นักเขียนคนหนึ่งจะก่นด่าในความผิดพลั้งของตัวเองถึงกี่ครั้งจึงจะตระหนักได้ว่า เราไม่เคยเป็นเจ้าของความรัก
ไม่ว่าทั้งรักด้วยตัวบุคคล
ไม่ว่าทั้งรักด้วยการงานที่แปะป้ายบอกใครๆ ว่านี่แหละตัวเรา
เราจะอ่านงานเขียนที่ไม่มีตัวตนหรือส่วนหนึ่งของพวกเขาได้ไหม?
เราจะเชื่อมโยงระหว่างความเศร้าของนักเขียนกับความเหงาของพนักงานกะดึกในนิคมอุตสาหกรรมที่จากบ้านมาไกลได้ไหม?
เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควายหรือโรแมนติกแค่เพียงแสงไฟจากเสาริมถนนกลางสายฝน
รวมเรื่องสั้นเล่มใหม่ ติดอยู่ระหว่างการเดินทาง ของ อุทิศ เหมะมูล ให้ความรู้สึกเช่นนั้น
เรื่องสั้นแต่ละเรื่องในเล่มนี้พูดถึงสภาวะติดจ้อง ติดขัดอยู่ในสถานการณ์ และความรู้สึกบางอย่างเหมือนๆ กัน
แน่นอนว่านั่นอดทำให้หวนมองดูทุกสิ่งรอบตัวไม่ได้ เพราะไม่เพียงแต่การเขียนที่พอดิบพอดีคำที่แตกต่างอย่างมากกับงานชิ้นมโหฬารอย่าง จุติ ที่เขียนขึ้นเมื่อสามปีก่อน
แต่ในความลดทอน น้อยแต่มาก กลับเจอน้ำเสียงของคนที่ผ่านความเศร้าเค้นลึกในอารมณ์จนถึงขั้นปลงไม่น้อย กระนั้นอุทิศก็ยังเป็นอุทิศ เราไม่อาจวางใจในแต่ละประโยคของอุทิศได้เลย
หากถามว่ารวมเรื่องสั้นเล่มนี้เป็นเรื่องของความรักของคนที่อยู่ในอาชีพนักเขียนก็ไม่ผิดนัก
ในขณะที่เราเห็นการกล่าวโทษอีกฝ่าย
เราก็เห็นการกล่าวโทษตัวเอง
พูดอีกแบบคือ รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ไม่ขาดตกหล่นในรายละเอียดเล็กๆ ที่หากเขียนโดยนักเขียนคนอื่นไม่ใช่อุทิศแล้วคงขยี้ให้โศกาบรรลัยแน่ ยกตัวอย่าง
…อยู่ด้วยกันมา 9 ปี ควรจะได้เดินทางท่องเที่ยวไกลๆ ด้วยกันบ้าง เดินทางไกลเหมือนระยะเวลาที่อยู่ร่วมกันมา อยู่ๆ จะขาดผึงตรงหน้าห้องน้ำหญิงในสนามบิน เรื่องเล็กๆ ที่ชวนจะขาดกันบ่อยๆ ‘คุณเอาแต่ใจจะตาย’ เขาพูดในใจ มองเธออีกครั้ง เอื้อมมือไปลูบผมเธอ ‘ป่ะ พร้อม’ เขาบอก
– หน้า 25
หรือ…
…ผู้ชายหลายใจ รักไม่บันยะบันยัง ไถ่ถอนตัวเองจากความทรงจำผ่านงานเขียน สร้างอนุสรณ์สถานขึ้นใหม่ในเรื่องเล่า แต่ก็ทำร้ายความรู้สึกของผู้หญิงที่รักเขา
– หน้า 47
ลักษณะการเขียนที่ไม่ฟูมฟายเช่นผู้ผ่านวัยวันของคนหนุ่มมาอย่างเข้าใจในความเจ็บปวด ทำให้มองเห็นถึงร่องรอยบางอย่างในชีวิตสะท้อนลงมาในเนื้องาน และแม้เราไม่จำเป็นต้องรู้อะไรเกี่ยวกับนักเขียนในด้านส่วนตัว แต่มุมมองที่ปรากฏผ่านบทบาทตัวละคร ผ่านเสียงสนทนาในฉากต่างๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากตัดเอาเสื้อคลุมที่สวมใส่ให้ตัวละครออกไป
เราเองแทบไม่ต่าง
สุดท้ายแล้วอาการติดข้อง ติดขัดจาก ‘อะไรสักอย่าง’ ทั้งในด้านส่วนตัวและบางสิ่งที่ใหญ่ของตัวละครสะท้อนกลับมายังตัวเรา – ในฐานะผู้อ่าน และผู้ติดอยู่ระหว่างการเดินทางเหมือนกัน คงเป็นเหมือนบทรำพึงเชิงทดท้อในเรื่องสั้น ‘สาบสูญที่พาราณสี’ ที่อุทิศได้เขียนบอกเล่าความรู้สึกของอดีตนักเขียนดาวรุ่งที่กลายมาเป็นบรรณาธิการไว้ว่า
…สิ่งเดียวที่คุณไม่ได้ทำคือเขียนหนังสือเล่มใหม่ ทุกครั้งที่เริ่มเขียน ถ้อยคำคล้ายค่อยๆ เลือนจางไปจากหน้ากระดาษสีขาว หายสาบสูญไปต่อหน้าเหมือนหมอกควัน…
– หน้า 57
เราแค่หวังว่าไม่จำเป็นที่เราจะต้องทิ้งตัวสู่แม่น้ำคงคาเพื่อการโอบกอด อย่างตัวละครในเรื่อง ‘ว่าแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้โรแมนติก’