เรื่อง: ณิชากร ศรีเพชรดี
ภาพประกอบ: antizeptic
หนังสือเรียนอย่างนี้มันแห้งแล้ง มันเลยทำให้ครูต้องทำงานหนักมากขึ้น
เกื้อกมล นิยม สำนักพิมพ์สานอักษร กางหนังสือแบบเรียนชั้นประถมศึกษาของไทย และเปิดพลิกหนังสือแบบเรียนต่างประเทศในวิชาเดียวกันวางเทียบให้ดู
“หนังสือเรียน คือหนังสือเพื่อสร้างการเรียนรู้ ไม่ใช่ ‘ตำราเรียน’ หรือ ‘text book’ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วมันจะทำให้เด็กยึดโยงสิ่งนั้นกลับไปยังเรื่องอื่นได้อย่างไร”
ก่อนอื่น เกื้อกมลอธิบายความหมายของ ‘แบบเรียน’ ในความหมายใหญ่ๆ เพื่อลบความทรงจำและความเชื่อผ่านประสบการณ์การเรียนของกลุ่มผู้ปกครอง ครู บรรณารักษ์ และคนทำหนังสือ ที่เข้ามาสนทนากันในห้องติดป้ายไว้ว่า ‘เปิดปุ๊บติดปั๊บ หนังสือแบบไหนที่จุดไฟให้กระบวนการเรียนรู้’ ภายใต้ธงใหญ่ ‘สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จะเปลี่ยนแปลงอนาคตเด็กไทย จัดโดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ วันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
หนังสือที่ไม่สั่งสอน
เป้าหมายหลักแห่งการเรียนรู้ของเด็กในช่วงวัยอนุบาลจนถึงปฐมวัย คือความต้องการให้พวกเขามีความสามารถ ‘ยึดโยงตัวเอง’ กลับไปยังเรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคมได้
ฟังดูแล้ว ‘ผู้ใหญ่’ อย่างเราอาจรู้สึกคัดง้างกับความเชื่อของตัว เพราะ ‘เด็กตัวเล็กๆ’ จะมีความคิดอ่านลึกซึ้งที่ให้กลิ่นอวลเรื่องการเมืองอย่างนั้นได้อย่างไร หากเกื้อกมลค่อยๆ อธิบายความหมายของการยึดโยงนี้ ผ่านตัวอย่างแบบเรียนของเด็กเล็กในแต่ละประเทศ แต่เหนืออื่นใด เธอกล่าวกับผู้ที่ต้องทำงานกับเด็กๆ ในห้องนั้นว่า
เราต้องมองเด็กในฐานะปัจเจก ที่มีความหลากหลายก่อน และเพราะเขามีความหลากหลาย หน้าที่ของพวกเราคือการส่งเสริมให้เขาได้ลองชิมทุกอย่าง เพื่อดูว่าเขาจะค้นเจออะไรในตัวเองและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
เริ่มต้นด้วยการเปิดแบบเรียนวิชาต่างๆ ของประเทศไทย ที่หากเปิดเข้าไปดูหน้าตาข้างในจะพบว่า มีความเปลี่ยนแปลงและเห็นความพยายามปรับความคิดของคนทำหนังสือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เกื้อกมลชวนคิดและถามว่า มันยังคงทำหน้าที่ในการ ‘ให้ข้อมูล’ มากกว่าการสร้างการเรียนรู้ไหม
ตัวอย่างเช่นแบบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ที่ย่อหน้าแรกของแบบเรียนไทยจะอธิบายว่านักวิทยาศาสตร์ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ข้างตัวอักษรนั้นมีการ์ตูนนักวิทยาศาสตร์น่ารักสวยงาม หน้าถัดไปและตลอดไปจนจบเล่มก็จะเป็นหนังสือที่ให้ข้อมูลทางวิชาการในโลกวิทยาศาสตร์อย่างที่เราๆ คุ้นชิน
เทียบกับหนังสือที่อธิบายคุณสมบัติของนักวิทยาศาสตร์แบบเดียวกันของหนังสือต่างประเทศ เล่มที่เกื้อกมลหยิบมาให้ดู คือหนังสือที่เปิดหน้าด้วยการชวนเด็กๆ มาร่วมกันเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยการให้เด็กๆ ลองตั้งคำถามง่ายๆ แล้วทดลองทำ เช่น จะเทซอสมะเขือเทศออกจากกระปุก สามารถทำด้วยวิธีใดได้บ้าง ซึ่งในหนังสือเล่มนั้นแทบไม่ได้สอนสั่งหรือให้ข้อมูลเลยว่า คุณสมบัติที่ดีของนักวิทยาศาสตร์ต้องมีอะไรบ้าง
แต่หากตีความให้ลึกลงไป เรื่องเล่าที่อยู่ในหนังสือทำให้เด็กหรือคนที่มาอ่าน เชื่อมโยงไปยังสิ่งที่เป็นนามธรรมได้หลายสิ่ง และมันอาจทำให้เขาอยากรู้อยากเข้าใจสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้อื่นๆ ต่อไป
การต่อสู้เพื่อเด็กและครูในห้องเรียน
คำถามหนึ่งในวงสนทนาก่อนการพูดคุยจบลง คือคำถามที่ว่า
หนึ่ง-เพราะการเรียนรู้ด้วยหนังสือแบบนี้ ต้องใช้หนังสือจำนวนมาก ยิ่งหนังสือแยบคายและลึกจนสร้างภาพให้เด็กๆ เข้าใจสิ่งนามธรรมเท่าไร หนังสือหนึ่งเล่ม ก็สามารถที่จะเล่าหรืออธิบายได้แค่ประเด็นเล็กๆ หรือเพียงเรื่องเดียว มากขึ้นเท่านั้น
สอง-การเรียนรู้ด้วยหนังสือแบบนี้ ตามมาด้วยทุนทรัพย์ของผู้ปกครองที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการปฏิรูปการศึกษาของไทยที่ขยับได้ยากและช้ามาตลอดหลายปี
สาม-การเรียนรู้ลักษณะนี้ ดีต่อครูผู้สอนก็จริงอยู่ แต่หลักสูตรการเรียนที่ถูกกำหนดมาจากกระทรวง ก็ยากจะที่ปฏิบัติตามได้
นี่เป็นเพียงเหตุผลและข้อเท็จจริงของข้อจำกัดการศึกษาไทยที่พอจะคิดได้เร็วๆ ในห้องนั้น ซึ่งในความจริงแล้วยังคงมีอุปสรรคอีกหลายชั้นหลายระดับให้คำนึงถึง อย่างไรก็ตาม เกื้อกมลตอบคำถามเรื่องการเรียนรู้ด้วยหนังสือที่ต่างประเทศให้เห็นว่า หนังสือเหล่านี้จะถูกใช้เป็นส่วนกลาง ซึ่งแต่ละห้องเรียนก็จะมีชั้นหนังสือเป็นของตัวเอง และนักเรียนไม่จำเป็นและไม่ได้รับอนุญาตให้นำกลับบ้าน ยกเว้นแต่หนังสือที่เรียนที่เป็น ‘ตำราข้อมูล’ (พูดให้เห็นภาพก็คือหนังสือเรียนของไทย) ที่อนุญาตให้หยิบยืมกลับบ้านเพื่อศึกษาเรื่องเฉพาะทางได้
“ปัญหาเรื่องการศึกษามันซับซ้อนและมีหลายระดับ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ คืออยากผลักให้มองเห็นว่าการเรียนรู้มันมีฐานมาจากหลายอย่าง ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือเรื่องแบบเรียนในหนังสือ อย่างไรก็ตาม คิดว่าครูสามารถออกแบบการเรียนรู้ที่อยู่ในห้องเรียนได้
“หรืออาจต้องฝากความหวังไว้กับผู้ปกครอง ที่มีชั่วโมงใกล้ชิดกับเด็กๆ มากที่สุด” เกื้อกมลกล่าว