จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์มันเกี่ยวพันกับวิกฤติฝุ่นกินเมือง หรือวิกฤติความหนาวเย็นระดับขั้วโลกในอเมริกาได้อย่างไร? คำตอบอาจอยู่ในหนังที่เราเคยดูอย่าง Interstellar และ The Day After Tomorrow นั่นไง
หลายปีก่อนผมมีโอกาสได้ไปดูบรรยากาศการเรียนการสอนของโรงเรียนแห่งหนึ่งในบ้านเราที่นำแนวคิดการแก้ปัญหาในอนาคตมาประยุกต์ใช้ บรรยากาศที่ได้เห็นก็คือ เด็กๆ ในชั้นมัธยมต้นกำลังนั่งล้อมรอบเครื่องยนต์ที่ถอดมาจากรถกระบะคันหนึ่ง โดยอาจารย์ผู้สอนกำลังเล่าให้ฟังถึงการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปภายในว่าทำงานอย่างไร ได้พลังงานมาจากไหน ถ่ายเป็นกำลังไปสู่ล้อให้รถวิ่งได้อย่างไร และต้องสูญเสียพลังงานไปกับอะไรบ้าง
คำถามที่เด็กๆ สงสัยกันในวันนั้นก็คือ การทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลมันต่างจากเครื่องยนต์เบนซินมาก ไอเสียที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วยไหม?
จากคำถามนี้ ทำให้เด็กๆ ต้องเดินทางไปที่บริษัทพลังงานแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพื่อให้พี่ๆ ผู้เชี่ยวชาญเล่าให้ฟังว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เครื่องยนต์ที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์จะสร้างปัญหาอย่างไร ฝุ่นละอองในระดับ PM2.5 คืออะไร เด็กๆ ก็ได้กลับมาขบคิดและนำเสนอผลงานให้เวทีใหญ่ว่าอนาคตเราอาจจะเจอปัญหาอะไร และจะแก้ไขได้อย่างไร
เด็กๆ กลุ่มนี้นำเสนอผลงานได้ดีจนมีโอกาสไปร่วมในเวทีระดับนานาชาติ ทำให้เจอกับเด็กนักเรียนจากประเทศอื่นๆ นำสิ่งที่คิดว่าจะเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตมาถกกันและวางแผนรับมือกับสิ่งนั้น ซึ่งนอกจากเรื่องมลพิษจากเครื่องยนต์แล้ว เด็กๆ ก็ได้เรียนรู้ว่ายังมีเรื่องโลกร้อน ภัยคุกคามป่าไม้ และสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ฯลฯ
ไม่กี่ปีให้หลัง เราก็เห็นหนังเรื่อง Interstellar ที่สะท้อนให้เห็นโลกในอนาคตที่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นและควันพิษจนส่งผลอย่างรุนแรงต่อประชากรโลก ซึ่งทางรอดเดียวก็คือการอพยพโยกย้ายไปสู่ดาวดวงอื่น
ผมไม่ได้หมายความว่าการนำเสนอของเด็กไทยจะไปเข้าตาผู้กำกับฮอลลีวูด แต่กำลังจะชี้ให้เห็นว่าทักษะการคิดและแก้ปัญหาในอนาคตนั้นเป็นวิธีบ่มเพาะให้เราใช้สติปัญญาวิเคราะห์ปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น และรวบรวมองค์ความรู้ทั้งหมดเพื่อวางแผนรับมือกับมันอย่างเป็นระบบ
กว่าจะเป็นหนังเรื่อง Interstellar ปัญหาเรื่องฝุ่นละอองในระดับที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศแล้ว การวางแผนรับมือจึงเกิดขึ้นหลายระดับ ตั้งแต่การแก้ไขที่ต้นตอ คือโรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงความคิดที่จะปรับเปลี่ยนยานยนต์ให้เป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด แต่หากถึงขั้นเกินเยียวยาซึ่งอาจเป็นร้อยๆ ปีข้างหน้า ความคิดในการทำ Terraforming หรือการปรับสภาพดาวเคราะห์ดวงอื่นให้มนุษย์โลกอยู่อาศัยได้ก็กลายเป็นศาสตร์สำคัญที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในทุกวันนี้
เช่นเดียวกับภาวะโลกร้อนที่เราเห็นผลกระทบแบบสุดขั้วในหนังเรื่อง The Day After Tomorrow ที่การหมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทรหรือ Thermohaline Circulation หยุดลงชั่วคราวจนส่งผลให้เกิดยุคน้ำแข็งขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ซึ่งกำลังเกิดปรากฏการณ์คล้ายๆ กัน คือภาวะหนาวเย็นเฉียบพลันในรัฐทางเหนือของอเมริกาในวันนี้ เพียงแต่สาเหตุเป็นเพราะกระแสลม Polar Vortex ที่เคยพัดหมุนวนในขั้วโลกเหนือกลับเลื่อนต่ำลงอย่างผิดปกติมาถึงแคนาดาและอเมริกาเหนือ
จินตนาการที่ได้จากการคิดถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จะมาพร้อมกับทักษะการคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เด็กที่ผ่านการเรียนในรูปแบบนี้จึงเป็นได้ทั้งคนเขียนบทป้อนให้กับบริษัทสร้างหนังหรือเป็นนักวิทยาศาตร์ วิศวกรที่วิเคราะห์ทางแก้ปัญหาต่างๆ
กลับมาที่เด็กไทยกลุ่มเดิมที่ได้ทักษะในการวิเคราะห์และวางแผนรับมือในอนาคต พ่วงด้วยการไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนต่างชาติ เมื่อกลับมาแล้วเส้นทางชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร เป็นนักคิด นักวิทยาศาสตร์ หรือเป็นนักการเมืองที่อาสาเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศได้หรือไม่…?
ขอแสดงความเสียใจที่ต้องเฉลยว่า “ไม่ได้เลย” เพราะโครงการดังกล่าว แม้ผู้ปกครองทุกคนจะรู้ดีว่ามันยกระดับการคิดและการแก้ปัญหาได้อย่างดีเลิศ แต่สุดท้ายแล้วก็มีแต่คนทยอยลาออกจากโครงการดังกล่าวไปทีละคนสองคน
เพราะท้ายสุดแล้วตัวชี้ขาดในระบบการศึกษาไทยก็คือการ ‘สอบเข้ามหาวิทยาลัย’ ซึ่งทักษะที่ได้มานั้นมันไม่ได้ช่วยให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เลย แม้จะมี TCAS รอบที่ใช้การยื่นพอร์ตหรือผลงานของนักเรียน แต่นั่นเป็นผลสอบแข่งขันการทำข้อสอบในเวทีวิชาการต่างๆ เป็นหลักเท่านั้น
ไม่น่าแปลกใจอะไรที่บ้านเราจะตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อเจอปัญหาต่างๆ เพราะแทบจะไม่มีใครมีจินตนาการถึงภัยพิบัติต่างๆ เหล่านี้มาก่อนนอกจากนักวิชาการ และเราเลือกที่จะเชื่อหมอดูหรือคนทรงเจ้ามากกว่านักวิทยาศาสตร์เมื่อต้องพยากรณ์ภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต!