เกิดอะไรขึ้นหลังรัฐประหารในเมียนมา
มิถุนายน 2567 ทอม แอนดรูวส์ (Tom Andrews) ผู้เสนอรายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา (UN Special Rapporteur on the situation of human rights in Myanmar) เปิดเผยรายงานพิเศษ Banking on the Death Trade: How Banks and Governments Enable the Military Junta in Myanmar1 ชี้ให้เห็นว่า ธนาคารไทย 5 แห่ง มีความเชื่อมโยงกับการทำธุรกรรมทางการเงินของรัฐบาลทหารเมียนมา หรือ SAC (State Administration Council) เพื่อการจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ โดยพบความเชื่อมโยงว่า การจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการ ‘โจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายพลเรือน’ ในสงครามกลางเมืองเมียนมาเมื่อปี 2566
ช่วงหนึ่งของรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า บริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทยมีการจัดหาอะไหล่สำหรับเฮลิคอปเตอร์แบบ Mi-17 และเฮลิคอปเตอร์โจมตีแบบ Mi-35 ซึ่งบริษัทที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ได้เคยจัดหามาก่อน โดยมีการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารไทย
อาวุธยุทธภัณฑ์เหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายพลเรือน ในเดือนเมษายน 2566 ที่หมู่บ้านปาซิจี (Pazigyi) ภูมิภาคสะกาย ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 คน ในจำนวนนั้นเป็นเด็ก 17 คน
6 กันยายน 2567 มีรายงานข่าวการโจมตีทางอากาศของกองทัพเมียนมา หรือ ‘ตัดมะด่อ’ (Tatmadaw) ในเมืองนํ้าคำ (Namhkam) ทางตอนเหนือของรัฐฉาน ห่างจากแนวพรมแดนเมียนมา-จีน เพียง 5 กิโลเมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 11 คน เป็นเด็ก 2 คน บาดเจ็บ 11 คน อาคาร 2-3 หลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก2
หนึ่งในสมาชิกของกองกำลังฝ่ายต่อต้าน กองกำลังปลดปล่อยชาติตะอาง (Ta’ang National Liberation Army: TNLA) ซึ่งเข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าวระบุว่า มีการโจมตีทางอากาศด้วยการทิ้งระเบิดใส่พลเรือนผู้บริสุทธิ์แบบรายวัน
“กองทัพเมียนมาทิ้งโจมตีทางอากาศรายวัน โดยการทิ้งระเบิดขนาด 500 ปอนด์ ใส่เป้าหมายพลเรือน”3
สมาชิกกองกำลัง TNLA
นับตั้งแต่การรัฐประหารวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ภายใต้การนำของ พลเอกอาวุโสมินอ่องหล่าย (Min Aung Hlaing) ผู้นำกองทัพเมียนมา โค่นล้มรัฐบาลพลเรือนของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) ภายใต้การนำของ นางอองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) จนนำไปสู่การประท้วงต่อต้านรัฐประหารทั่วประเทศ ก่อนจะถูกปราบปรามอย่างรุนแรงด้วยอาวุธ ผลักดันให้ประชาชนชาวเมียนมาจำนวนมากจับอาวุธสู้ ร่วมกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ตามแนวพื้นที่ชายแดน รวมไปถึงการจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People’s Defence Force: PDF) ต่อต้านและโค่นล้มรัฐบาลทหารเมียนมาของพลเอกอาวุโสมินอ่องหล่าย
ตลอดระยะเวลา 3 ปี สงครามกลางเมืองเมียนมายังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขการโจมตีทางอากาศที่พุ่งเป้าไปยังพลเรือนเพิ่มจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ
สำนักข่าวอิระวดี (The Irrawaddy) รายงานตัวเลขว่า การโจมตีทางอากาศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 63 ครั้ง ในปี 2564 เป็น 260 ครั้ง ในปี 2565 และสูงถึง 613 ครั้ง ในปี 2566
ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 ตัดมะด่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายพลเรือนทั่วประเทศ เช่น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา โรงเรียน และตลาด ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 359 คน ในจำนวนนั้นเป็นเด็ก 61 คน และมีผู้บาดเจ็บ 756 คน4
การพุ่งเป้าโจมตีเป้าหมายพลเรือนเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง คำถามมีอยู่ว่า นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2564 เมียนมาถูกนานาชาติควํ่าบาตร (sanction) ทางเศรษฐกิจ และไม่ส่งอาวุธ (arms embrago) ให้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว งบประมาณจัดซื้ออากาศยานโจมตีทางอากาศ มีที่มาจากแหล่งใด
‘ความตายจากฟ้า’ ยังคงดำเนินต่อไป โดยมี ‘ตัวละครลับ’ เกี่ยวโยงกับธุรกรรมจัดซื้ออาวุธของรัฐบาลทหารเมียนมา
สงครามกลางเมืองกำลังล่วงเข้าสู่ปีที่ 4
จากรายงานรอบ 6 เดือนของ Armed Conflict Location & Event Data (ACLED) ตลอดระยะเวลาครึ่งแรกของปี 2567 ประชาชนชาวเมียนมา 43 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 22,826,181 คน ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในสงครามกลางเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีการใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน (violence against civillians) ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาทั้งสิ้น 62 ครั้ง (ลดลงจากตัวเลขเฉลี่ยหลักร้อยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567)5
ความรุนแรงต่อพลเรือน (violence against civillians) ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีทั้งสิ้น 62 ครั้ง แม้ว่าจะลดลงจากหลักร้อยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567
ที่มา: https://acleddata.com
“เราไม่รู้ว่าพวกทหารจะมาเมื่อไร จะมาจับตัวไปเมื่อไรไม่รู้ เวลาออกไปข้างนอกก็ต้องระมัดระวังตัว กลัวจะถูกจับตัวไป พวกทหารสามารถเข้ามาในบ้าน ค้นข้าวของ หากเจอของมีค่าก็จะเอาไป ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวไปหมด”
ปากคำของแรงงานเมียนมาที่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อจริงและรูปพรรณใบหน้า ผู้พลัดถิ่นจากหมู่บ้านในภูมิภาคมัณฑะเลย์ (Mandalay Region) หมู่บ้านที่คนส่วนใหญ่ต่อต้านการปกครองของคณะรัฐประหาร สะท้อนภาพ “ระบอบที่ปกครองด้วยความหวาดกลัว” (reign of terror) ที่ใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน
แรงงานเมียนมาผู้นี้เล่าสภาพในหมู่บ้านว่าไม่มีใครล่วงรู้ชะตากรรมของตนเองว่า วันนี้อาจจะถูกจับตัวไปหรือไม่ พรุ่งนี้จะต้องเสียชีวิตหรือไม่ เพราะมีกรณีที่มีชาวบ้านถูกจับตัว ก่อนพบเป็นศพในวันรุ่งขึ้นหลายครั้ง
เมื่อไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของพวกเขา มีเพียงเสียงปืนยิงขึ้นฟ้าของทหารเท่านั้น ที่ทำให้รู้ว่าพวกเขามาถึงหมู่บ้านแล้ว
“ในหมู่บ้านมีคนต่อต้านรัฐประหารและระบอบมินอ่องหล่ายมากกว่า 98 เปอร์เซ็นต์ ยังดีที่ไม่มีการทิ้งระเบิด แต่จะมีการยิงขึ้นฟ้าข่มขู่ ไม่มีใครล่วงรู้ชะตากรรมของตนเองว่า พวกเขาจะมาเมื่อไรก็มา พวกเขาจะสั่งยิงเสียเมื่อไรก็ได้”
เบบี้ (ชื่อสมมติ)
แรงงานชาวเมียนมา ย่านเยาวราช-สำเพ็ง
อย่างไรก็ดี ในระยะเวลา 6 เดือน ระหว่างปี 2566-2567 การโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายพลเรือน มีสถิติเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ทั้งที่รัฐบาลทหารเมียนมาสูญเสียที่มั่นและพื้นที่ยึดครองให้แก่กองกำลังฝ่ายต่อต้าน รวมไปถึงสูญเสียกำลังพลหลายหมื่นนาย ที่ยอมแพ้ต่อฝ่ายต่อต้านในหลายพื้นที่6 ความเพลี่ยงพลํ้าของตัดมะด่อเช่นนี้นำมาสู่คำถามที่ว่า ทำไมตัดมะด่อจึงกำหนดเป้าหมายการโจมตีไปยังพลเรือน มากกว่าการทำสงครามกับกองกำลังติดอาวุธเพื่อการยึดพื้นที่คืนจากฝ่ายต่อต้าน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เมียนมา ชี้ประเด็นให้เห็นว่า สิ่งสำคัญที่เราควรให้ความสนใจมากที่สุด ณ ปัจจุบัน คือ ตัดมะด่อเน้นการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายพลเรือน ด้วยการใช้เครื่องบินรบหรือเฮลิคอปเตอร์โจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมาก นอกจากนี้ ยังเปิดฉากโจมตีตามหมู่บ้าน เผาทำลายเคหะสถาน ข่มขืนทารุณกรรม เป็นการล้างแค้นที่ประชาชนเหล่านี้ให้การสนับสนุนกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์และกองกำลัง PDF
“การโจมตีทางอากาศของตัดมะด่อคือ มาตรการตอบโต้ประชาชนที่ให้การสนับสนุนกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ หรือกองกำลัง PDF แม้ว่าตัวเลขของผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่จะเห็นได้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสเกลที่สูงมากและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ”
ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์
ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การสู้รบในสงครามกลางเมืองเมียนมา ณ ปัจจุบัน เข้าสู่ภาวะที่ทุกฝ่ายล้วนเหนื่อยล้า เพราะต่างระดมสรรพกำลังและทรัพยากรเป็นจำนวนมากในการศึก แต่ในอีกทางหนึ่งก็มีความพยายามในการที่จะหาทางลง ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมีแนวทางหาทางลงไม่เหมือนกัน
ฝ่ายต่อต้านที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ หรือรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government: NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น มีกองกำลัง PDF พยายามในการเข้ายึดพื้นที่ เพื่อให้ตัดมะด่อยอมแพ้ วิธีการเช่นนี้ใช้มา 3 ปีแล้ว แต่ยังไม่บรรลุผล
ต้นเดือนกันยายน 2567 เสียงระเบิดและการปะทะเกิดขึ้นอีกครั้งที่เมืองเมียวดี และอาจจะปะทุหนักอีกรอบ ตราบใดที่ยังไม่มีข้อตกลงสงบศึกหรือหยุดยิง โอกาสที่สงครามคราวนี้จะหยุดลงอย่างถาวรจึงแทบเป็นไปไม่ได้
“ความรุนแรงจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนของ SAC เกิดขึ้นเพื่อการรักษาไว้ซึ่งอำนาจทางการเมืองของตนเองให้คงอยู่ต่อไป”
ผศ.ดร.ลลิตา กล่าวย้ำถึงความพยายามรักษาอำนาจและสถานภาพปัจจุบัน (status quo) ของ SAC ซึ่งจำเป็นต้องกดปราบประชาชนชาวเมียนมา
ทรัพยากรสำคัญของการรักษาอำนาจด้วยวิธีการนี้คือ ‘เงินทุน’ และ ‘อาวุธ’
‘บ่อทอง’ ของกองทัพเมียนมา และการควํ่าบาตรที่ไม่เป็นผล
โดยพื้นฐานแล้ว เมียนมาเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ รายได้หลักของประเทศมาจากทรัพย์ในดินสินในนํ้า ผ่านการให้สัมปทานต่างชาติเข้ามาลงทุน เช่น ป่าไม้ ก๊าซธรรมชาติ นํ้ามัน แร่อัญมณี เป็นต้น
ภายหลังการรัฐประหารในปี 2564 ประเทศโลกเสรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (European Union: EU) มีมาตรการควํ่าบาตรทางเศรษฐกิจต่อเมียนมา กดดันให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของตนเองที่ได้รับสัมปทานการขุดเจาะนํ้ามันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งทะเลอันดามันของในเมียนมาอย่าง โททาล เอนเนอจี้ (TotalEnergies)7 ของฝรั่งเศส และเชฟรอน (Chevron)8 ของสหรัฐอเมริกา ถอนตัวออกจากการได้รับสัมปทานดังกล่าว
อย่างไรก็ดี มาตรการควํ่าบาตรต่อเมียนมาเช่นนี้ แสดงออกโดยประเทศในโลกตะวันตกเท่านั้น ขณะที่การเข้าไปลงทุน การรับสัมปทาน หรือการค้าขายตามแนวชายแดนในเมียนมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งจีน ไทย อินเดีย และเพื่อนบ้านอาเซียน (ASEAN) อย่างสิงคโปร์ ยังคงดำเนินต่อไป หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างเมียนมาและรัสเซีย ผู้สนับสนุนอาวุธ ก็ไม่ได้ทำให้การควํ่าบาตร SAC ส่งผลกระทบแต่อย่างใด
ผศ.ดร.ลลิตา วิเคราะห์ท่าทีของรัฐบาลเมียนมาต่อมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกว่า
“ตราบใดก็ตามที่เมียนมายังสามารถค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ได้ เมียนมาก็ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาประเทศตะวันตก
“กรณีของไทย เมียนมาเชื่อว่าความมั่นคงทางพลังงานของไทยยังต้องพึ่งพิงเมียนมา ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าการซื้อพลังงานจากตะวันออกกลาง ตรงนี้ทำให้เห็นได้ว่าตราบใดที่ประเทศเพื่อนบ้านยังต้องพึ่งพาทรัพยากรจากเมียนมาอยู่ ย่อมไม่มีมาตรการควํ่าบาตรจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน และรัฐบาล SAC ก็จะไม่ได้รับผลกระทบอย่างจริงจัง
“แต่หากวันหนึ่งทั้งโลกพร้อมใจกันควํ่าบาตร รวมถึงควํ่าบาตรประเทศที่ยังมีความสัมพันธ์กับเมียนมา ไม่ว่าจีนและไทย ถึงวันนั้นการกดดันรัฐบาลทหารเมียนมาจึงจะเห็นผล”
การเคลื่อนย้ายฐานที่มั่นจากสิงคโปร์สู่ไทย
รายงาน The Billion Dollar Death Trade: The International Arms Networks that Enable Human Rights Violations in Myanmar โดย ทอม แอนดรูวส์ (Tom Andrews) ผู้เสนอรายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา (UN Special Rapporteur on the situation of human rights in Myanmar) คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council: UNHRC) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ชี้ให้เห็นว่า เครือข่ายนักธุรกิจเมียนมาที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลทหารเมียนมา (State Administration Council: SAC) ถือเป็นนายหน้าจัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์ อะไหล่ วัสดุอุปกรณ์ รวมถึงนํ้ามันสำหรับเครื่องบินรบ ผ่านบริษัทของตนเองก่อนส่งให้ตัดมะด่อ
โดยหนึ่งในนั้นคือเครือข่ายธุรกิจในสิงคโปร์ที่ถูกใช้เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการจัดหาอาวุธผ่านบริษัทในเครือ ทำให้ทางการสิงคโปร์ตกเป็นเป้าเพ่งเล็งจากนานาชาติ แต่อย่างไรก็ดีผู้รายงานพิเศษชี้ว่า รัฐบาลสิงคโปร์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นความเคลื่อนไหวนี้
Justice for Myanmar องค์กรเคลื่อนไหวด้านความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนเมียนมา ส่งจดหมายเปิดผนึกไปยังรัฐบาลสิงคโปร์ เพื่อให้ดำเนินการสกัดกั้นทางการเงิน การจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ เสบียง และนํ้ามันสำหรับเครื่องบินรบด้วย พร้อมทั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้ออาวุธ รวมไปถึงให้ระงับการทำธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล SAC เพื่อหยุดยั้งการทำสงครามกลางเมือง9
ภายหลังรายงานฉบับดังกล่าวได้รับการเปิดเผยและเกิดเสียงเรียกร้องจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเมียนมา ท่ามกลางการจับจ้องจากนานาชาติ ทางการสิงคโปร์จึงได้ตอบรับการดำเนินการดังกล่าวอย่างแข็งขัน นำไปสู่การดำเนินนโยบายไม่ส่งอาวุธให้เมียนมา ภายใต้มติสมัชชาแห่งสหประชาชาติ (UN General Assembly resolution 75/287) อันเกี่ยวกับสถานการณ์เมียนมา ในปี 2564 ภายหลังการรัฐประหาร 5 เดือน
ในปีงบประมาณ 2565 ธนาคารสิงคโปร์ให้บริการด้านธุรกรรมแก่รัฐบาลทหารเมียนมา มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ในการจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆ ต่อมารัฐบาลสิงคโปร์ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสอบสวนตามที่รายงานฉบับนั้นรายงานออกมา ส่งผลให้การไหลเวียนของอาวุธและยุทธภัณฑ์จากบริษัทที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ ผ่านไปยังเมียนมาลดลงถึง 90 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกัน การดำเนินการสอบสวนและตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทำให้การให้บริการด้านธุรกรรมแก่รัฐบาลทหารเมียนมา เหลือตํ่ากว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ในปีงบประมาณ 2565 ซึ่งการจัดซื้อที่เหลือตํ่ากว่า 20 เปอร์เซ็นต์นี้ เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 เท่านั้น อีกทั้งบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ที่ส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ให้เมียนมาก็ลดจำนวนลงอย่างมาก จาก 81 บริษัท ในปี 2565 เหลือเพียง 6 บริษัท ในปี 2566
มาตรการของสิงคโปร์ที่เข้มข้นและแข็งขันนี้ ทำให้รัฐบาลทหารเมียนมามองหาช่องทางในการจัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์ผ่านช่องทางอื่น นั่นคือ ประเทศไทย ซึ่งไม่เคยมีนโยบายคว่ำบาตรหรือห้ามส่งอาวุธให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาที่ชัดเจนแต่อย่างใด
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เมียนมา อธิบายการเคลื่อนตัวของทุนสนับสนุนอาวุธจากสิงคโปร์มายังไทยว่า
“ผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุไว้ว่า กลุ่มนักธุรกิจเครือข่ายใกล้ชิดกับรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าไปลงทุนในสิงคโปร์ ฝากเงินรวมถึงค้าอาวุธ แต่เมื่อบริษัทเหล่านี้ถูกควํ่าบาตร ติดแบล็กลิสต์ จากการปราบปรามอย่างจริงจังของทางการสิงคโปร์ ทำให้บริษัทค้าอาวุธที่เคยจดทะเบียนในสิงคโปร์ต้องย้ายเข้ามาจดทะเบียนในไทยแทน เพื่อเลี่ยงบาลี และยังดำเนินการค้าอาวุธให้กับเมียนมาต่อไป นั่นหมายความว่า ธนาคารในประเทศไทยก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่กลับไม่มีมาตรการใดที่จะป้องกันเงินเปื้อนเลือด (blood money) ที่ไหลเข้ามาสู่ระบบของธนาคารไทย”
จากรายงานพิเศษ Banking on the Death Trade ยังพบด้วยว่า ปริมาณเงินไหลเวียนในการจัดซื้ออาวุธผ่านทางสิงคโปร์ลดลง จากมูลค่า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีงบประมาณ 2565 เหลือเพียงแค่ 10 ล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2566 ตรงกันข้าม การจัดซื้ออาวุธจากบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จากเดิม 60 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็น 120 ล้านดอลลาร์
ธนาคารไทย 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทยธนชาต และธนาคารกรุงไทย ถูกระบุในรายงานพิเศษดังกล่าวว่า มีความเชื่อมโยงกับการทำธุรกรรมของรัฐบาลทหารเมียนมา
เส้นทางการเงินและการทำธุรกรรมในการจัดซื้ออาวุธของรัฐบาล SAC ดำเนินการผ่านธนาคารเมียนมา 2 แห่ง คือ Myanmar Foreign Trade Bank (MFTB) และ Myanmar Investment and Commercial Bank (MICB) ธนาคารทั้ง 2 แห่งนี้เป็นธนาคารรัฐ และถูกนานาชาติคว่ำบาตร รัฐบาล SAC จึงเปลี่ยนมาทำธุรกรรมผ่าน Myanmar Economic Bank (MEB) แต่ก็ถูกคว่ำบาตรในเวลาต่อมา
ธนาคารไทยทั้ง 5 แห่งที่ปรากฎชื่อในรายงาน ล้วนมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับธนาคารเมียนมาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารเมียนมาทั้ง 3 แห่งหรือแห่งใดแห่งหนึ่ง โดยมีการให้บริการทางธุรกรรมกับทางเมียนมาสำหรับรับรายได้จากวิสาหกิจรัฐ (state-owned enterprise) ต่างๆ ผ่านการให้บริการ nostro account กระทั่งรายงานของผู้รายงานพิเศษพบว่า มีการจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ด้วย ซึ่งภายหลังจากผู้รายงานพิเศษได้ส่งจดหมายไปยังสถาบันการเงินเหล่านี้เพื่อขอให้หยุดให้บริการทางการเงินแก่เมียนมา
มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว ส่งผลให้มูลค่าการทำธุรกรรมในบางธนาคารของไทยมีมูลค่าทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงตามแรงกดดัน เช่น ในปีงบประมาณ 2565 ธนาคารกสิกรไทยเคยมีมูลค่าทางธุรกรรมในการจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ของรัฐบาลทหารเมียนมา 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อถึงปีงบประมาณ 2566 ลดเหลือเพียง 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาธนาคารกสิกรไทยได้ยุติการให้บริการทางธุรกรรมแก่ Myanmar Foreign Trade Bank (MFTB) หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศควํ่าบาตรต่อธนาคารดังกล่าวในเดือนมิถุนายน 2566
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 SAC และภาครัฐต่างๆ จัดซื้อสินค้าและบริการผ่าน Myanmar Economic Bank (MEB) มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2565 MEB ให้บริการทางธุรกรรมในการจัดซื้อจัดจ้าง 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับรายได้ 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากรายได้ ซึ่งรวมไปถึงเงินจำนวน 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีที่มาจากรายได้รายเดือนจากการขายก๊าซธรรมชาติและนํ้ามันของรัฐวิสาหกิจให้กับประเทศไทย
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น นักธุรกิจผู้ใกล้ชิดกับ SAC เข้ามาเป็นผู้เล่นในการจัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์และอื่นๆ เพื่อป้อนให้กับกองทัพเมียนมาด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือ การจัดซื้อนํ้ามันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน (aviation fuel) โดยใช้บริษัทของพวกเขาเป็นทางผ่านในการจัดซื้อและทำธุรกรรมผ่านธนาคารในประเทศไทย เช่น Asia Sun Group ได้ใช้บริษัทในเครือ 3 บริษัทคือ Swan Energy Myan-Oil และ Rich Ray Trading จัดซื้อนํ้ามันสำหรับอากาศยานเพื่อใช้สำหรับเครื่องบินรบ ทั้งหมดมีมูลค่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารกรุงไทย และธนาคารกสิกรไทย ไปยังบริษัทด้านพลังงานของไทยในช่วงปี 2566
ในอีกทางหนึ่ง การตรวจสอบอย่างเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพของธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงไทย ซึ่งรวมไปถึงการสอบประวัติย้อนหลังของบริษัทสัญชาติเมียนมาสามารถหาข้อค้นพบได้ว่า บริษัทสัญชาติเมียนมาเหล่านั้นมีส่วนเชื่อมโยงเกี่ยวกับการซื้อขายนํ้ามันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน ตัวอย่างเช่น บริษัท Swan Energy’s ที่ประกาศผ่านเว็บไซต์ว่า ทำการซื้อนํ้ามันสำหรับอากาศยานมายังเมียนมา 10,000 เมตริกตันในทุกเดือน คิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ของส่วนแบ่งในตลาดเมียนมา
บริษัทสัญชาติเมียนมาที่ถูกลิสต์ในรายงานฉบับนี้ทั้งหมดว่า มีความเชื่อมโยงการซื้อนํ้ามันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน ล้วนเป็นบริษัทของนักธุรกิจเมียนมาที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล SAC แทบทั้งสิ้นเช่น ซอมินทุน (Zaw Min Tun) เจ้าของ Asia Sun Group ที่ได้เข้าซื้อกิจการในปี 2565 วิน จอ จอ อ่อง (Win Kyaw Kyaw Aung) ผู้อำนวยการและผู้ถือหุ้นของ Asia Sun Group เป็นต้น
การปรับตัว(ของรัฐบาลทหารเมียนมา)เมื่อถูกโลกโอบล้อม
รายงาน Banking on the Death Trade กระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยโดยตรง แต่อย่างไรก็ดี นโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อกรณีวิกฤตการณ์หลังรัฐประหารเมียนมา รัฐบาลไทยยืนกรานมาโดยตลอดว่าจะวางตัว ‘เป็นกลาง’ ในความขัดแย้งดังกล่าว แนวทางนโยบายนี้ชัดเจนตั้งแต่สมัยรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องมาสู่รัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันที่เพิ่งแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปเมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “จะรักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ”
“เรื่องนี้ทำให้ไทยเสียหน้า และอยู่ภายใต้แรงกดดันเพิ่มขึ้น ขณะนี้ทั่วโลกมองว่าไทยคือแหล่งพักเงิน แหล่งฟอกเงิน จริงๆ แล้วมีหลายมิติไม่ใช่แค่ปัญหาด้านการเงินการธนาคารเพียงอย่างเดียว ยังมีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวเมียนมาที่มีมูลค่าสูงมากรองจากคนจีน ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการฟอกเงินอย่างหนึ่ง เราจะไม่มีทางรู้จนกระทั่งลงไปตรวจสอบอย่างจริงจัง รวมถึงมีเรื่องธุรกิจตามเมืองชายแดน อย่างเช่นอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่เมียนมาเข้ามาลงทุน”
ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผลจากการเปิดเผยรายงานข้างต้น ทำให้สมาคมธนาคารไทยออกแถลงการณ์ชี้แจง กรณีธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวโยงกับรัฐเมียนมา ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2567 โดยระบุว่า
สมาคมธนาคารและสมาชิกให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการรับผิดชอบต่อลูกค้า สังคม และประชาคมโลก ตามหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งยังมีนโยบายชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการจัดซื้ออาวุธของกองทัพเมียนมาเพื่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และพร้อมให้ตรวจสอบและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และปรับปรุงแนวทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง10
ด้านธนาคารทหารไทยธนชาต ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวโยงกับรัฐบาลเมียนมา ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ระบุว่า ธุรกรรมทางการเงินของธนาคารทหารไทยธนชาตที่เกี่ยวโยงกับรัฐบาลเมียนมา เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
พร้อมเน้นยํ้าว่า ธนาคารทหารไทยธนาชาต มิได้มีสาขาในประเทศอินเดียตามที่ถูกอ้างในรายงานฉบับนี้ว่ามีความเชื่อมโยงกับธุรกรรมทางการเงินของรัฐบาลเมียนมา เพื่อความเชื่อมั่นในการให้บริการทางธนาคารจะยึดหลักธรรมาภิบาล เน้นยํ้าถึงจุดยืนเช่นเดียวกับสมาคมธนาคารไทย ไม่สนับสนุนการจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์สำหรับกองทัพเมียนมาภายใต้หลักสากล พร้อมทำการตรวจสอบการทำธุรกรรมอย่างเข้มข้น เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกรรมดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับรายชื่อห้ามทำธุรกรรมและการนำเงินไปใช้เพื่อการจัดซื้ออาวุธในการละเมิดสิทธิมนุษยชน
เนื้อหาคำชี้แจงของสมาคมธนาคารไทยข้างต้นนี้ รวมไปถึงคำชี้แจงของธนาคารไทยที่มีรายชื่ออยู่ในรายงานพิเศษนี้ ชี้ว่า ธนาคารไทยล้วนให้ความสำคัญต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน ที่สอดคล้องกับ ‘หลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน’ (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) ซึ่งเป็นหลักการสมัครใจรับ เพื่อนำไปใช้ในการกำกับดูแลธุรกิจเพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน11
ประเด็นท่าทีสถาบันการเงินไทยดังกล่าว ผศ.ดร.ลลิตา แสดงความเห็นว่า ไม่เพียงแค่ธนาคารจะรับหลักการเท่านั้น ธนาคารจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสดง ‘เจตจำนงทางการเมือง’ (political will) ผลักออกมาให้เป็นนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นศูนย์หรือใกล้เคียงศูนย์มากที่สุดในปีต่อไป โดยจะต้องดำเนินการตรวจสอบมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทำความรู้จักหลักการชี้แนะของสหประชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs)
United Nations Guiding Principle on Business and Human Rights (UNGPs) คือ มาตรฐานระหว่างประเทศของสหประชาติ เพื่อใช้กำกับดูแลในการดำเนินธุรกิจไม่ให้ละเมิดสิทธิมนุษยชน มุ่งประสงค์ให้ภาคธุรกิจมุ่งรับหลักการที่มีความยืดหยุ่นนี้ไปปฏิบัติด้วยความสมัครใจ
3 เสาหลัก UNGPs (3 Pillars)
การคุ้มครอง (Protect)
กำหนดหน้าที่ของภาครัฐในการคุ้มครองประชาชน โดยการป้องกัน กำกับดูแลการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างมาตรฐานและบรรยากาศการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
การเคารพ (Respect)
กำหนดให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจด้วยการเคารพสิทธิมนุษยชน และปฏิบัติตามกฎหมาย หลักเลี่ยงการละเมิด ประเมินและตรวจสอบผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจของตนเอง
การเยียวยา (Remedy)
ภาครัฐและธุรกิจจะต้องเยียวยาผู้เสียหายจากการถูกละเมิดหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทำธุรกิจ แจ้งเตือนถึงผลกระทบต่อบุคคลหรือชุมชน บรรเทาความเสียหายอันเกิดจากการทำธุรกิจนั้นๆ
ที่มา: https://www.undp.org
ทางด้านคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ นำโดย รังสิมันต์ โรม ประธาน กมธ. ความมั่นคงแห่งรัฐ ได้ออกหนังสือเชิญ 5 ธนาคารที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมจัดซื้ออาวุธของ SAC เข้าชี้แจงในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รวมไปถึงธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
โดยทุกฝ่ายลงมติเห็นพ้องข้อเสนอแนะของที่ประชุม กมธ. ความมั่นคงแห่งรัฐ ว่าจะต้องมีมาตรการตรวจสอบอย่างเข้มข้น หรือ Enhanced Due Diligence (EDD) พร้อมทั้งการตรวจสอบ 254 บริษัทที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ รวมถึง 2 บริษัทที่ขายนํ้ามันสำหรับเครื่องบินรบให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา และมีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับรัฐบาลสิงคโปร์ที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในการจัดการปัญหาดังกล่าว หรือร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศอื่น เพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการเชิงรุกและแก้ปัญหาความไม่ชัดเจนในเรื่องนี้12
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ลลิตา ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ว่าจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น (EDD) แต่โดยเงื่อนไขข้อเท็จจริงแล้ว ธนาคารไทยไม่สามารถตรวจสอบที่มาและความเกี่ยวข้องกับ SAC ได้ครบถ้วนทั้งหมด ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น เป็นบัญชีม้า บัญชีตัวแทนฝั่งไทย หรือบัญชีม้าที่นักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์กับ SAC ใช้ในการทำธุรกรรม เพื่อทำการซื้ออาวุธแล้วส่งกลับไปฝั่งเมียนมา เป็นต้น
“เท่าที่เข้าใจ ธนาคารไทยก็ยอมรับว่ายังมีปัญหาเหล่านี้อยู่ เพียงแต่พยายามทำให้ปัญหาเหล่านี้ หรือมูลค่าของเงินเหล่านี้น้อยลง หรือมีมาตรการเพิ่มขึ้นเพื่อทำให้การตรวจสอบเข้มข้นขึ้น อย่างทาง ปปง. เข้ามาตรวจสอบบัญชีม้า ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำไปตามกระบวนการภายใน อย่างในกรณีของรัฐบาลสิงคโปร์ เขาสั่งลงมาเลย ธนาคารทุกแห่งจะต้องทำการตรวจสอบอย่างเข้มข้น มีเป้าหมายเลยว่า สิงคโปร์จะต้องไม่อยู่ในแบล็กลิสต์นี้หรือถูกเพ่งเล็งจากนานาชาติ”
แต่ในอีกด้าน ผศ.ดร.ลลิตา สะท้อนปัญหาของการตรวจสอบอย่างเข้มข้นว่า ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ แม้ว่า ปปง. จะมีหมายเพื่อเข้าตรวจสอบ แต่สุดท้ายแล้วธนาคารไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าให้กับหน่วยงานตรวจสอบได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายใหม่ๆ ที่เท่าทันต่อสถานการณ์ เช่น กรณีเกิดสงครามในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วมีนอมินีจำนวนมากเข้ามาทำธุรกรรมทางการเงินในไทย เราควรจะมีกฎหมายที่ทันสมัย เพื่อให้เท่าทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะแวดวงการเงิน
ผศ.ดร.ลลิตา ระบุว่าแม้ว่ากระบวนการทางกฎหมายจะต้องใช้เวลาในการผลักดัน เป็นวิธีการทางการเมืองในรัฐสภา ซึ่งไม่อาจเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การลดมูลค่าทางธุรกรรมทางการเงินที่อาจเชื่อมโยงการจัดซื้ออาวุธของรัฐบาลเมียนมา เป็นวิธีการที่เป็นไปได้ที่สุดในปัจจุบัน จากตัวอย่างของกรณีสิงคโปร์หรือธนาคารไทยที่ดำเนินการดังกล่าวไปแล้ว
จากรายงานของผู้รายงานพิเศษที่ได้รับการเปิดเผยออกมาในเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ได้ชี้ว่าธนาคารไทย 5 แห่งเชื่อมโยงกับการทำธุรกรรมของรัฐบาลทหารเมียนมาในการจัดซื้ออาวุธเพื่อละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ
แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย ในฐานะแนวร่วมภาคประชาสังคมที่ผลักดัน ‘การธนาคารที่ยั่งยืน’ (sustainable banking) ผ่านการประเมินนโยบายความยั่งยืนของสถาบันการเงินตั้งแต่ปี 2561 เห็นว่าธนาคารไทยทั้ง 5 แห่ง ที่ปรากฏชื่ออยู่ในรายงานพิเศษฉบับดังกล่าว ได้ประกาศเคารพหลักการชี้แนะ UNGPs เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญต่อประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทยเสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อ13 ให้ธนาคารไทยดำเนินการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าธนาคารให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิมนุษยชนในเมียนมาอย่างแท้จริง โดยข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อคือ…
- ยกระดับการตรวจสอบทางธุรกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเมียนมา ให้เป็นไปตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights UNGPs) เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงมาตรการตรวจสอบอย่างเข้มข้น (Enhanced Due Diligence : EDD) ของธนาคารต่อไป ด้วยการตรวจสอบข้อมูลและรับฟังรายงานจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านกลไกการรับเรื่องร้องเรียนของธนาคาร เพื่อให้เห็นว่าองค์กรใดน่าสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารเมียนมา
- ธนาคารเมียนมาทั้ง 3 แห่งคือ Myanmar Foreign Trade Bank (MFTB) Myanmar Investment and Commercial Bank (MICB) และ Myanmar Economic Bank (MEB) ล้วนเป็นธนาคารภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารเมียนมา ธุรกรรมที่กระทำกับธนาคารเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกี่ยวโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา จึงเรียกร้องให้ธนาคารประกาศระงับธุรกรรมและความสัมพันธ์ทางการเงินกับธนาคารเหล่านี้ พร้อมทั้งแนะนำลูกค้าให้ใช้บริการจากสถาบันการเงินอื่นนอกเหนือจากธนาคารเหล่านี้
- เรียกร้องให้ธนาคารประกาศระงับธุรกรรมทุกรายการที่ลูกค้าหรือคู่สัญญา (counterparty) ที่ไม่ผ่านการมาตรการตรวจสอบอย่างเข้มข้น (Enhanced Due Diligence : EDD) ทั้งหมด
เชิงอรรถ
- รายงานฉบับเต็ม https://www.ohchr.org/sites/default/files/documents/hrbodies/hrcouncil/sessions-regular/session56/a-hrc-56-crp-7.pdf ↩︎
- VOA. (2567, กันยายน 6). Retrieved กันยายน 10, 2567, from https://www.voanews.com/a/myanmar-armed-group-says-11-civilians-killed-in-junta-air-strikes/7773740.html ↩︎
- DVB. (2567, กันยายน 6). At least 11 civilians killed in airstrikes on Namkham in northern Shan State. Retrieved กันยายน 10, 2567, from https://english.dvb.no/at-least-11-civilians-killed-in-airstrikes-on-namkham-in-northern-shan-state/ ↩︎
- Wei, B., & Zan, H. H. (2024, May 23). Myanmar Junta Airstrikes Kill 359 Civilians in Four Months: Report. The Irrawaddy. Retrieved September 13, 2024, from https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmar-junta-airstrikes-kill-359-civilians-in-four-months-report.html ↩︎
- Armed Conflict Location & Event Data, data export. (2024, August 6). https://acleddata.com/. Retrieved September 13, 2024, from https://acleddata.com/2024/08/06/myanmar-mid-year-metrics-2024/ ↩︎
- Armed Conflict Location & Event Data, data export, https://acleddata.com/ (accessed 13 September 2024; comparing January – October 2023 with November 2023 – April 2024). ↩︎
- TotalEnergies withdraws from Myanmar. (2022, January 21). TotalEnergies.com. Retrieved September 13, 2024, from https://totalenergies.com/media/news/press-releases/totalenergies-withdraws-myanmar ↩︎
- Chevron Exits Myanmar With Withdrawal From Natural Gas Project. (2024, April 9). WSJ. Retrieved September 13, 2024, from https://www.wsj.com/business/energy-oil/chevron-exits-myanmar-with-withdrawal-from-natural-gas-project-cd0afbd1 ↩︎
- Open letter to government of Singapore. (2023, October 29). Justice For Myanmar. Retrieved September 17, 2024, from https://www.justiceformyanmar.org/press-releases/open-letter-to-government-of-singapore ↩︎
- แถลงการณ์สมาคมธนาคารไทย ฉบับเต็ม https://www.tba.or.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%87-%E0%B8%81%E0%B8%A3/ ↩︎
- ธนาคารทหารไทยธนชาต. (2567, มิถุนายน 28). ธนาคารทหารไทยธนชาต ชี้แจงกรณีธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวโยงกับรัฐบาลเมียนมา. Retrieved กันยายน 24, 2567, from https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttb-clarifies-financial-transactions-related-to-myanmar-military-government ↩︎
- ประธานคณะ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และคณะ พร้อมด้วยนายทอม แอนดรูว์ส ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับผลการประชุมคณะ กมธ. ในวันนี้ (11 ก.ค. 67). (n.d.). ↩︎
- อ่านข้อเรียกร้องต่อสถาบันการเงินไทย 5 แห่งที่ปรากฏชื่อในรายงานของผู้รายงานพิเศษสหประชาชาติ กรณีธุรกรรมเชื่อมโยงกองทัพพม่าฉบับเต็มได้ที่ https://fairfinancethailand.org/article/2024/thai-5-thai-bank-named-in-the-united-nations-special-rapporteurs-report/ ↩︎
เผยแพร่ครั้งแรกที่ https://fairfinancethailand.org