Westwood: Punk, Icon, Activist ภาพยนตร์สารคดี ที่เล่าเรื่องราวของ วิเวียน เวสต์วูด (Vivienne Westwood) ดีไซเนอร์ชื่อดังสัญชาติอังกฤษ แค่ดูจากชื่อเรื่องก็รู้ว่าเธอนั้นไม่ธรรมดาแค่ไหน เป็นทั้งพังค์ ผู้นำแฟชั่น และอีกหนึ่งบทบาทสำคัญคือ เธอเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมเสียด้วย
ก่อนจะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ สารภาพก่อนเลยว่า ไม่เคยรู้จักเวสต์วูดมาก่อน ไม่เคยได้ยินชื่อแบรนด์เสื้อผ้า ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามีคนนี้อยู่บนโลก แล้วก็ไม่ได้ดู teaser เรื่องนี้มากนัก รู้แต่เพียงว่าเป็นผู้หญิงรุ่นคุณยายที่แต่งตัวเฟี้ยวฟ้าว คิดว่าคงจะเป็นเรื่องของคุณยายที่ไม่ยอมแก่ล่ะมั้ง
แต่พอดูแล้ว เฮ้ย นี่มันหนังอะไรเนี่ย จากคนที่ไม่รู้เรื่องกลับต้องมาเสิร์ชอินเทอร์เน็ตเพื่อดูเสื้อผ้าที่เธอออกแบบ และติดตามไอจี Vivienne Westwood ทันที
ส่วนตัวผู้เขียนเป็นคนที่ชอบแต่งตัว ทุกคืนก่อนนอนจะต้องคิดแล้วว่าพรุ่งนี้ฉันจะใส่ชุดอะไร เพราะไม่อย่างนั้นเช้าวันต่อมาต้องเสียเวลาหลายนาที บางครั้งเป็นครึ่งชั่วโมงในการเลือกเสื้อผ้าใส่ เพราะเราเชื่อว่า เราเป็นคนอย่างไร สามารถแสดงออกจากการแต่งตัว (แต่ไม่ได้ตัดสินคนอื่นจากการแต่งตัวนะ)
เสื้อและตัวตนเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กัน เมื่อเราให้ความหมายกับสิ่งที่เราใส่ เสื้อผ้านั้นจะมีความหมายกับเราเสมอ เหมือนกับที่เวสต์วูดใส่ความเป็นตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเสื้อผ้า นั่นก็คือตัวตน อุดมการณ์ ดังที่เธอกล่าวว่า
ทุกครั้งที่ฉันออกแบบเสื้อผ้า มันต้องมีเรื่องราว ต้องมีคาแรคเตอร์ และเรื่องราวนั้นต้องเชื่อมโยงกับการแสดงออกของผู้คน เมื่อเป็นแบบนั้น เสื้อผ้าจะไม่มีวันตกยุค
สารคดี Westwood: Punk, Icon, Activist ทำให้เราเห็นเวสต์วูดในแต่ละช่วงชีวิต เธอเริ่มแหวกออกจากขนบที่คนส่วนใหญ่นับถือตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา ครอบครัว มุมมอง ความคิดเห็นที่มีต่อโลก ทุกวันนี้ถ้าเราเห็นคนที่ขบถต่อศาสนา หรือผู้หญิงที่ไม่เป็นแม่บ้านแม่เรือนคงเป็นเรื่องปกติ แต่ในสมัยของเวสต์วูดถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แต่เธอก็ก้าวออกมาจาก comfort zone ได้ ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอกล้าก้าวออกมาเพื่อหา comfort zone เป็นของตัวเองต่างหาก
เวสต์วูดได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก นั่นก็คือการออกแบบเสื้อผ้า ขณะเดียวกัน เธอยังทำให้มันกลายเป็นแรงบันดาลใจ เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนสังคมไปในตัวด้วย คนที่มีพรสวรรค์แบบเธอคงมีไม่มาก ถ้าจะให้มีแนวคิดเพื่อสังคมด้วยนั้นยิ่งน้อยไปใหญ่ หรือไม่ก็อาจจะมีเพียงเธอเท่านั้น
สารคดีเรื่องนี้ยังเปิดโอกาสให้เราได้คิดและกลับมาสังเกตตัวเอง แม้ว่าไม่ได้เป็นดีไซเนอร์ แต่แค่เสื้อที่เราใส่ก็สามารถเป็นพลังให้เราแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริง และหลุดออกจากคำว่า ‘ก็คนอื่นเขาทำกัน ใส่กัน’
สุดท้ายนี้จะบอกว่า ชอบที่หนังทำให้เราเห็นทั้งความสวยงาม ความผิดหวัง ความท้อแท้ ประสบความสำเร็จ และภายใต้ความสำเร็จก็มีความย้อนแย้ง ขัดแย้ง ทุกอย่างในหนังให้ภาพที่เป็นสีเทา เล่าเรื่องในมุมมองที่หลากหลาย เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเวสต์วูดก็ได้
เพราะนี่คือชีวิต ไม่มีถูกผิด มันจึงสวยงามยังไงล่ะ