ’ และ ‘สร้างการรับรู้’

ทว่าสิ่งที่บริษัทฯ และส่วนราชการทำ กลับบิดเบือนความเข้าใจและบิดเบือนการรับรู้ของประชาชนในพื้นที่ มุ่งแต่ปั่นหัวผู้เห็นด้วยจำนวนน้อยให้เกลียดชังผู้เห็นต่าง และเกณฑ์คนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกจำนวนหนึ่งขึ้นมา แล้วอ้างว่าเป็นผู้ที่เห็นด้วยกับโครงการแล้ว จึงเกิดเป็นการสร้างความขัดแย้งขึ้นมาแทน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า