1
“ถ้าเราสั่งให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินได้ เราก็สบายใจ แล้วเราก็ไม่ต้องบนใช่ป่าววะ”
“ก็ใช่ แล้วมึงทำได้เหรอ”
“เออว่ะ”
หลังจบบทสนทนา หนุ่มแว่นห้องวิทย์สองคนพากันเดินมานั่งยองๆ ยกมือขึ้นท่วมหัวและอธิษฐานความในใจกับพ่อปู่ รูปปั้นชายแก่นั่งอยู่ในศาลไม้เก่าๆ ที่รอบกายแวดล้อมไปด้วยเครื่องเซ่นสารพัดอย่าง ทั้งอาหารหวานคาว นม ผลไม้ พวงมาลัย ตุ๊กตานางรำ และควันธูป ซึ่งเหตุผลที่พ่อปู่ฮอตขนาดนี้เป็นเพราะคนในละแวกนั้นเลื่อมใสบูชาในความศักดิ์สิทธิ์ ขออะไรก็ได้ดังหวังทู้กกกกกกกประการ
ดังนั้น ‘เจ’ กับ ‘ยอง’ เจ้าของบทสนทนาจึงมาบนบานพ่อปู่ ขอให้มีชัยในการแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ แล้วพวกเขาก็ชนะ
2
เสียงเพลงเกาหลีดังขึ้น ชายหนุ่มผมยาวหน้าไทยหัวใจโคเรียน 5 คน เต้นยึกยักไปตามจังหวะเพลงหนึ่งในนั้นคือ เอ็ม หัวหน้าวงที่หมกมุ่นอยู่กับการเต้นคัฟเวอร์มากกว่าจะหาวิธียาไส้ให้ตัวเอง หนุ่มเอ็มมีสาวข้างกายอยู่นางหนึ่ง วันหนึ่งสาวเจ้าก็หนีไปกับหนุ่มอื่น เอ็มอกหักอยากได้แฟนคืน เลยไปบนกับศาลพ่อปู่ใต้แฟลตเพื่อขอให้แฟนสาวกลับมา แล้วเธอก็กลับมา
“เฟื่องกลับมาอยู่กับเอ็มแล้ว เอ็มไม่ต้องไปรำแล้ว”
3
“เมย์บนเองก็รำเองสิ เบสไม่เชื่อ ยังไงเบสก็ไม่รำ”
เบสในชุดนักกีฬาอาบเหงื่อชุ่มโชก ทำตาเขียวใส่เมย์สาวคนสนิทที่หวังดีแอบไปบนศาลพ่อปู่เพื่อขอให้เขาผ่านการคัดเลือกเป็นนักกีฬาปิงปองตัวแทนโรงเรียน…เบสผ่านการคัดตัวโดยไม่รู้แน่ว่าเป็นผลจากการซ้อมหนักหรือเพราะคำขอของเมย์ที่ฝากไว้ให้พ่อปู่พิจารณา แต่เมื่อได้ดังหวังลุเป้าประสงค์ก็ต้องทำตามคำสัญญา – รำแก้บน
แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น พวกเขาเป็นเด็กผู้ชาย เพศที่ไม่อาจยอมอายได้ แต่จำต้องมาทำเรื่องน่าอายอย่างการใส่มงกุฎ สวมชุดไทย ออกไปรำฟ้อนถวายพ่อปู่และชาวบ้านร้านตลาด พวกเขาต้องต่อสู้กับความเคอะเขินต่อสายตาเพื่อนร่วมโรงเรียน ต้องอดทนเหยียดนิ้วมือให้อ่อนราวลำเทียนต้องไฟเพื่อให้ตั้งวงได้อย่างงดงามและขยับให้เข้าจังหวะโท่นตุ๊บโท่น ทนต่อไม้เรียวจากครูฝึกสอนรำ และสู้รบกับสงครามในสมองที่กำลังสาดกระสุนใส่กันแบบไม่ยั้ง
“จะรำหรือไม่รำดีวะ”
“ถ้าเราไม่เชื่อเราก็ไม่ต้องทำก็ได้นี่หว่า”
“แก้บนอะไรงมงายไร้สาระ”
4
ความเชื่อและความไม่เชื่อต่างซัดใส่กันอยู่ภายในสมองของเด็กหนุ่ม 4 คน ภายใต้สังคมที่โคตรจะ ‘ไทยแลนด์โอนลี่’ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเชื่อก็ได้แต่ห้ามลบหลู่ วัฒนธรรมที่แท้ของไทยคือการเคารพรูปปั้นที่บังเอิ๊ญบังเอิญผลิตความศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นละหรือ การบนบานสานกล่าวคือหนทางสู่ความสำเร็จจริงหรือไม่ ในเมื่อเรื่องราวที่อุบัติขึ้นทุกๆ วันล้วนแต่เป็นผลจากการกระทำของเราทั้งสิ้น
ตั้งวง หนังตลกปนดราม่า พาเราไปทำความรู้จักกับความเป็นไทยโคตรๆ ผ่านการเสียดสีจากตัวละครที่มีพื้นฐานมาจากกระบวนความคิดและสิ่งที่สังคมหล่อหลอม
“พวกผมจ้างพี่นัท(นางรำรับจ้าง)รำแทนได้ไหม”
“พวกเธอบนเอง ก็ต้องแก้เองรำเองนะ”
และเพื่อเพิ่มอรรถรสความเป็นไทยให้เข้มข้นขึ้น เหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องจึงปูอยู่บนพรมของสถานการณ์การชุมนุมเมื่อ 3 ปีก่อน พร้อมแทรกภาพเหตุการณ์การชุมชน เข้ามาในเนื้อเรื่องอยู่เป็นระยะ
“จะออกไปทำหน้าที่พลเมือง” ตัวละครตัวหนึ่งกล่าว…
หนังยังหลอกให้เราขำในเรื่องตลกร้าย ทั้งยิงมุกที่น่าตบกะโหลกตัวเองหากเผลอหัวเราะออกไปเพราะยั้งปากไม่ทัน และสร้างความกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาโดยฉับพลันว่าเราเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกอย่างนั้นหรือ และเมื่อได้สติก็พลันนึกขึ้นได้ว่าฉากเมื่อครู่ ผู้กำกับอาจจงใจสร้างขึ้นมาเป็นมุกดักไทยก็เป็นได้ ตลกนะ แต่พอเสียงหัวเราะจางลง – มันเจ็บใจว่ะ
“หรือจะไม่รำดีวะ กูอายเขาว่ะ”
“แต่ถ้าไม่แก้บนก็เท่ากับไม่รักษาคำพูดตัวเองนะเว้ย แล้วคำพูดเรามันจะไปมีความหมายอะไรวะ”
“กูว่ามันหมดความหมายตั้งแต่วันที่เราไปบนแล้วว่ะ”.
ตั้งวง ภาพยนตร์ไท้ย ไทย
โดย คงเดช จาตุรันต์รัศมี
กำหนดเข้าฉาย: 29 สิงหาคม