ภายหลังการเข้าหารือของ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) พร้อมคณะ กับกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) และองค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคม #NoCPTPP วันที่ 20 ธันวาคม 2564 ต่อกรณีการเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกของความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP ได้ข้อสรุปว่า จะยังไม่มีการนำ CPTPP เข้าให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเพื่อยื่นเจตจำนงเข้าร่วมความตกลงนี้กับประเทศสมาชิกหากยังไม่มีการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน
กลุ่ม FTA Watch และเครือข่าย #NoCPTPP ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนกว่า 400,000 คน ที่ร่วมลงชื่อคัดค้านการเข้าร่วม CPTPP ระบุว่า ทางกลุ่มมีการพูดคุยถึงข้อกังวลในผลกระทบที่รุนแรงและระยะยาวต่อประชาชน และนำเสนอให้ กนศ. ยุติความพยายามที่จะผลักดัน CPTPP ให้ ครม. เห็นชอบ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
มีรายงานเผยแพร่จาก กลุ่ม FTA Watch ด้วยว่า นายดอนได้รับทราบถึงจุดยืนของภาคประชาสังคม และกล่าวยืนยันว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนไม่ใช่รัฐบาลอย่างเดียว ข้อมูลที่ กนศ. ให้มา กับข้อมูลของ FTA Watch และองค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคมนั้นแตกต่างกันมาก คนละมุมกันเลย วันนี้เราได้ทราบแล้ว เพราะอย่างนั้นอย่าเพิ่งเรียกร้องอะไร เดี๋ยวเราจะเอากลับไปคุยกับ กนศ. แล้วมาแก้ไข ไม่อยากให้การประชุมครั้งนี้เป็นเรื่องของการเรียกร้อง”
นอกจากนี้ นายดอนยังได้รับปากว่า จะยังไม่นำ CPTPP เข้า ครม. จนกว่าจะมีการศึกษาที่ชัดเจนและครอบคลุมถึงผลกระทบทุกฝ่ายอย่างแท้จริงรอบด้านตามข้อกังวลของภาคประชาสังคม
หลังการประชุมหารือ นายนิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทน FTA Watch ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมโดยย้ำถึงจุดยืน 4 ข้อของภาคประชาชน ซึ่งรวมอยู่ในข้อเสนอแนะจากรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สภาผู้แทนราษฎร และข้อเสนอของสภาองค์กรของผู้บริโภค คือ
หนึ่ง การเข้าร่วม CPTPP คือการยอมรับข้อตกลงที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาหลายฉบับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ หรือ UPOV 1991 ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่เอื้อผลประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร มีผลกระทบด้านลบต่อเกษตรกร ทั้งราคาเมล็ดพันธุ์ที่จะแพงขึ้น สิทธิเกษตรกรที่ถูกลิดรอน และการทำลายความหลายหลากทางชีวภาพ
สอง การเข้าร่วม CPTPP จะทำให้ประเทศไทยต้องยอมรับการนำเข้าสินค้าที่ปรับสภาพเป็นของใหม่ (remanufactured goods) โดยเฉพาะเครื่องมือทางการแพทย์ และขยะพลาสติกและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
สาม การเข้าร่วม CPTPP จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องรัฐบาล ถ้ารัฐบาลบังคับใช้กฎหมายหรือนโยบายใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าจะเป็นไปเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน และต้องชดเชยค่าเสียหายจำนวนมหาศาลอีกด้วย
และสุดท้าย CPTPP จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นเกือบ 400,000 ล้านบาท เพราะประเทศต้องพึ่งพายานำเข้าและมีสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 71 ในปัจจุบัน เป็นร้อยละ 89 และอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศจะมีส่วนแบ่งตลาดลดลงมากกว่า 100,000 ล้านบาท แน่นอนว่านี่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงโดยตรงต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เป็นผลงานอวดชาวโลกของไทย
ทั้งนี้ FTA Watch และเครือข่าย #NoCPTPP จะยังคงจับตามองการเคลื่อนไหวของ กนศ. ในการพิจารณาศึกษาผลกระทบของ CPTPP อย่างใกล้ชิดต่อไป