รัฐบาลอียิปต์ใช้กำลังทางอากาศออกตอบโต้กลุ่มผู้ถืออาวุธ หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่โดยการโจมตีด้วยระเบิดและกราดยิงที่สุเหร่าแห่งหนึ่งในคาบสมุทรไซนายตอนเหนือเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์โจมตีนองเลือดครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของอียิปต์ ที่ยังไม่มีกลุ่มใดออกมายอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุ ปฏิบัติการทางทหารดำเนินไปแบบฉับพลันตามคำสั่งของ ประธานาธิบดี อับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี (Abdel Fattah al-Sisi) แห่งอียิปต์ ประกาศตอบโต้ด้วยการใช้กำลังเต็มที่
กองทัพแถลงว่า การโจมตีตอบโต้ด้วยเครื่องบินรบได้สังหารกลุ่มผู้ถืออาวุธจำนวนหนึ่งบริเวณใกล้กับรถยนต์หลายคันเสียชีวิตไปทั้งหมด
อัยการใหญ่แห่งอียิปต์ นาบิล ซาเดค (Nabil Sadeq) ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยซึ่งเป็นนักรบติดอาวุธใช้ระเบิดและอาวุธปืนก่อเหตุโจมตีสุเหร่า อัล-รอว์ดา (al-Rawdah) ใกล้เมือง บีร์ อัล-อาเบด (Bir al-Abed) ในคาบสมุทรไซนายทางตอนเหนือของอียิปต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตที่นับได้ล่าสุด 305 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 27 ราย และยังมีผู้บาดเจ็บอีก 128 คน
การสังหารโหดโดยกลุ่มเครือข่าย IS
เหตุการณ์สังหารโหดเกิดขึ้นขณะมีการทำละหมาดวันศุกร์ที่สุเหร่า อัล-รอว์ดา นับว่าเป็นการโจมตีสุเหร่าที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในครั้งเดียว นับตั้งแต่กลุ่มนักรบของ ‘ขบวนการรัฐอิสลาม’ (Islamic State: IS) บนคาบสมุทรไซนายยกระดับก่อความไม่สงบในภูมิภาคมากขึ้นเมื่อปี 2013
และแม้ว่าไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างตนเป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ของอียิปต์ผู้สอบสวนเหตุการณ์ระบุว่ามือปืนบางคนที่เข้าโจมตีได้ถือธงสัญลักษณ์ของขบวนการ IS ด้วย
เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นรายงานว่า หลังจากการระเบิดเกิดขึ้นในสุเหร่า ผู้ไปร่วมละหมาดและยังรอดชีวิตก็พากันแตกตื่นออกมา ขณะที่ชายถืออาวุธหลายสิบคนใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นพาหนะเปิดฉากยิงใส่ผู้คนที่กำลังแตกตื่น
ทางการแจ้งว่า ผู้ก่อเหตุจุดไฟเผารถยนต์จำนวนหนึ่งที่จอดอยู่บริเวณใกล้เคียง เพื่อขัดขวางไม่ให้รถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตเข้าถึงสุเหร่า
ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยร่างและเลือดของผู้เคราะห์ร้ายเรียงรายเป็นแถวอยู่ในสุเหร่า ผู้คนในพื้นที่เปิดเผยกับสำนักข่าว Reuters ว่า “พวกมือปืนยิงใส่คนที่กำลังวิ่งหนีออกมาจากสุเหร่า และยิงใส่รถพยาบาลที่มาช่วยด้วย”
ผู้ก่อการร้ายติดอาวุธได้ก่อการโจมตีในพื้นที่ไซนายหลังจากกองทัพอียิปต์ล้มล้างรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีแนว Islamist โมฮัมเหม็ด มอร์ซี (Mohammed Morsi) ต่อเนื่องจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่เมื่อ กรกฎาคม 2013
ตั้งแต่นั้น เกิดเหตุการณ์โจมตีที่ทำให้ตำรวจ ทหาร และพลเรือนหลายร้อยคนถูกสังหารไป ส่วนใหญ่เป็นการโจมตีที่ดำเนินการโดยเครือข่ายติดอาวุธที่เกี่ยวข้องกับขบวนการรัฐอิสลาม ในจังหวัดไซนาย
การโจมตีครั้งนี้น่าจะเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งสำคัญของหน่วยเครือข่ายภายใต้ขบวนการ IS ในไซนาย ที่หันมาโจมตีกลุ่มศาสนิกต่างนิกาย นอกเหนือไปจากที่เคยลอบโจมตีบุคลากรแห่งหน่วยงานความมั่นคงของอียิปต์
แต่พวกญิฮาด (jihadists) เหล่านี้ยังได้ก่อการโจมตีชนเผ่าในไซนายที่ให้ความร่วมมือทำงานกับกองกำลังของทางการ เพราะถือว่าเป็นผู้ทรยศ
สุเหร่าแห่งนี้เป็นของศาสนิกนิกายซูฟี (Sufi) สาขาค่อนข้างลึกลับของศาสนาอิสลาม ซึ่งสาวกของนิกายถูกมองโดยกลุ่มอิสลามเคร่งครัดสุดโต่งว่าเป็นพวกนอกรีต เพราะมีการนับถือบูชาพวก ‘นักบุญ’ และ ‘ศาลศักดิ์สิทธิ์’
ก่อนหน้านี้ไม่นาน หน่วยโฆษณาชวนเชื่อของรัฐอิสลามได้ตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ของหัวหน้า ‘ตำรวจศีลธรรม’ ใน ‘จังหวัดไซนาย’ ของตนที่ตั้งขึ้นเอง กล่าวว่า “ความสำคัญอันดับแรกคือการต่อต้านและทำลายการสำแดงพหุเทวนิยม (polytheism) รวมทั้งลัทธิซูฟีด้วยอย่างแน่นอน”
กลุ่มติดอาวุธของรัฐอิสลามปฏิบัติการทางตอนเหนือของคาบสมุทรไซนายมาแล้วหลายปี ส่วนใหญ่มุ่งโจมตีกองกำลังของทางการ นี่เป็นครั้งแรกที่เจาะจงสังหารพวกศาสนิกภายในสุเหร่า
สื่อมวลชนไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าไปบริเวณตอนเหนือของไซนายในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา รวมถึงสื่อที่รัฐให้การสนับสนุนด้วย
จำนวนการโจมตีหลายครั้งทำให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับการทำงานของทางทหาร กองทัพออกแถลงการณ์อยู่เสมอ โดยอ้างถึงชัยชนะในหลายพื้นที่ของไซนาย แต่ก็ดูเหมือนว่าการสู้รบระหว่างกองทัพและกลุ่มติดอาวุธที่ดำเนินอยู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้เมื่อใด
นักรบจังหวัดไซนายของ IS ก่อการโจมตีขบวนรถใกล้กับเมือง เอล อาริช (el-Arish) เมื่อเดือนกันยายน ทำให้ตำรวจ 18 นายเสียชีวิต
ตลอดหลายปี กลุ่มนี้พยายามแผ่อิทธิพลจากคาบสมุทรไซนาย ซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลทรายทุรกันดาร เข้าสู่ผืนแผ่นดินใหญ่ของอียิปต์ ซึ่งมีประชากรหนาแน่นกว่า เคยก่อเหตุโจมตีสังหารชาวคริสต์นิกายคอปติก (Coptic church) แห่งอียิปต์หลายครั้งในพื้นที่อื่นของประเทศ
เมื่อเดือนพฤษภาคม มือปืนโจมตีผู้แสวงบุญชาวคริสต์คอปติกขณะเดินทางไปยังโบสถ์แห่งหนึ่งในภาคใต้ของอียิปต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 29 ราย นอกจากนี้ยังเคยอ้างว่าได้วางระเบิดเครื่องบินของรัสเซียที่บรรทุกนักท่องเที่ยวจากไซนายเมื่อปี 2015 ทำให้คนบนเครื่องเสียชีวิต 224 ราย
ส่วนใหญ่ปฏิบัติการของแนวร่วม IS นี้จะอยู่ที่บริเวณตอนเหนือของคาบสมุทรไซนาย ซึ่งรัฐบาลอียิปต์จัดให้อยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่ ตุลาคม 2014 เมื่อเจ้าหน้าที่ 33 นายถูกสังหารในการโจมตีที่ทางกลุ่มอ้างว่าเป็นผู้ก่อเหตุ เชื่อกันว่าต้องการเข้าควบคุมคาบสมุทรไซนาย เพื่อเปลี่ยนให้เป็นจังหวัดอิสลามภายใต้การควบคุมของขบวนการ IS
อิหม่ามใหญ่ของมัสยิด อัล-อัซฮาร์ (al-Azhar mosque) ในกรุงไคโร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ของชาวมุสลิมสุหนี่ประณามการโจมตีว่าเป็น “ความพยายามเพื่อแพร่กระจายความโกลาหล”
“หลังจากจองล้างจองผลาญชาวคริสต์มาแล้ว คราวนี้เป็นการเล่นงานสุเหร่า” อิหม่ามกล่าวในแถลงการณ์ “ดูเหมือนว่าพวกก่อการร้ายต้องการมุ่งผสานชาวอียิปต์ไว้ด้วยกันโดยใช้ความตายและความสับสนวุ่นวาย อย่างไรก็ตามมันจะต้องพ่ายแพ้และความตั้งใจมุ่งมั่นของชาวอียิปต์จะมีอยู่เหนือกว่า”
เสียงประณามจากนานาชาติ
ภายในไม่นาน เสียงประณามระหว่างประเทศต่อการโจมตีดังขึ้น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยเลขาธิการ อันโตนีโอ กูแตร์เรส (António Guterres) ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีว่าเป็น “การโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่น่ารังเกียจและขี้ขลาด” และเรียกร้องให้นำตัวผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“ชาวโลกต้องไม่อดทนต่อการก่อการร้าย เราต้องใช้กำลังทางทหารเข้ากำราบและทำลายอุดมการณ์สุดโต่ง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่ของคนเหล่านี้” ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ เขียนข้อความลงในทวิตเตอร์ เรียกการโจมตีว่าเป็นสิ่ง “น่าสยดสยองและขี้ขลาด”
นายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษ ทวีตข้อความ “รู้สึกตกใจกับเหตุโจมตีที่น่ารังเกียจที่สุเหร่าทางตอนเหนือของไซนาย ขอแสดงความเสียใจกับทุกคนในอียิปต์ที่ได้รับผลกระทบจากพวกปีศาจและการกระทำแบบขี้ขลาดนี้”
รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ บอริส จอห์นสัน (Boris Johnson) ประณามว่าเป็นการโจมตีแบบ “ป่าเถื่อน” ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌอง อีฟ เลอแดรง (Jean-Yves Le Drian) แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากการโจมตีที่น่ารังเกียจ
อาเมด อาบูล เกอิต (Ahmed Aboul Gheit) เลขาธิการสันนิบาตอาหรับ (Arab League) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงไคโรกล่าวประณาม “อาชญากรรมที่น่าสยดสยองซึ่งแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าอิสลามไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกที่ยึดมั่นในแนวคิดก่อการร้ายสุดโต่ง”
ประธานาธิบดีซิซีแห่งอียิปต์ประกาศไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลาสามวัน