จักรวาลของคนป่วย

ทุกวันนี้ จักรวาลทุกแห่งหนล้วนเปล่งเสียง บ้างต้องการบอกว่า ข้ายังอยู่ที่นี่นะโว้ย บ้างมาในนามความปรารถนาดีต่อผู้ด้อยโอกาส บ้างประกาศนามแห่งความดี บ้างอวดโอ่ความเชื่อถือมุ่งมั่นของตนเอง ฯลฯ สรรพเสียงล้วนเซ็งแซ่จนชวนสับสนมึนงง

nam 01

เรื่อง : กระบี่ไม้ไผ่
ภาพประกอบ : BEZ

ถ้าความอดทนต่ำ มีอารมณ์สูง คิดเห็นไว ไม่อยากได้ยินความเห็นต่าง กลายเป็นโรคประจำยุคสมัย เราทั้งหลายก็คงกำลังป่วยไข้กันคนละเล็กละน้อย

ความอดทนต่ำ มีอารมณ์สูง

ไม่ได้ละลาบละล้วงหรือเจตนาจะเป็นพวกถ้ำมอง แต่จากสภาพที่ยืนอยู่บนรถเมล์ในเช้าวันหนึ่ง ทำให้ชายหนุ่มต้องเห็นอาการของหญิงสาวผู้นั่งอยู่ที่เก้าอี้เดี่ยวริมหน้าต่างซึ่งเขายืนชิดอยู่นั้นแบบไม่มีทางเลี่ยง

ด้วยลักษณะเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่บ่งว่าเธอน่าจะเป็นพนักงานทั่วๆ ไปของบริษัทเอกชนสักแห่ง เธอก้มหน้าก้มตาเปิดแอพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือไปมาแบบไม่เงยหน้า โดยเปิดเข้าแอพลิเคชั่น LINE แล้วเลื่อนดูเร็วๆ ก่อนจะออกจากระบบนั้นมาเข้าระบบรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ อาการบ่งบอกว่าอยากจะโทรออกเพื่อเชื่อมต่อใครสักคน แต่ก็ละล้าละลัง แล้วในที่สุดก็เปลี่ยนใจไปคลิกดูรูปตัวเอง ซึ่งเป็นรูปเดี่ยวของตัวเองในร้านอาหาร ดูอยู่ไม่กี่วินาทีเธอก็ออกจากระบบนั้นเข้าสู่ LINE ใหม่ วนเวียนสลับเข้าออก 2-3 โปรแกรมอยู่อย่างนั้น

สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในใจคือ ไม่ว่าจะคลิกเข้าแอพลิเคชั่น LINE กี่ครั้งๆ ก็ไม่มีใครส่งข้อความอะไรมา และ LINE ที่ปรากฏอยู่ในมือถือเครื่องนั้นส่วนใหญ่ก็เต็มไปด้วยโลโก้เครื่องหมายการค้าของห้างสรรพสินค้าและกิจการต่างๆ

หลายหนที่เธอเปิดดู LINE แล้วตัดสินใจเดินหน้าต่อด้วยการคลิกเข้าไปในรูปสัญลักษณ์การค้าเหล่านั้น แต่ไม่ทันที่จะดูรายละเอียดอะไร ก็ออกมา แล้วเข้าระบบใหม่อีก

บางมุมของโลกที่หดลงเพราะการสื่อสาร คนจำนวนมากบ่นว่า ต้องเสียเวล่ำเวลากับการเปิดดูข่าวสารต่างๆ ที่ทะลักทลายเข้ามา แต่ก็น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เปิดเครื่องรับเอาไว้ แต่ไม่มีสัญญาณใดๆ ส่งมาหาแม้แต่นิด

น่าสนใจว่า ในระบบที่คนอื่นไม่อยากจะเชื่อมต่อกับเรา แต่เราก็สามารถเชื่อมต่อคนอื่นได้ อย่างน้อยที่สุดก็กับพวกแบรนด์สินค้าทั้งหลาย และน่าสนใจว่าแม้มีการติดต่อน้อย แต่เทคโนโลยีสามารถทำให้คนทุกคนที่เสพติดมันกลายเป็นคนอดทนต่ำได้เหมือนๆ กันไปหมด

เดี๋ยวนี้ แทบจะไม่มีใครส่งจดหมายถึงกันอีกแล้ว และอีกไม่นานนัก มนุษย์คงไม่รู้จักรสชาติของการรอคอยจดหมายตอบกลับมา

น่าประหลาดว่า ทั้งที่เราสามารถสื่อสารกันได้เร็วขึ้น ถี่ขึ้น บอกกล่าวและพบเห็นความเป็นไปของกันละกันผ่านระบบการสื่อสารสมัยใหม่มากขึ้น แต่เราก็ใส่ใจและทักทายกันน้อยลง สั้นลง

เหมือนกับว่าพบแต่ไม่เห็น เป็นเพื่อนแต่เหมือนคนรู้จัก

ต่างคนต่างมีจักรวาลของตัวเอง ดึงดูดบางสิ่ง และเหวี่ยงบางอย่างออกจากระยะของตน ตามแรงปรารถนาอันไร้ทิศทาง

คิดเห็นไว ไม่อยากได้ยินความเห็นต่าง

ไม่ได้ละลาบละล้วงหรือเจตนาจะเป็นพวกถ้ำมอง แต่โดยโครงข่ายการสื่อสารสมัยใหม่ที่เชื่อมต่อกับสารพัดจักรวาลอยู่นั้น ทำให้เห็นภาวะขึ้นลงของอารมณ์ของผู้คนจำนวนหนึ่งได้ไม่ยาก

ภาวะขึ้นลงนั้นสะท้อนออกมาจากความมุ่งมั่นในการสร้างจักรวาลของตัวด้วยแรงจูงใจต่างๆ กัน

chat

ทุกวันนี้ จักรวาลทุกแห่งหนล้วนเปล่งเสียง บ้างต้องการบอกว่า ข้ายังอยู่ที่นี่นะโว้ย บ้างมาในนามความปรารถนาดีต่อผู้ด้อยโอกาส บ้างประกาศนามแห่งความดี บ้างอวดโอ่ความเชื่อถือมุ่งมั่นของตนเอง ฯลฯ สรรพเสียงล้วนเซ็งแซ่จนชวนสับสนมึนงง

ยิ่งจักรวาลไหนมีพลังดึงดูดดาวเคราะห์ ดาวหาง ไว้มาก เสียงเทศนายิ่งต้องดุดันเข้มข้น ราวกับว่าถ้าไม่สำแดงพลังเช่นนั้นจะไม่มีแรงดึงดาวเล็กดาวน้อยให้มาโคจรรอบตัว

น่าคิดว่าการสร้างจักรวาลของตัวเอง อีกด้านหนึ่งมันอาจจะเป็นเหมือนการขุดเหมือง คือ ยิ่งขุดหลุมยิ่งกว้างและยิ่งลึก

ถ้าไม่หมกมุ่นลุ่มหลงมากเกินไปนักก็จะเห็นว่า เจ้าจักรวาลเหล่านั้นขุดหลุมกว้างและลึกลงไปมากขึ้นทุกวัน

ผู้พบสัจธรรมที่อยู่เหนือกาลเวลาบอกว่า จิตเห็นจิตเป็นมรรค คนหลงทางบางคนเลยยกขึ้นมาอุเทศแก่ตนเอง ถ้าเช่นนั้นก็น่าคิดว่า จิตที่แส่ส่าย ส่งออก ตอบโต้เรื่องโน่นนี่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะหมุนวนลงลึกไปเรื่อยๆ หรือเปล่า?

คนช่างจินตนาการบางคนมีมโนภาพผุดขึ้นในหัวของตัวเองว่า ถ้าการมีชีวิตอยู่เปรียบเสมือนการดำเนินไปในโลกของความมึนงง ซึ่งอีกข้างหนึ่งคือ การตื่นรู้ อีกข้างหนึ่งก็น่าจะเป็นทางลงไปสู่อบาย หรือทางไปสู่ความมืดมิด การงานที่ดำเนินไปในแต่ละวันของเหล่าสรรพสัตว์ก็ไม่มีอะไรอื่น นอกจากปีนป่ายออกมาจากหุบเหวแห่งความไม่รู้ ดิ้นรนตะเกียกตะกายเอาตัวให้รอด ไม่ให้ต้องพลัดหล่นลงไปสู่ความมืดมิด

บางวันรอด บางวันหล่น บางวันจม บางวันหาย ชีวิตดำเนินเป็นอยู่อย่างนี้

สิ่งที่ทำได้คือ พยายามมีสติจะพลัดหลงลงสู่อบายให้ได้มากที่สุด จะร่วงลงไปบ้างบางขณะ จะหัวทิ่มลงไปเลยในบางวัน แต่อย่างน้อยก็ตะเกียกตะกายขึ้นมา หรือระวังความคิด ถนอมวาจาของตัว ไม่ให้โดนราคะ โมหะ โทสะ ถีบลงหลุมบ้างในบางทีก็นับว่าใช้ได้แล้ว เพราะการฝึกตนต้องใช้เวลา

โลกทัศน์ของคนเราไม่เท่ากัน ซ้ำยังคิด เชื่อ ฝัน แตกต่างกัน บางคนอาจจะเชื่อว่าอบายเป็นเรื่องหลอกเด็ก เป็นเรื่องมโนไว้ข่มคนกล้า ก็สุดแต่จะว่ากันไป ชีวิตใครชีวิตมัน คนมีสติก็จะไม่เอาความเชื่อ ทัศนะ ฯลฯ ของตัวไปตัดสินคนอื่นง่ายๆ

เลือกไปเถอะ ใช้ไปเถอะ แล้ววันหนึ่งเราจะได้ข้อสรุปของตัวเองซึ่งแน่นอนว่า มันอาจจะไม่เหมือนกันเลยก็เป็นได้

ในความอึงคะนึงของเหล่าจักรวาล ใครบางคนคิดว่า การเงยหน้าด้วยความสงัดใจเป็นสิ่งจำเป็น ในนามแห่งความดีหรือการประกาศศักดาอย่างอวดโอ่นั้น เราพึงสำรวจว่าตัวตนเราใหญ่ขึ้นแค่ไหน และสร้างปัญหาขึ้นหรือไม่

เครื่องสำรวจของเขามีอยู่ว่า…

“…ตรองดูเถิดความโกรธความเกลียดชังกัน ความการแก่งแย่งแข่งดี การคิดทำลายกัน ล้วนแตกกิ่งก้านสาขามาจากลำต้น คือ อหังการหรือความทะนงตนทั้งสิ้น

ถ้าลำต้นคือความทะนงตน การถือตัวจัด ถูกทำลายแล้ว ถูกตัดให้ขาดแล้ว การกระทบกระทั่งย่อมไม่มี จิตสงบราบเรียบและมั่นคง เป็นความสุขอย่างสงบ สมดังที่พระบรมศาสดาตรัสว่า การถอนอัสมิมานะเสียได้เป็นบรมสุขดังนี้

วิธีถอนอัสมิมานะนั้น ในเบื้องต้นนั้นให้พิจารณาเห็นโทษความทะนงตน ว่าเป็นเหตุให้ทำความเสียหายนานาประการ แล้วพยายามบรรเทาด้วยความพยายามเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่น เห็นความสำคัญของผู้อื่น เรามีชีวิตอยู่ด้วยความสำคัญของผู้อื่น ทิฐิมานะจะได้ลดลง การถ่อมตัวจะเพิ่มขึ้น…ประการสำคัญของการถอนอัสมิมานะก็คือ ให้มนสิการเนืองๆ ว่า ตนของตนที่แท้จริงนั้นไม่มี สิ่งทั้งปวงอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยปัจจัยมากมายดำเนินไป มันเป็นอนัตตาโดยแท้ เราพากันเข้าใจผิดไปเองว่ามีตัวตน

ที่แท้จริงคนที่ทะนงตนว่าสำคัญนั้น มีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าตนมากมาย…แม้คนสำเร็จในด้านการงานด้านใดด้านหนึ่ง ก็หาสำเร็จไปคนเดียวได้ไม่ ต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ มากมาย จาระไนไม่หมดสิ้น

ในประการต่อมา พระศาสดาทรงประทานพระพุทโธวาท มิให้ยินดีในถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะถ้าเถียงกันก็จะมีแต่เรื่องที่พูดมาก เมื่อพูดมากก็เกิดความฟุ้งซ่าน จิตจะห่างเหินจากสมาธิ

มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเชิดชูตนด้วยการปะทะคารมกับผู้อื่น ด้วยต้องการโอ้อวดฝีปากให้คนทั้งหลายเห็นว่าเป็นปราชญ์ มีปัญญามาก มีความสามารถหาผู้เสมอเหมือนมิได้

เจตนานั้นนำไปสู่การทะเลาะวิวาท การทะเลาะวิวาทนำไปสู่การแตกความสามัคคี การแตกความสามัคคีนำไปสู่ความเสื่อมนานาประการ บางประเทศต้องเสียบ้านเสียเมืองให้ข้าศึกก็เพราะคนในบ้านในเมืองแตกความสามัคคีกัน ข้อนี้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย

วิธีหลีกเลี่ยงถ้อยคำมิให้เป็นเหตุต้องโต้เถียงกันก็คือ อย่าพูดจาเมื่อเวลาโกรธ และอย่ายึดถือทิฐิของตนให้มากเกินไปจนกลายเป็นคนหลงตนเอง การกระทำด้วยความหลงตนเองมีแต่ความผิดพลาดในเบื้องหน้า…ทรงสรรเสริญการอยู่ในเสนาสนะที่สงัด ไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ…เบื้องแรกต้องได้กายวิเวกก่อน จิตวิเวก คือ ความสงบทางจิตจึงจะเกิดขึ้น เมื่อความสงบทางจิตเกิดขึ้น อุปธิวิเวก คือ ความสงบกิเลสก็จะตามมา” (พระมหาโมคคัลลานะ โดย วศิน อินทสระ)

ไม่ได้ละลาบละล้วงหรือเจตนาจะเป็นพวกถ้ำมอง แต่จากสภาพที่เป็นอยู่ ใครบางคนคิดว่า ถ้าความอดทนต่ำ มีอารมณ์สูง คิดเห็นไว ไม่อยากได้ยินความเห็นต่าง กลายเป็นโรคประจำยุคสมัย เราทั้งหลายก็คงป่วยไข้กันคนละเล็กละน้อย

บางคนป่วยแล้วยินดีที่เจ็บไข้ บางคนป่วยแล้วพยายามจะรักษา เลือกไปเถอะ ใช้ไปเถอะ แล้ววันหนึ่งเราจะได้ข้อสรุปของตัวเอง


(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์น้ำก้นบ่อ นิตยสาร Way ฉบับ 80, พฤศจิกายน 2557)

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า