การพัฒนาอุตสาหกรรมกวาดพื้นที่แอมะซอน ป่าฝนสำคัญของโลก ไปจำนวนมาก ด้วยความกังวลเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพที่กำลังถูกทำลายจากการทำกำไรและนโยบายทางการเมือง กลุ่มชนพื้นเมือง 500 คนจาก 9 ประเทศจึงรวมตัวกันในนาม Coordinator of the Indigenous Organizations of the Amazon River Basin (COICA) เพื่อร่วมปกป้องพื้นที่ที่พวกเขาเรียกว่า เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตและวัฒนธรรม ครอบคลุมผืนป่า 700,000 ตารางไมล์ (ราว 1.8 ล้านตารางกิโลเมตร) หรือขนาดเท่าประเทศเม็กซิโก
กลุ่มพันธมิตรนำเสนอ ‘คำประกาศโบโกตา’ (Bogota Declaration) ในการประชุมด้านความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติ (The 14th UN Biodiversity Conference) ซึ่งจัดขึ้นในอียิปต์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2018 เพื่อวางกรอบแและแนวทางการทำงานร่วมกันในกลุ่มชนพื้นเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องป่าแอมะซอน ผ่านมุมมองทางวัฒนธรรมแบบองค์รวม
รายงานซึ่งปรากฏใน Common Dreams หยิบยกคำพูดของ ตุนติยัก กาตัน (Tuntiak Katan) รองประธานของกลุ่ม COICA ที่ขนานนามผืนป่าแอมะซอนเป็น “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายของความหลากหลายทางชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลก” และ “มันอยู่ที่นั่นเพราะมีพวกเราอยู่ตรงนั้น ขณะที่สถานที่อื่นถูกทำลายไปหมดแล้ว”
กลุ่มพันธมิตรมีเป้าหมายปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพในเส้นทางที่เรียกว่า ‘Triple-A’ คือ เทือกเขาแอนดีส, ป่าแอมะซอน และมหาสมุทรแอตแลนติก เพราะพื้นที่แหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากอุตสาหกรรมการเกษตร การทำเหมือง และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผนของ COICA คือการวางขอบเขตของพื้นที่ให้ชัดเจน
รายงานของ Common Dreams ยังระบุต่อว่า พวกเขาจะไม่ใช้เกณฑ์การกำหนดเขตแดนของชาติยุคใหม่ที่ถูกกำหนดโดยผู้ล่าอาณานิคม กาตัน รองประธาน COICA บอกว่า “เรารู้ว่ารัฐบาลจะพยายามข้ามหัวพวกเราไป” เขากล่าว “มันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเรา เราต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้มาเป็นร้อยปีแล้ว”
ผู้นำจากกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาของบราซิลและโคลอมเบียพยายามทำให้โครงการของ COICA อ่อนแอลง ในเดือนตุลาคม 2018 ชาอีร์ โบลโซนาโร (Jair Bolsonaro) ประธานาธิบดีบราซิล บอกว่า เขาจะอยู่ในความตกลงปารีส (Paris Agreement) ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็ต่อเมื่อบราซิลได้รับการยืนยันว่าจะมีสิทธิเหนือดินแดน Triple-A ของชนพื้นเมือง
ฆวน คาร์ลอส ฆินติอัช (Juan Carlos Jintiach) จาก COICA บอกกับ Common Dreams ถึงความเห็นด้านสิ่งแวดล้อมและชนพื้นเมืองของโบลโซนาโรว่าเป็นเรื่องน่ากังวลมาก เพราะนับเฉพาะปี 2017 เพียงปีเดียว 3 ใน 4 ของกลุ่มผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมที่ถูกลอบสังหารเป็นระดับผู้นำชนพื้นเมือง และฝ่ายตรงข้ามก็คือกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร
“สาเหตุของการสังหารผู้นำของเรา เพราะชนพื้นเมืองต้องเจอกับขั้นตอนที่ยากเย็นและราคาค่าใช้จ่ายสูงเพื่อทำให้ผืนดินของตนเองนั้นถูกกฎหมาย” ขณะที่ของกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่นั้น “ได้รับใบอุญาตมาง่ายๆ” ดังนั้น ฆินติอัชจึงเรียกร้องให้โบลโซนาโรปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อยืนยันสิทธิความปลอดภัยของชาวบราซิล
แม้ว่าจะมีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของชนพื้นเมืองเพื่อขยายขอบเขตการพัฒนาไปสู่ป่าแอมะซอน แต่สื่อส่วนใหญ่แทบจะไม่สนใจข้อเสนอของ COICA ที่จะสร้างเขตป้องกันผืนป่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมกราคม 2019 New York Times รายงานว่า โบลโซนาโรออกคำสั่งโอนอำนาจในการกำหนดพื้นที่ของชนพื้นเมืองไปอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ซึ่งมีความสนิทสนมกับกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งรายงานข่าวนี้ก็ไม่ได้พูดถึงข้อเสนอของ COICA
เช่นเดียวกันในเดือนมีนาคม 2019 The Times นำเสนอความพยายามของชนพื้นเมืองในการต่อต้านนโยบายของรัฐ แต่ก็เป็นลักษณะของการให้ความเห็นมากกว่ารายงานข่าว
เวลาผ่านไป ชนพื้นเมืองที่อาสาปกป้องผืนป่ายังถูกลอบสังหารอย่างต่อเนื่อง รายงานจาก survivalinternational.org เปิดเผยว่า ร่างของ เอไมรา วาฆาปิ (Emyra Wajãpi) ถูกพบเมื่อ 23 กรกฎาคม โดย APINA องค์กรหมู่บ้านของเขาออกแถลงการณ์ว่า ไม่มีพยานพบเห็นเหตุการณ์ แต่เชื่อว่าเขาถูกฆาตกรรมโดยคนนอกพื้นที่ ต่อมามีรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีคนของกลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองทองบุกเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมอาวุธ และขู่ว่าจะยึดบ้านของวาฆาปิ
คนในชุมชนพยายามส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังตำรวจ ซึ่งท้ายที่สุดตำรวจมาถึงพื้นที่หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 5 วัน
2 พฤศจิกายน BBC รายงานว่า เปาโล เปลินโญ กัวจาฆาร์รา (Paulo Paulino Guajajara) ชนพื้นเมืองผู้ปกป้องผืนป่า ถูกยิงเสียชีวิตโดยกลุ่มลักลอบตัดไม้ในป่าแอมะซอน เขาเป็นสมาชิกของ Guardians of the Forest ซึ่งถูกตั้งขึ้นมาต่อสู้กับกลุ่มอุตสาหกรรมลักลอบตัดไม้
อ้างอิงข้อมูลจาก: projectcensored.org |