Gaslighting ครอบงำ ปั่นหัว ทารุณกรรมทางใจ

คำว่า ‘gaslighting’ ถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้งในสังคมไทย หลังมีผู้ออกมาแฉนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ไอดอลคนดัง ว่ามีพฤติกรรมคุกคามจิตใจ ควบคุม หลอกใช้ ด่าทอ ต่อว่าให้อับอาย ทำให้เหยื่อรู้สึกไม่เหลือความเป็นคน

ที่มาของคำว่า gaslighting มาจากภาพยนตร์เรื่อง Gaslight ในปี 1944 นำแสดงโดย ชาร์ลส์ บอยเออร์ (Charles Boyer) และ อิงกริด เบิร์กแมน (Ingrid Bergman) ซึ่งเป็นเรื่องราวของสามีที่ต้องการครอบครองทรัพย์สมบัติของภรรยา เขาได้ปั่นหัวและหลอกลวงให้ภรรยาเชื่อว่าเธอมีอาการทางจิต โดยสามีใช้วิธีการหรี่ไฟในตะเกียงลง เมื่อภรรยาถามถึงความสว่างของไฟที่ลดลง เขากลับตอบว่าเธอคิดไปเอง หรือจะเป็นการนำข้าวของไปซ่อนและป้ายความผิดให้แก่ภรรยา สามีพยายามบิดเบือนความคิดโดยทำให้ทุกอย่างดูปกติยกเว้นภรรยาของเขาเอง

ตั้งแต่ช่วงต้นทตวรรษ 1980 เป็นต้นมา คำว่า gaslighting ก็ถูกนำมาใช้โดยนักจิตวิทยา นักอาชญาวิทยา หรือนักกฎหมาย เพื่อนิยามถึงพฤติกรรมการพยายามบิดเบือนและบงการความคิดของเหยื่อจนนำไปสู่ความเป็นพิษในความสัมพันธ์ (toxic relationship)

โดมินา เพทริค (Domina Petric) แพทย์และนักวิจัยอิสระ เขียนบทความวิจัยที่ชื่อ ‘Gaslighting and the knot theory of mind’ โดยอธิบายว่า gaslighting เป็นหนึ่งในรูปแบบของการควบคุมจิตใจ (psychological manipulation) ด้วยการปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ความสงสัยคลางแคลงใจและความไม่เชื่อมั่นในตัวเองให้แก่เหยื่อ ซึ่งสามารถเกิดได้ในความสัมพันธ์หลายรูปแบบ เช่น คู่รัก ครอบครัว เพื่อน สังคมที่ทำงาน หรือแม้แต่ในรั้วการศึกษา

gaslighting เป็นพฤติกรรมที่ผู้กระทำหรือ gaslighter จงใจบิดเบือนความจริงหรือความคิดของเหยื่อ เพื่อให้เหยื่อรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่คิดไม่ใช่ความจริง โดยการทำให้เหยื่อเกิดความสงสัย ไม่มั่นคง และไม่มั่นใจ แม้ในบางครั้งเหยื่อจะเกิดความสงสัยหรือตงิดใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะขัดขืน เมื่อไม่มีผู้ใดมาช่วยยืนยันความคิด สุดท้ายจึงตกเป็นเหยื่อไปโดยปริยาย

พฤติกรรม gaslighting นับเป็นหนึ่งในรูปแบบของการทารุณกรรมทางจิตวิทยา (phychological abuse) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลทางอำนาจระหว่าง gaslighter และเหยื่อ โดย gaslighter ได้ใช้ ‘การล่วงละเมิดทางอารมณ์แบบแอบแฝง’ และใช้อำนาจเหนือกว่าในการบงการความคิดให้เหยื่อเกิดความสับสนในตัวเอง

สัญญาณของพฤติกรรม Gaslighting 

“สิ่งหนึ่งที่ยากจริงๆ เกี่ยวกับ gaslighting คือมันสร้างความสับสนที่แก่นแท้ของมัน มันมีไว้เพื่อทำให้สับสน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะมัน”

เพจ แอล. สวีต (Paige L. Sweet) นักจิตวิเคราะห์

สัญญาณที่บ่งบอกถึงการ gaslighting ได้แก่

  • พฤติกรรมตบหัวลูบหลัง โดย gaslighter อาจจะหว่านล้อมให้เหยื่อรู้สึกผิด ก่อนจะพูดจาปลอบใจในภายหลัง
  • หากเหยื่อใช้โทนเสียงที่มีความท้าทาย gaslighter อาจจะพลิกสถานการณ์โดยการทำให้เหยื่อรู้สึกผิดและกล่าวโทษเหยื่อแทน
  • พยายามแยกตัวเหยื่อออกจากผู้คนหรือความสัมพันธ์รอบข้าง
  • การกล่าวหาว่าพฤติกรรมของเหยื่อไร้เหตุผล บ้า หรือใช้อารมณ์มากเกินไป
  • ใช้คำพูดสวยหรูโดยพยายามทำให้เหยื่อเชื่อว่าตนหวังดี
  • เมื่อเหยื่อแสดงความกังวลหรือสงสัย gaslighter มักจะบอกว่า คิดมากไปเอง และบางครั้งก็กล่าวโทษเหยื่อ
  • เปลี่ยนเรื่องหรือเบี่ยงเบนความคิด ทำให้เหยื่อต้องขอโทษทั้งๆ ที่ไม่ได้ผิด

อย่างไรก็ตาม gaslighter เองก็มีทั้งที่จงใจเข้าหาเหยื่อกับที่กระทำไปโดยไม่รู้ตัว สัญญาณที่ได้กล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงข้อสังเกตเบื้องต้นเท่านั้น ยังมีสัญญาณอีกหลายรูปแบบที่บ่งบอกถึงการ gaslighting และเหยื่อก็ยากที่จะแยกแยะ เนื่องจาก gaslighting บ่อนทำลายการรับรู้ความจริงของเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่มีความมั่นใจและสงสัยว่าตัวเองผิดปกติ รวมถึงการถูกชักจูงหรือแปะป้ายว่าเป็นคนทำผิดหรืออ่อนไหวเกินไป

ตัวอย่าง Gaslighting

“ครูตีนักเรียนเพื่อสั่งสอน”
“ที่ฉันนอกใจก็เพราะคุณดีไม่พอ”
“เรื่องแค่นี้เองจะคิดมากทำไม”
“ลูกไม่มีสิทธิ์โกรธพ่อแม่ เพราะเขาเป็นผู้ให้กำเนิด”

และอีกหลากหลายประโยคที่ทุกคนอาจจะเคยได้ยิน โดยข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นการ gaslighting ที่พยายามบงการความคิดให้เหยื่อเป็นฝ่ายผิดหรือรู้สึกดีไม่พอ โดย gaslighting สามารถเกิดได้ในหลายบริบทและความสัมพันธ์ เช่น

ความสัมพันธ์คู่รัก: มักพบบ่อยในความสัมพันธ์ต่างเพศที่ผู้ชาย gaslighting ผู้หญิง โดยจะบิดเบือนและบงการความคิดเหยื่อด้วยวาทกรรมที่ว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่ไร้เหตุผลและใช้อารมณ์มากเกินไป รองลงมาคือเรื่องรูปลักษณ์และเรื่องเพศที่ gaslighter มักจะใช้เป็นเป้าหมายในการบงการเหยื่อ

ที่ทำงาน: การ gaslighting ในที่ทำงาน เกิดขึ้นเมื่อบุคคลในตำแหน่งที่ใหญ่กว่าหรือมีอำนาจมากกว่า ทำให้เหยื่อตั้งคำถามถึงความสามารถของตัวเอง จนนำไปสู่ผลเสียต่ออาชีพการงาน

การเมือง: ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการ gaslighting ในเวทีการเมือง นับเป็นกลวิธีที่นักการเมืองมักใช้เสียด้วยซ้ำ ในการเบี่ยงเบนความคิดของประชาชน รวมถึงการสนับสนุนหรือต่อต้านมุมมองบางอย่าง โดยนักการเมืองจะสร้างเรื่องที่บ่อนทำลายแนวคิดที่เป็นปฏิปักษ์ ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและตั้งคำถาม

เชื้อชาติ: ในบทความ ‘Racial Gaslighting’ ของเดวิส (Angelique M. Davis) และเอิร์นส์ (Rose Ernst) ได้นิยามคำว่า gaslighting ทางเชื้อชาติว่าเป็นกระบวนการทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่คงอยู่และฟอกขาวให้แก่คนผิวขาว ผ่านการพยายามบงการความคิดของผู้ที่ต่อต้าน โดยการ gaslighting ทางเชื้อชาติมีมาอย่างยาวนานและยังคงมีอยู่ในสังคมสหรัฐอเมริกา

ทุกคนอาจจะเคยเห็นการรณรงค์ต่อต้านการเหยียดผิว หรือ Black Lives Matter หลังจากนั้นไม่นานก็มีขบวนการเรียกร้อง All Lives Matter ที่นับว่าเป็นตัวอย่างของการ gaslighting ทางเชื้อชาติที่เห็นได้อย่างชัดเจน โดยอำพรางการกระทำของคนขาวเพื่อลบล้างความโหดร้ายในอดีตและลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนผิวดำ

ระบบกฎหมาย: ในแง่กระบวนการยุติธรรม เมื่อผู้กระทำผิดพยายามเล่าเรื่องราวที่พลิกสถานการณ์ให้ตนเองได้เปรียบ โดยเฉพาะในคดีล่วงละเมิดทางเพศที่ผู้หญิงมักถูก gaslighting ให้เป็นฝ่ายผิดมากกว่าจะกล่าวโทษฝ่ายชาย

gaslighting เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเหยื่อโดยตรง ซึ่งเหยื่อมักไม่รู้ตัว อาจจะเพราะแนวคิดของสังคมที่มีมาอย่างยาวนาน ความเป็นครอบครัว หรือการจำยอมในความสัมพันธ์ หากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจยากที่จะหลีกหนี เหยื่ออาจจะยอมจำนนเพราะไม่มีความเชื่อมั่นใจตัวเอง และเมื่อถูกปั่นหัวหรือถูกชักจูงเป็นเวลานาน มีแนวโน้มที่เหยื่อจะเกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หวาดระแวง หรือเกิดบาดแผลทางใจจากการถูก gaslighting 

ที่มา: 

อชิรญา ดวงแก้ว
ชอบฟัง ชอบเขียน ชอบแลกเปลี่ยนเรื่องราว

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า