รถโดยสารสาธารณะไทยจะไปทางไหน?

 

Thailand_bus_2

รายงานสถานะความปลอดภัยทางถนนทั่วโลกประจำปี 2556 (The Global status report on road safety 2013) โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราส่วนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุด้วยอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก นับเป็นอีกเรื่องไม่ธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้กับเราทุกคน

จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งบนเวทีเสวนาวิชาการ ‘ยกเครื่องรถโดยสารสาธารณะไทย ด้วยระบบประกันภัยและการชดเชยเยียวยา’ และจากผู้เข้าร่วม ซึ่งมีทั้งผู้ที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคประจำภาคต่างๆ ในนาม ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) และอีกหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตัวแทนจากศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) รวมทั้งตัวแทนผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะและบริษัทประกันภัย

โดยที่ประชุมรวบรวมสถานการณ์และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนจะออกมาเป็นข้อเสนอในการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ระบบประกันภัยและการชดเชยเยียวยามีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนครอบคลุมการชดเชยเยียวยาสำหรับเหตุที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงทีและเป็นธรรมที่สุด

 

ConsumerCouncil-2

 

+ เปิดสภาผู้บริโภค

ตัวแทนผู้เสียหายจากบริการรถโดยสารสาธารณะ ผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ บริษัทประกันภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ‘ความทุกข์ของผู้บริโภคจากอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ: กระบวนการชดเชยเยียวยาความเสียหาย’ เพื่อรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นจากการชดเชยเยียวยาในปัจจุบัน

โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ประสบเหตุ ซึ่งสมควรเป็นฝ่ายได้รับการเยียวยาและชดเชยเบื้องต้นทันทีโดยไม่จำเป็นต้องร่วมในการพิสูจน์ถูกผิด แต่กลับต้องรอการชดเชยเยียวยาหลังกระบวนการพิสูจน์ที่ล่าช้าออกไป ถือเป็นความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นและยังไม่ได้รับการแก้ไข

รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการ ศวปถ. ร่วมเปิดเวทีสภาผู้บริโภค ในฐานะประธานสภาผู้บริโภค และเลขาสภาผู้บริโภค ตามลำดับ หลังจากรับฟังปัญหาจากผู้ประสบเหตุ ตัวแทนเครือข่ายผู้บริโภคทั้ง 5 ภาค และผู้ที่เกี่ยวข้อง สามารถสรุปแนวทางปัญหาและข้อเสนอภาคประชาชนต่อประเด็นด้านการชดเชยเยียวยา 4 ประเด็น ได้แก่

  1. ปรับค่าชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากรถโดยสารสาธารณะ
  2. ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางทัศนศึกษาของนักเรียน บุคลากร และหน่วยงานรัฐ
  3. เร่งรัดมาตรการด้านความปลอดภัย
  4. เสนอตั้งกองทุนคุ้มครองสิทธิผู้ใช้รถโดยสารสาธารณะ

 

ConsumerCouncil-1

 

1. ปรับค่าชดเชยเยียวยา

สถานการณ์

  1. การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล หลังเกิดอุบัติเหตุ ผู้ประสบเหตุต้องทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตัวเองไปก่อน
  2. การเรียกร้องค่าเสียหายของผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ ค่าเสียหายที่ได้รับ

จากกรมธรรม์ประกันภัย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เป็นการคุ้มครองเฉพาะด้านการบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งมีวงเงินที่อาจไม่เพียงพอต่อการรักษาพยาบาล เป็นการผลักภาระให้สวัสดิการสุขภาพระบบอื่นๆ

  1. การช่วยเหลือเยียวยาล่าช้า เนื่องจากต้องรอผลพิสูจน์ถูกผิด กรณีผู้ประสบเหตุเสียชีวิต

สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพ มีอัตราเยียวยาอยู่ที่ 200,000 บาท ซึ่งอาจไม่เพียงพอ

  1. การชดใช้ความเสียหายจากกรมธรรม์ประกันภัยภาคสมัครใจ บริษัทประกันภัยจะพิจารณา

ตามหลักฐาน สภาพหนักเบาของการบาดเจ็บและค่ารักษาพยาบาล ไม่มีการเยียวยาค่าเสียหายในด้านอื่น

  1. ผู้ประสบเหตุไม่ได้รับการแจ้งสิทธิ์หรือรายละเอียดกรมธรรม์โดยตรงจากหน่วยงานภาครัฐที่

เกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าต้องปรึกษาที่ไหน หลายรายยอมรับค่าสินไหมทั้งที่เห็นว่าไม่เป็นธรรม

  1. การลงลายมือชื่อในสัญญาประนอมยอมความเพื่อรับค่าสินไหมในขั้นตอนเจรจากับบริษัท

ประกันภัย อาจทำให้ผู้เสียหายเสียสิทธิ์ ไม่สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมในคดีทางแพ่งได้อีก

  1. เมื่ออาศัยกระบวนการฟ้องร้อง ต้องรอให้ผลคดีถึงที่สุดก่อนจึงจะได้รับการชดเชย ซึ่งใช้

เวลานาน ผู้ประสบเหตุไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. เพิ่มวงเงินประกันภัยภาคบังคับ จาก 200,000 บาท เป็น 1 ล้านบาทต่อราย โดยแยกเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพออกจากค่ารักษาพยาบาล
  2. เพิ่มวงเงินประกันภัยอุบัติเหตุสำหรับรถโดยสารสาธารณะสูงสุด จาก 10 ล้านบาท/คัน เป็น 30 ล้านบาท/คัน
  3. ทบทวนกระบวนการฟ้องร้องให้สั้นลง ออกแบบคำนวณมาตรฐานการชดเชยเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการเจรจาระหว่างผู้ประสบเหตุและเจ้าของรถที่เกิดเหตุ

 

2. ยกระดับความปลอดภัยทัศนาจร

สถานการณ์

  1. ช่วงเดือนตุลาคม 2554 ถึงมีนาคม 2556 เกิดอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ 234 ครั้ง โดยเป็นรถทัศนาจร 36 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 15.4 มีผู้เสียชีวิต 29 ราย บาดเจ็บ 846 ราย
  1. การสำรวจประสบการณ์การทัศนศึกษาครั้งที่ผ่านมาของสถานศึกษา 36 แห่งในจังหวัดนครราชสีมา พบว่า ร้อยละ 9 เคยประสบอุบัติเหตุ ร้อยละ 16 เกิดรถเสียระหว่างทาง ร้อยละ 40 มีรายงานว่าพนักงานขับรถเร็ว และร้อยละ 40 พบรถไม่ติดตั้งเข็มขัดนิรภัย
  2. งบอุดหนุนในการจัดกิจกรรมนอกสถานที่มีจำกัด ทำให้โรงเรียนต้องลดรายจ่ายด้วยวิธีต่างๆ อาทิ ไม่พักค้างคืน ใช้รถ 2 ชั้น หรือจ้างพนักงานขับรถคนเดียวในเส้นทางที่ขับเกิน 4 ชั่วโมง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. ปรับหลักเกณฑ์งบอุดหนุนการศึกษานอกสถานที่
  2. จัดทำสัญญาเช่าให้รัดกุม
  3. จัดทำแผนการเดินทางที่คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ ได้แก่ กำหนดระยะทางให้เหมาะกับช่วงวัยนักเรียน เลือกใช้รถโดยสารชั้นเดียว โดยเฉพาะในเส้นทางลาดชัน หลีกเลี่ยงการเดินทางในเวลากลางคืน หากมีระยะทางเกิน 400 กิโลเมตร ต้องมีพนักงานขับรถ 2 คน

 

3. เร่งรัดมาตรการความปลอดภัย

สถานการณ์

  1. แม้จะมีกฎหมายกำหนดให้ผู้โดยสารรถสาธารณะต้องคาดเข็มขัดนิรภัย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท แต่ในความเป็นจริงพบว่าผู้โดยสารยังไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เท่าที่ควร
  2. ข้อมูลการเฝ้าระวังอุบัติเหตุรถสาธารณะพบว่า เมื่อเกิดเหตุถึงขั้นเสียชีวิตและบาดเจ็บ ผู้โดยสารทั้งหมดไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย
  3. ข้อมูลจากศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สำรวจการใช้เข็มขัดนิรภัยบนรถตู้ประจำทางพบว่า ร้อยละ 90 ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
  4. กรมการขนส่งทางบก มีเป้าหมายจะติดตั้ง GPS ในรถประจำทาง รถร่วมบริการ และรถทัศนาจร เพื่อควบคุมเรื่องความเร็วและพฤติกรรมการขับรถ แต่ยังไม่กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. กำกับให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์
  2. เร่งรัดให้กรมขนส่งทางบก ประกาศใช้ระเบียบด้านมาตรฐานความแข็งแรงโครงสร้างรถ มาตรฐานความแข็งแรงของเบาะที่นั่งและเข็มขัด
  3. มีระบบสนับสนุนให้รถร่วมบริการ และรถทัศนาจรที่มีความพร้อม ติดตั้ง GPS ประจำรถ

 

4. กองทุนคุ้มครองสิทธิ์

สถานการณ์

  1. เมื่อประสบอุบัติเหตุ การชดเชยจากประกันภัยภาคบังคับสำหรับผู้ประสบเหตุอาจยังไม่เพียงพอ
  2. ในกรณีที่ผู้ประกอบการเป็นผู้ร่วมบริการรายย่อย อาจทำให้การเรียกร้องค่าเสียหายเป็นไปได้ยากลำบาก หากมีการบังคับให้มีการทำประกันภัยภาคสมัครใจ อาจทำให้ผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถประกอบการได้

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. เสนอให้จัดตั้งกองทุนคุ้มครองสิทธิผู้ใช้รถโดยสารสาธารณะ เพื่อส่งเสริม ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาคุณภาพบริการ และมีแผนงานเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร
  2. ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้นโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด
  3. สามารถให้การชดเชยแก่ผู้ประสบภัยในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่สามารถชดเชยได้

 

+ ปรับวงเงิน เพื่อเยียวยาครอบคลุม

สถิติจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จากการสำรวจความคิดเห็นผู้ประสบเหตุและญาติ 142 ราย พบว่า

ร้อยละ 77 ของญาติผู้ประสบเหตุได้รับผลกระทบทางจิตใจ มีสภาพจิตใจย่ำแย่ อารมณ์ไม่ปกติ

ร้อยละ 62 ของผู้ประสบเหตุได้รับผลกระทบด้านร่างกาย เช่น ปวดมือ ปวดขา ปวดคอ และมีปัญหาในการเดิน

ร้อยละ 54 ผู้ประสบเหตุใช้เวลารักษาพยาบาลมากกว่า 1 เดือน เกือบทั้งหมดได้รับเงินชดเชยที่ไม่เพียงพอต่อค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง จนต้องไกล่เกลี่ยในกระบวนการชั้นศาล

โดยทั่วไป เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะ วงเงินในการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถในแต่ละกรณีเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคควรทราบ นอกจากนี้ หากเกิดความเสียหายต่อร่างกายหรือชีวิต บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นตามกฎหมายภาคบังคับดังต่อไปนี้

 

 

กรณี จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นทันที (บาท) พิสูจน์แล้วเป็นฝ่ายถูก (บาท)
1. บาดเจ็บ 15,000 ไม่เกิน 50,000
2. ทุพพลภาพหรือเสียชีวิตทันที 35,000 ไม่เกิน 200,000
 3. บาดเจ็บแล้วทุพพลภาพภายหลัง หรือบาดเจ็บแล้วเสียชีวิตภายหลัง ไม่เกิน 50,000 ไม่เกิน 200,000

                                                          

 

ผู้ประสบเหตุทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเยียวยารายวัน 4,000 บาท (วันละ 200 บาท เป็นเวลา 20 วัน) กรณีที่เป็นผู้โดยสาร มีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชยเต็มจำนวนโดยไม่ต้องรอการพิสูจน์ถูกผิด เนื่องจากไม่มีส่วนร่วมในการรับผิด จะได้รับค่าชดเชยเยียวยาต่อราย สูงสุด 204,000 บาท

ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ วงเงินชดเชยอาจยังไม่สะท้อนค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง กลายเป็นภาระสำหรับผู้ประสบเหตุที่ต้องขวนขวายและจัดการด้วยตัวเอง

แนวทางที่เหมาะสม คือการเร่งให้เกิดการปรับวงเงินค่าเสียหายเบื้องต้น โดยค่ารักษาพยาบาล จากเดิมจะได้ไม่เกิน 50,000 บาท เสนอให้ปรับเป็นไม่เกิน 150,000 บาท ส่วนค่าชดเชยกรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะ เดิมจะได้ไม่เกิน 200,000 บาท เสนอให้ปรับขึ้นเป็น 400,000 บาท

 

LessonConsumer-2

 

+ แม่ฮ่องสอนปฏิวัติ

เพื่อให้การผลักดันกระบวนการชดเชยและเยียวยาผู้ประสบเหตุอย่างรอบด้านและเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ผู้แทนเครือข่ายผู้บริโภคทั้ง 5 ภาคทั่วประเทศ ร่วมกันถอดบทเรียนการทำงานการคุ้มครองผู้บริโภคกรณีอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะว่าควรมีการปรับปรุงไปจนถึงยกเครื่องอย่างไรบ้าง

สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล นำเสนอบทเรียนความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดการเยียวยาในภาคเหนือ โดยยกกรณีอุบัติเหตุในพื้นที่ 3 เหตุการณ์ ซึ่งเป็นที่มาของแรงผลักดันที่เกิดขึ้นจากภาคประชาชนจริงๆ

กรณีที่พะเยา ในปี 2555 รถรับส่งนักศึกษามหาวิทยาลัยพะเยาชน มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 51 คน หรือเหตุเมื่อปี 2556 หลังจากรถทัศนาจรของกลุ่มผู้สูงอายุจากตำบลชมพู อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ตกเหวที่อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 22 ราย และบาดเจ็บ 16 คน

ส่วนเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวภาคประชาชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เกิดขึ้นหลังจากอุบัติเหตุรถโดยสารของบริษัทเปรมประชาพลิกคว่ำในวันที่ 17 เมษายน 2557 ที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บ 61 คน ทั้งที่รถโดยสารดังกล่าวสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 40 ที่นั่ง

บริษัทเปรมประชา เป็นผู้ถือสัมปทานการเดินรถโดยสารสาธารณะในเส้นทาง เชียงใหม่ – แม่ฮ่องสอน มาโดยตลอด ปัจจุบันแม้บริษัทจะประสบปัญหาด้านการเงิน แต่ยังได้รับการต่อสัญญาเดินรถในปี 2557 ไปอีก 7 ปี

การเยียวยาที่เกิดขึ้นจากบริษัมเปรมประชาคือ การดูแลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ โดยผู้เสียชีวิตจะได้เงินชดเชยรายละ 200,000 บาท ไม่พบว่าบริษัททำประกันภัยภาคสมัครใจเพื่อดูแลผู้ประสบเหตุให้ครอบคลุมขึ้นแต่อย่างใด

28 เมษายน เป็นวันที่ประชาชนชาวแม่ฮ่องสอนประมาณพันคน รวมตัวกันเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิผู้บริโภคที่ถูกละเมิดจากบริการรถโดยสารสาธารณะ หลังจากนั้น ในเดือนพฤษภาคม ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตั้งคณะทำงานเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ นอกจากนั้น ยังมีการเปิดโต๊ะเจรจากับผู้ประกอบการอย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ถึงบัดนี้ ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร กลุ่มผู้เสียหายประมาณ 20 ราย จึงตัดสินใจเตรียมฟ้องคดี เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในสิทธิที่พึงได้รับ

สำหรับผู้สนใจ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เพจเฟซบุ๊ค ‘ชาวแม่ฮ่องสอนไม่เอารถโดยสารเปรมประชา’

 

LessonConsumer-1

+ ถอดบทเรียนภาคประชาชน

จากเหตุการณ์รถรับส่งนักเรียนโรงเรียนกันทรลักษณ์วิทยาเกิดอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก 6 ล้อ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2556 ในอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีนักเรียนได้รับบาดเจ็บ 19 ราย ปฏิวัติ เฉลิมชาติ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคอีสาน มีโอกาสได้รับเรื่องร้องเรียนจากญาตินักเรียนที่ได้รับอุบัติเหตุและเข้ามาขอคำปรึกษาเนื่องจากยังขาดประสบการณ์การรับมือในเรื่องนี้

ทางเครือข่ายฯได้ให้ความช่วยเหลือทั้งในด้าน การแจ้งสิทธิของผู้โดยสารที่ควรจะได้รับ การสืบค้นข้อมูลเรื่องรถโรงเรียนปลอดภัย จากโครงการบางปลาม้าโมเดล ของจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อให้สถานศึกษานำไปต่อยอด ตลอดจนการลงพื้นที่เพื่อหาข้อเท็จจริง ทำความเข้าใจกับนักเรียนและผู้ปกครอง โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือด้านการคุ้มครองสิทธิตนเอง และมาตรการการป้องกันอุบัติเหตุ และพยายามระดมความคิดเห็นจากนักเรียนและผู้ปกครอง ว่ารถโรงเรียนปลอดภัยในความต้องการของพวกเขาเป็นอย่างไร

ความเปลี่ยนแปลงหลังอุบัติเหตุคือ เกิดการรวมกลุ่มผู้เสียหายจากรถโดยสารสาธารณะ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายและผลักดันโครงการรถโรงเรียนปลอดภัย ขณะที่ทางโรงเรียนกันทรลักษณ์วิทยาจัดทำทำเนียบผู้ให้บริการรถโรงเรียน ออกใบรับรองแก่ผู้ขับรถและจัดประชุมอบรมอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของนักเรียนก็มีการอบรมแกนนำคุ้มครองผู้บริโภคและเฝ้าระวังรถโดยสารปลอดภัย เพื่อช่วยกันเป็นหูเป็นตาและตรวจสอบเบื้องต้น

 

JutaHadyai

ในฐานะตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้ จุฑา สังขชาติ เสนอข้อมูล 3 อันดับเรื่องร้องเรียนด้านบริการรถโดยสารสาธารณะผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ 1584  ทั้งสิ้น 12,144 ราย พบว่า

 

1. ขับรถประมาท ขับเร็ว 3,600 ราย
2. ไม่หยุดรับ-ส่งผู้โดยสารที่ป้าย 2,115 ราย
3. แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ 1,958 ราย

 

จากการเฝ้าระวังของกลุ่มอาสาสมัครในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พบว่า ในพื้นที่มีการปรับเปลี่ยนการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ จากรถเมล์ไปเป็นรถตู้โดยสารมากขึ้น โดยมีรถให้บริการเกือบทุกเส้นทาง จึงแบ่งการเก็บข้อมูลแบ่งตามเส้นทาง 5 เส้นทาง ได้แก่ อ.หาดใหญ่-อ.เมืองสงขลา อ.จะนะ อ.สะเดา อ.กระแสสินธุ์ และ อ.ระโนด

ผลการสำรวจพบว่า รถตู้โดยสารร้อยละ 24 หรือราว 1 ใน 4 มีการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยจริง แต่ยังมีสภาพไม่พร้อมใช้งาน พบการบรรทุกผู้โดยสารเกินกำหนดอยู่ที่ร้อยละ 34 ขณะที่ปัญหาที่ผู้โดยสารพบแล้วค่อนข้างกังวลเป็นอันดับหนึ่ง คือ พนักงานขับรถใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ โดยพบร้อยละ 70 ปัญหาเรื่องไม่มีป้ายบอกราคาค่าเดินทาง อยู่ที่ร้อยละ 43

การสังเกตการณ์ผู้โดยสารขณะใช้บริการ พบว่าผู้โดยสารร้อยละ 66 ไม่ใช้เข็มขัดนิรภัยเลย มีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่ให้ข้อมูลว่าใช้ทุกครั้งที่นั่ง

ข้อเสนอในการปรับปรุงแบ่งออกเป็น 4 ประเด็น ได้แก่ การใช้เข็มขัดนิรภัย การให้ข้อมูลเรื่องราคา การให้ข้อมูลเรื่องความปลอดภัยกับผู้โดยสาร และพฤติกรรมที่ต้องปรับปรุงของผู้ขับรถ

 

KongsakConsumer

ในส่วนของบทเรียนการฟ้องคดีรถโดยสารสาธารณะ คงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ให้ข้อมูลสถิติคดีที่ทางศูนย์ฯรับดำเนินการไปแล้วทั้งหมด 186 คดี โดยแบ่งเป็น 6 ประเภท ดังนี้

 

1. รถทัวร์ ร้อยละ 35 4. รถรับส่งนักเรียน ร้อยละ 8
2. รถนำเที่ยว ร้อยละ 28 5. รถตู้ ร้อยละ 8
3. รถรับส่งพนักงาน ร้อยละ 16 6. รถเมล์ ร้อยละ 5

 

ขณะนี้ คดีถึงที่สุดแล้ว 138 คดี อยู่ระหว่างอุทธรณ์ 13 กรณี และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี อีก 35 กรณี

จากประสบการณ์ คงศักดิ์สรุปปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินคดีรถโดยสาร สำหรับผู้บริโภคที่เป็นผู้เสียหาย ส่วนใหญ่ไม่มีข้อมูลและประสบการณ์ในการต่อรองกับผู้ประกอบการ ทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ประกอบกับการใช้สิทธิ์ทางคดี ยังมีความยุ่งยาก จำเป็นต้องมีทนายความ จึงมีค่าใช้จ่ายและใช้ระยะเวลายาวนาน ทำให้ผู้บริโภคเกิดความลังเลและถอดใจ นอกจากนี้ ยังขาดช่องทางช่วยเหลือผู้บริโภคในการเจรจาเรียกร้องค่าเสียหายที่เป็นธรรม

ถึงกระนั้น ในคดีที่ได้ประสบความสำเร็จ ก็ช่วยให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับการเยียวยาเพิ่มขึ้น ในส่วนผู้ประกอบการ อาทิ บขส. และบริษัทประกันภัย ก็หันมาเจรจาโดยอาศัยหลักการคำนวณค่าเสียหายตามจริงมากขึ้น แม้จะต้องฟ้องคดีก่อนก็ตาม นอกจากนั้น ยังสามารถแก้ปัญหาการฟ้องคดี ซึ่งปกติคดีละเมิดมีอายุความ 1 ปี ทางศูนย์แนะนำให้ปรับเป็นการฟ้องกรณีผิดสัญญารับขนคน ซึ่งมีอายุความ 10 ปีแทน

บางครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ตรง หรือกลายเป็นผู้ประสบอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะก่อนจะตระหนักว่า คุณภาพและมาตรฐานของรถโดยสารสาธารณะ และประเด็นในการชดเชยเยียวยา ถือเป็นเรื่องจำเป็นและคอขาดบาดตายสำหรับผู้โดยสารขนาดไหน

 

เอื้อเฟื้อภาพโดย: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

logo

Author

อภิรดา มีเดช
อดีตภูมิสถาปนิกที่สนิทสนมกับตัวหนังสือมากกว่าต้นไม้ สารพัดขนแมวที่ติดอยู่บนเสื้อสีดำเป็นเครื่องหมายแสดงความจิตใจดี เป็นเครื่องประดับแสดงความเป็นทาสแมว สนใจด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา ประวัติศาสตร์ การเมือง รวมถึงการวิพากษ์สังคมและบุคคลอย่างตรงไปตรงมา
(กองบรรณาธิการ WAY ถึงปี 2559)

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า