เมื่อ AI มาถึง ‘สิงคโปร์’ คือเมืองที่พร้อมที่สุดสำหรับการปฏิวัติแห่งอนาคต

โลกทั้งใบกำลังง่วนอยู่กับการรับมือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง เพราะรูปแบบการจัดการหลายสิ่งอย่างตกเป็นของปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI)

ภาพฝันแห่งอนาคตคือการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหามลภาวะ หรือการลดความแออัดของการจราจรในเขตมือง

คำถามคือ ในขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว นโยบายรัฐบาลในแต่ละพื้นที่ขยับตามทันหรือไม่

แม้บางประเทศ เช่น จีน จะเป็นผู้ผลิตและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์อย่างจริงจัง แต่ ‘สิงคโปร์’ กลับเป็นประเทศที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นประเทศที่พร้อมที่สุดสำหรับยุคของ AI

จากรายงานของ Oliver Wyman บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการให้คำแนะนำของโลก ได้เผยดัชนีชี้จัดลำดับความพร้อมสำหรับการมาถึงของ AI ในเมืองใหญ่ 105 แห่งทั่วโลก (Global Cities AI Readiness index) โดยใช้เกณฑ์ 4 ด้านคือ วิสัยทัศน์ (vision) การปฏิบัติ (execution) สินทรัพย์ (asset base) และวิถีการพัฒนา (development trajectory)

“คำถามที่เราสนใจก็คือ ในยุค AI ที่กำลังมาถึงนี้ เมืองต่างๆ นั้นจัดวางตัวเองที่ตรงไหน ถ้าต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ห้วงเวลานี้ เมืองส่วนใหญ่ในโลกต่างคำนึงถึงเมืองอัจฉริยะ หรือ smart city แทนที่จะขยายยุทธศาสตร์และคิดไปถึงปัญญาประดิษฐ์ทั้งระบบ”  ทิโมซิน เพอร์วาเน (Timocin Pervane) จากบริษัท Oliver Wyman ผู้เขียนรายงานฉบับนี้อธิบาย

จากเมืองต่างๆ ทั่วโลก สิงคโปร์นับเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมที่สุดในทุกๆ ด้าน มีรัฐนโยบายที่เตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เช่น การพัฒนากำลังแรงงาน และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การยกระดับ 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

“สิงคโปร์เป็นเมืองที่มีวิสัยทัศน์และความเข้าใจในเรื่องของความเป็นไปได้ ความท้าทายของเทคโนโลยีต่อสังคม รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการพัฒนา ขณะที่ในหลายๆ เมืองทั่วโลกมอง AI แค่ในฐานะตัวทำเงิน หรือเห็นเป็นโอกาสเท่านั้น แต่กลับมองข้ามไปว่าย่อมมีปัญหาอีกมากตามมาด้วย”

รัฐบาลสิงคโปร์เป็นหนึ่งเดียวจากไม่กี่รัฐบาลในโลก ที่นำเอาประเด็นด้านจริยธรรมมาผนวกรวมเข้ากับแผนพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ และคิดถึงวิธีการเตรียมชุมชนให้พร้อมกับ AI ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มีความพร้อมมาเป็นอันดับ 1 ในรายงาน 2019 Government AI Readiness Index ของ Oxford Insights ที่ออกเมื่อต้นปี

นอกจากเรื่องวิสัยทัศน์ สิงคโปร์ยังมีการจัดการด้านสินทรัพย์ได้ดีอีกด้วย ทั้งอสังหาริมทรัพย์ มันสมอง และการลงทุน แน่นอนว่ารวมถึงแรงงานและระดับการศึกษาของประชากรโดยรวม

ถัดจากสิงคโปร์ เมืองใหญ่ๆ ในโลกอย่างลอนดอน นิวยอร์ค ซานฟรานซิสโก และ ปารีส ก็ติดอันดับท็อป 5 ของดัชนีความพร้อมนี้ กรุงโซลเป็นเมืองลำดับที่ 2 ในทวีปเอเชียที่มีความพร้อมมากที่สุดสำหรับการมาถึงของ AI โดยอยู่ในลำดับที่ 16

ส่วนทางด้านประเทศจีนตามมาติดๆ ในตาราง โดยปักกิ่งอยู่ในลำดับที่ 18 และเซี่ยงไฮ้มีความพร้อมอยู่ในลำดับที่ 37 แต่ในฐานะผู้ผลิตและพัฒนา AI รายใหญ่ ถือว่าอยู่ในลำดับต่ำกว่าที่คาดไว้

“จีนแสดงออกอย่างชัดเจนและหนักแน่นมากในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงกลยุทธ์ต่างๆ ในการใช้ปัญญาประดิษฐ์จัดการ แต่ดัชนีนี้ไม่ได้วัดว่าใครขึ้นนำในการพัฒนา AI มากกว่ากัน จีนได้คะแนนต่ำกว่าที่คาดเพราะจีนไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ” เพอร์วาเนสรุป

แต่อีกแง่หนึ่ง Oliver Wyman ก็มองว่าในยุค AI นี้ จีนก็ยังมีศักยภาพในการเติบโตสูงที่สุด

ยกตัวอย่าง เสิ่นเจิ้น เมืองที่มีคะแนนสูงสุดในเกณฑ์ วิถีการพัฒนา (development trajectory) ซึ่งเป็นดั่งแบบอย่างเรื่องเล่าการเจริญเติบโตของจีน ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลในการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษปลอดภาษีเพื่อดึงดูดนักลงทุน ประชากรเพิ่มอย่างรวดเร็ว และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำ เสิ่นเจิ้นจึงถูกวางให้ใช้เทคโนโลยี AI ในการเร่งพัฒนา

จากรายงานฉบับนี้ ยังมีเมืองใหญ่จากฝั่งเอเชียอีก 3 เมืองที่ติดอันดับ ได้แก่ ฮ่องกง อยู่ในลำดับที่ 20 โตเกียว อยู่ในอันดับที่ 40 และไทเป อยู่ในลำดับที่ 46

อ้างอิงข้อมูลจาก:
asia.nikkei.com

 

Author

รุ่งรวิน แสงสิงห์
อดีตนักศึกษาการเมือง ดื้อดึง อวดดีและจอมขบถ ผู้หลงรักในการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เธอปรารถนาที่จะแสดงออกให้ชัดเจนที่สุดโดยเฉพาะบนตัวอักษรที่ออกมาจากมือของเธอ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า