ลำพังแค่การหาความหมายและตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันกษัตริย์ (Monarchy) และรัฐธรรมนูญ (Constitution) ก็ทำให้หลายคนงงเป็นไก่ตาแตกแล้ว พอยิ่งนำสองสิ่งนี้มาเข้าคู่กัน กลายเป็น ‘กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ’ (Constitutional Monarchy) ความงงก็ยิ่งเลยเถิด จนอาจทำให้ทุกคนกลายเป็นไก่ตาบอดไปได้
ภายใต้ความหมายที่กระจัดกระจายนี้ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เชิญ ศาสตราจารย์ทอม กินส์เบิร์ก (Tom Ginsburg) ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบแห่ง University of Chicago เจ้าของผลงานหนังสือเล่มล่าสุด How to Save a Constitutional Democracy นำกล่าวปาฐกถาที่อาจสร้างเสริมความเข้าใจและหาตำแหน่งแห่งที่อันเหมาะสมให้แก่ทั้งสถาบันกษัตริย์และรัฐธรรมนูญได้ ในหัวข้อปาฐกถาที่มีชื่อล้อไปกับหนังสือของเขาว่า “How to Save Thailand’s Constitutional Democracy”
“How to Save Thailand’s Constitutional Democracy”
กินส์เบิร์กนิยามความหมายของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ว่าเป็นระบอบการปกครองซึ่งมีสถาบันกษัตริย์อยู่คู่กับรัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญจะกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับกษัตริย์ ในขณะเดียวกัน กษัตริย์ต้องไม่อยู่ในสถานะหัวหน้ารัฐบาล เพราะหัวหน้ารัฐบาลต้องมาจากสถาบันการเลือกตั้งเท่านั้น
เมื่อยึดตามนิยามนี้ ปัจจุบันจึงมีประเทศที่เป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นสัดส่วนถึง 20 เปอร์เซ็นต์ จากประเทศทั้งหมดบนโลก และเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Abolute Monarchy) เพียงแค่ 8 ประเทศ จาก 43 ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เมื่อดูจากการจัดอันดับความเป็นประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ของ The Economist จะเห็นว่า ใน 13 อันดับแรกของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด มีถึง 8 ประเทศที่ปกครองแบบระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญไม่เพียงไปด้วยกันได้กับประชาธิปไตย แต่ประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดยังสามารถผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันได้
Rank | Country | Overall score |
1 | Norway | 9.81 |
2 | Iceland | 9.37 |
3 | Sweden | 9.26 |
4 | New Zealand | 9.25 |
5 | Canada | 9.24 |
6 | Finland | 9.20 |
7 | Denmark | 9.15 |
8 | Ireland | 9.05 |
9 | Australia | 8.96 |
10 | Netherlands | 8.96 |
11 | Taiwan | 8.94 |
12 | Switzerland | 8.83 |
13 | Luxembourg | 8.68 |
นอกจากนั้น กินส์เบิร์กยังชี้ให้เห็นอีกว่า 7 จาก 12 ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกก็เป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน
สำหรับประเทศจำนวนหนึ่งที่ปกครองโดยกษัตริย์และไม่ได้เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ กินส์เบิร์กอธิบายว่า สาเหตุเกิดจากการที่กษัตริย์ในประเทศเหล่านั้น มีความร่ำรวยสูงมาก เช่น ประเทศในแถบตะวันออกกลาง มีความร่ำรวยอย่างมากจากการครอบครองทรัพยากรน้ำมัน และความร่ำรวยนี้เองทำให้พวกเขาสามารถควบคุมประชาชนให้อยู่ในกำมือได้
อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับบริบทในทวีปยุโรป กินส์เบิร์กเห็นว่า สิ่งที่ทำให้สถาบันกษัตริย์ในยุโรปซึ่งมีความเป็นประชาธิปไตยและมีความร่ำรวยสูง เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เกิดจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในช่วงศตวรรษที่ 19 จนทำให้กษัตริย์ต้องเข้าต่อรองอำนาจกับรัฐสภา
ในช่วงเวลานี้เอง คือทางแยกที่ต้องตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนไปเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยในยุโรปประเทศที่เป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น เกิดจากการที่กษัตริย์ยอมปรับเปลี่ยนตาม และค่อยๆ ถ่ายโอนอำนาจไปยังสถาบันพลเมืองและรัฐสภา แสดงให้เห็นว่า ถ้ากษัตริย์ยอมปรับเปลี่ยน สถาบันกษัตริย์ก็จะไม่หายไป
“ถ้าพระมหากษัตริย์ยอมอ่อนข้อก็จะอยู่รอด ถ้าพระมหากษัตริย์สู้ ไม่ทางใดทางหนึ่งก็จะถูกแทนที่ในที่สุด”
อะไรทำให้ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญหายไป และต้องทำอย่างไรให้คงอยู่
ในทางหนึ่ง ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญจะหายไปเมื่อสถาบันกษัตริย์ใช้กองทัพในฐานะหนึ่งในเทคโนโลยีแห่งการควบคุม ซึ่งจากประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในประเทศตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะทั้งอิรัก ซีเรีย และลิเบีย เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า สุดท้ายแล้วกองทัพที่กษัตริย์ใช้งานนั่นเอง จะกลับมาทำการรัฐประหารล้มล้างกษัตริย์
กรณีต่อมา ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอาจหายไปจากการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในกรณีของราชวงศ์ลาว
อีกกรณีหนึ่งที่จะทำให้ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญหายไป ได้แก่ กรณีที่ประเทศซึ่งได้มีการเปลี่ยนผ่านไปเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแล้ว แต่กลับพยายามรวบอำนาจกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังเดิม อย่างที่เคยเกิดขึ้นในประเทศเนปาล ซึ่งในที่สุดก็จบลงด้วยการหายไปของสถาบันกษัตริย์และกลายเป็นสาธารณรัฐ
กินส์เบิร์กสรุปว่า การธำรงระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญให้อยู่รอด ต้องมีการรักษาประชาธิปไตยในด้านหนึ่ง และรักษาระบอบกษัตริย์ในอีกด้านหนึ่ง อีกทั้งต้องไม่กลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะนั่นเป็นเส้นทางที่ปฏิเสธประชาธิปไตย และเป็นไปในรูปแบบที่ไม่เหมาะกับโลกศตวรรษที่ 21
ทำไมถึงยังต้องมีสถาบันกษัตริย์
กินส์เบิร์กเห็นว่า ถึงอย่างไรพระมหากษัตริย์ก็จะมีบทบาทสำคัญในประชาธิปไตยสมัยใหม่ ด้วยเหตุผล 2 ประการ
ประการแรก กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญจะปกป้องประชาชนจากกระแสประชานิยม (populism) ซึ่งเป็นการเกิดขึ้นของกลุ่มที่อ้างว่าเป็นตัวแทนประชาชน เพื่อเปิดทางให้อำนาจการบริหารประเทศตกอยู่ในมือของคนคนเดียว เช่นกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประเทศไทย โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และ อูโก ชาเบซ (Hugo Chavez) แห่งเวเนซุเอลา ทั้งนี้ ลึกๆ แล้วคนกลุ่มนี้ต่างไม่มีความไว้วางใจในสถาบันประชาชน ตลอดถึงสถาบันอื่นๆ ในสังคม ไม่ว่าจะสถาบันสื่อมวลชน หรือระบบราชการ และต้องการที่จะมีอำนาจสั่งการโดยตรงผ่านตัวผู้นำเอง โดยในท้ายที่สุดกระแสประชานิยมแบบนี้จะกลายพันธุ์เป็นสถาบันกษัตริย์แบบใหม่
กินส์เบิร์กเสนอว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้สามารถป้องกันได้ผ่านกลไกของสถาบันกษัตริย์ โดยให้เหตุผลว่า หากลองเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างประเทศยุโรปที่มีสถาบันกษัตริย์กับประเทศที่ไม่มีสถาบันกษัตริย์ จะเห็นว่าประเทศที่ยังมีสถาบันกษัตริย์สามารถทัดทานกับกระแสประชานิยมได้
ประการต่อมา กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน อันจะกลายมาเป็นหลักประกันในภาวะวิกฤติ กินส์เบิร์กยกตัวอย่างของไทยในปี 1992 (พ.ศ. 2535) กษัตริย์สามารถเรียกพบคู่ขัดแย้งอย่างหัวหน้าคณะรัฐประหารและผู้นำกลุ่มผู้ประท้วงเข้าเจรจาเพื่อให้ยุติความรุนแรง และช่วยปกป้องประชาธิปไตยของประเทศ
นี่เป็นกลไกหนึ่งของสถาบันกษัตริย์ที่กินส์เบิร์กเห็นว่าจะมีประโยชน์อย่างมากในภาวะวิกฤติ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีการใช้กลไกนี้อยู่ตลอดเวลา กินส์เบิร์กเปรียบเทียบสถาบันกษัตริย์ในลักษณะนี้ว่า “เป็นเหมือนถังดับเพลิงที่แม้พวกเราทุกคนจะมีอยู่ในบ้าน แต่ก็หวังว่าจะไม่ได้ใช้มัน แต่คุณก็จะอุ่นใจที่มีมัน”
และหากสถาบันกษัตริย์มีความพยายามที่จะกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตัวรัฐธรรมนูญเองก็สามารถช่วยยับยั้งความพยายามนั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งกับอำนาจของกองทัพ
ช่วงท้ายของปาฐกถา กินส์เบิร์กเสนอว่า แนวทางที่จะรักษาระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญไว้ได้ คือแนวทางเดียวกับการรักษารัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ มีการเลือกตั้งที่ทุกคนสามารถแข่งขันกันได้ มีการยอมรับรัฐธรรมนูญผ่านเจตจำนงของประชาชนภายใต้การถกเถียงอย่างเสรี และมีการปกครองตามหลักนิติรัฐและรัฐธรรมนูญ เพราะในท้ายที่สุดทุกสถาบันต้องทำตามกฎหมาย ดังนั้นเอง ผู้พิพากษาจึงต้องค้ำจุนสิทธิเสรีภาพ และสิทธิเสรีภาพนี้จะเป็นสิ่งที่ค้ำจุนรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยอีกทอดหนึ่ง
“รัฐบาลไม่ควรมองว่าการวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งไม่ดี พวกเขาล้วนหวังดีต่อบ้านเมือง และนี่จะเป็นหนทางที่ทำให้ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอยู่ต่อไปได้”