Violin Sing

violinsing-3

เรื่อง+ภาพ: สุวิชานนท์  รัตนภิมล

 

 

9 ปีมาแล้วที่ผมออกไปเล่นเพลงให้ต้นไม้ต้นหนึ่งฟัง

ตะเคียนทองต้นนั้นยังสาว อายุไม่เกิน 20 ปี แรกเห็นไม้ต้นนั้น น่าจะอายุ 10 กว่าปีต้นๆ เวลาผ่านไป 9 ปี ต้นไม้โตทันตาเห็น ลำต้นใหญ่ขึ้นกว่า 2 เท่า สร้างกิ่งใหญ่แผ่ใบปรกเป็นร่มเงากว้างขึ้นเรื่อยๆ

ผมเลือกไม้ตะเคียนทองต้นนี้ เป็นหมุดประทับรอยความหมายของต้นไม้รำลึก เสมือนหนึ่งที่อยู่ของร่างไร้วิญญาณ

เสียงผู้ใหญ่เตือนบอกผมแต่แรกแล้วว่า อย่าไปติดยึดกับไม้ต้นนั้น จิตเขาออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว อาจเป็นนกสักตัวในป่าลึก เป็นหินสักก้อนกลางแม่น้ำสายหนึ่ง เป็นต้นไม้สักต้นหนึ่งกลางป่า เป็นเด็กหญิงที่น่ารักสักคนหนึ่ง เป็นกล้วยไม้บนคาคบไม้ในป่าชื้นสวยงาม หรือสิ่งมีชีวิตใดชีวิตหนึ่งสักแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้

แต่บางเสียงก็บอกว่า ดวงจิตของเธอไม่จุติใหม่อีกแล้ว เธอมาเกิดเป็นภพสุดท้าย  มาสร้างความสะอาดบริสุทธิ์ตราตรึงใจไว้ทั่วหน้า แล้วลับลาจากไป

ไม่มีความเห็นใดที่ผมเห็นแย้ง เป็นไปได้ทั้งนั้น

แม้จะอ่านพบเหตุผลในคำสอนทางศาสนา ว่าชีวิตเป็นไปตามกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชีวิตตั้งอยู่ ดำเนิน แล้วดับไป สรรพสิ่งไม่คงทนยั่งยืน มีเสื่อม มีลับหาย ไม่มีอยู่จริง รับรู้เป็นพื้นอยู่ในจิตใจเสมือนหนึ่งกุญแจชีวิต

กุญแจในใจเดินทางไปทุกหนแห่ง ออกไปไขห้องใจที่ติดขัดในแต่ละเรื่องราว

จุดหมายของกุญแจดอกนั้น มุ่งหมายหาคำตอบชีวิตจะได้เดินทางด้วยความเบาโปร่งสบายขึ้น เป็นทุกข์น้อยลง สามารถข้ามผ่านอุปสรรคนานาไปได้ ตราบเท่าที่ยังดำรงสถานะเป็นชีวิตหนึ่ง

 

 

1

 

เป็นช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ผมขับรถมาตามทางหลวงจากหัวเมืองชายแดนภาคเหนืออยู่ดีๆ เกิดไปสบตากับหมู่แนวต้นสน ยืนต้นเรียงแถวน่าดูเหลือเกิน ผมชะลอความเร็วแล้วขับรถเข้าไปจอดใต้ร่มเงาแนวป่าสนจนได้ เจ้าลูกชายวัย 9 ขวบกว่าถามทันที

“พ่อไปดูอะไร”

“เห็นมั้ย ต้นสนทั้งนั้น มีทั้งต้นเป็นปู่ เป็นพ่อ เป็นลูก เต็มไปหมดเลย” ผมตอบ

ในรถมีไวโอลินมาด้วย เราหยิบติดรถมาตั้งแต่ออกจากประตูบ้าน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้ยินไวโอลินเปล่งเสียงตอนไหน

“อยากเล่นไวโอลินให้ต้นไม้ฟังมั้ย” ผมพูดเปรยแหย่เขา

“ได้เลยพ่อ” เด็กชายตอบรับทันที

เขาเดินมองหาตำแหน่งยืน ผมคว้ากล้องถ่ายรูปเดินตามหลัง

“อยากเล่นให้ต้นไหนฟัง ต้นอื่นๆ ก็ได้ยินไปทั่วละ” ผมพูดแล้วล้มตัวลงนอนหามุมกล้องถ่ายรูป

เขาเปิดกล่องไวโอลิน ขึ้นสายคันชัก (โบ) นั่งนิ่งเงียบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน สงบอยู่ชั่วขณะ แล้วเพลงไวโอลินก็ดังขึ้น

 

 

violinsing-2

 

2

 

แม่ของเขานอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เรานอนเฝ้าเตียงเป็นคืนแรก คืนนี้เราไม่นอนบ้าน นอนค้างคืนกันที่โรงพยาบาล ตรงกับวันพฤหัสบดีที่เขาต้องเอาไวโอลินกลับบ้าน แต่เรากลับไม่ถึงบ้าน ผมบอกเขาว่า เอาไวโอลินไปไว้บนห้องที่แม่นอนดีกว่า

เขาพูดต่อทันทีว่า จะเล่นให้แม่ฟัง

เขาแกะกล่องไวโอลิน ขึ้นสายคันชัก แล้วเริ่มต้นเล่นเพลง สีไวโอลินให้แม่ฟัง พยาบาลเดินมาดูว่าเสียงไวโอลินดังมาจากห้องไหน

นั่น…เป็นครั้งแรก ที่ผมได้เห็นแววตาคู่นั้น แววตาที่เต็มไปด้วยความตั้งใจมุ่งมั่น  ผมไม่เคยนึกว่าเขาจะหลงชอบไวโอลิน

ผมยังจำค่ำวันหนึ่ง แม่เขาถามว่า จะลงเรียนวิชาเสริมทักษะอะไรดี โรงเรียนบอกต้องเรียน 1 อย่าง

แม่ของเขาไล่อ่านไปทีละข้อ งานประดิษฐ์หัตถกรรม ฟุตบอล ไล่เรื่อยจนถึงไวโอลิน เอามั้ยลูก เรียนไวโอลิน!

ผมรู้สึกเย็นชากับความชอบด้วยซ้ำ ผมเคยตั้งความหวังไว้ในใจมากมายเหลือเกิน  ลูกต้องอย่างนั้น ลูกต้องอย่างนี้ สุดท้ายก็ไม่มีลูกให้อยู่เห็นหน้า ลูกจากลาไปอย่างไม่รู้จะตามหาเจอได้ที่ไหน ชีวิตวูบเดียวเหมือนหยดน้ำในแสงแดด

ข้างในผมเฉยเมยได้เพียงนี้เชียวหรือ!

ทันที่ไวโอลินดังขึ้น สำเนียงชนิดหนึ่งเป็นมวลอากาศที่เศร้าสร้อยเหลือเกิน ผมยืนฟังและนิ่งอึ้งกับภาพที่เห็น

เขารักไวโอลิน ไวโอลินของเขาร้องเพลง ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

 

3

 

ผมพาเขาไปพบครูสอนไวโอลินคนใหม่ ทุกครั้งที่เราออกจากห้องซ้อมเรียนไวโอลิน ครูผู้สอนพูดให้กำลังใจเสมอ

Violin Sing ไวโอลินร้องเพลง ไวโอลินต้องร้องเพลง…

คำ-ประโยคครูสอนไวโอลินเปล่งออกมาราวกับบทกวี

…เล่นโบ (คันชัก )กว้าง โบต้องตรง ถ้าโบไม่ตรงจะเป๋

…โบกับสายต้องเกิดสี่หลี่ยมผืนผ้า

…เสียงมันบอกว่าโบเอียงแล้ว เสียงบอกว่าโบจัดสวยแล้ว

…กลับมาที่ลากโบเปล่า อย่าเกร็งมือ ปล่อยไว้

…ครูอยากให้เล่นเป็นวรรค เป็นตอน อย่าเร่ง

…เราต้องกล้าเล่น เล่นให้เต็มๆ

…เสียงไม่เพราะ เสียงไม่สบาย

…ปรับการวางนิ้วด้วยหู แทนการมองเห็น

…ถ้าไม่ใช่ เราต้องรู้แล้วว่าไม่ใช่

…เล่นให้รู้สึก เล่นไปเรื่อยๆ จนสบาย

…ฯลฯ…

 

violinsing-1

 

ผมชวนเจ้าลูกชายไปเล่นไวโอลินให้ต้นไม้ฟัง ผมบอกเขาเพียงว่า ไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้ของพี่สาว เขาฟังผมพูดอย่างตั้งใจ แล้วนาทีเสียงไวโอลินก็ดังขึ้น

ภาพซ้อนภาพในเสียงไวโอลินตรงหน้านั้น เป็นเด็กชายวัยขวบกว่าๆ ถูกทิ้งไว้ในมือใครสักคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร ผมได้ยินเสียงเขาร้องไห้สุดเสียง ดังจากที่ใดที่หนึ่งนานมาก เสียงแม่ของเขาเช่นกัน นานมากกว่าผมจะคว้าเจ้าลูกชายมากอดไว้แน่น แต่ไม่มีคำพูดปลอบใจใดๆ ให้เขา

แม่ของเขาร้องเหมือนคนเสียสติ ผมมองไม่เห็นใบหน้าตัวเอง แต่คงไม่น้อยกว่าใบหน้าแม่ของเขา

“ลูกสาวไม่อยู่กับเราแล้ว” แม่ของเขาพูดย้ำโหยหวนแต่คำนั้น

เจ้าลูกชายยิ่งร้องดังเหมือนโดนทำร้ายรุนแรง น้ำมูกน้ำตาไหลอาบแก้ม…

เขาลากโบด้วยใจจดจ่อ ส่งเสียงให้พี่สาวเขาฟัง ผมรู้สึกอย่างนั้น ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เหมือนว่าเวลานานชั่วกัปกัลป์ ผมคงไม่ได้ยินสียงใดๆ มาปลุกปลอบใจได้ไพเราะเท่านี้อีกแล้ว แต่เพลงของเขากำลังทำทางลัดข้ามเวลาที่คาดไม่ถึง

กุญแจใจอีกดอกที่เปิดเข้าไปเก็บกวาดพื้นที่ในใจ เสมือนเยียวยาแผลใจ

ใครสักคนหนึ่งบอกว่า เจ้าลูกชายผมมีหลุมหลบภัยส่วนตัวแล้ว เขากำลังขุดหลุมหลบภัย เพื่อจะใช้ดูแลใจตัวเอง หลุมหลบภัยของเขา คงช่วยให้คนอื่นที่ปราศจากหลุมนั้นช่วยชีวิตให้ได้มีความสุขด้วย

Violin Sing เล่นเพลงให้ต้นไม้ฟัง ความรู้สึกของการฟัง ผมรู้สึกถึงพลังเรื่องราวมากกว่านั้น เป็นพลังท่วงทำนองของความรักโดยแท้

Author

WAY

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า