แปลและเรียบเรียง : กำพล พกนนท์
วิกฤติสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงซึ่งส่งผลทั่วทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้แต่ ซิลิคอน วัลเลย์ ณ อ่าวซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมืองหลวงของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของโลก ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเฟซบุค กูเกิล ยาฮู เดล อินเทล และ ฯลฯ
แม้บริษัทเหล่านี้เกาะเทรนด์นำเสนอสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้วัสดุรบกวนสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดก็ตาม แต่ด้วยความที่ตั้งอยู่ติดกับอ่าวซานฟรานซิสโก จึงต้องสังเกตความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลอยู่เป็นประจำ และความสูงที่เคยอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอยู่ 3 ฟุตของซิลิคอนวัลเลย์ วัดล่าสุดไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่าน้ำทะเล 10 ฟุตเลยทีเดียว
หลังจากรายงานชิ้นนี้เผยแพร่ออกไป เอริค มารุซ ผู้จัดการของศูนย์ลี้ภัย Don Edwards San Francisco Bay National Wildlife ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านขวาของสำนักงานเฟซบุคเผยว่า “เฟซบุคต้องเผชิญหน้ากับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นชนิดถูกล้อมหน้าล้อมหลังเลย พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องทรัพยสินของตัวเอง ”
ปัจจุบัน เฟซบุคซึ่งมีทรัพสินย์และรายได้รวมเกือบสี่พันล้านเหรียญถูกรายล้อมด้วยรั้วเขื่อนสูง 8 ฟุต แต่นักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมแนะว่ายังไม่พอ เพราะระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอีก 16 นิ้วราวปี 2050 และสูงขึ้นเป็น 65 นิ้ว ในปี 2100 และอาจเลวร้ายหนักหากผนวกด้วยลมพายุหรือภัยธรรมชาติอื่นๆ ขณะที่กรมทหารช่างของกองทัพสหรัฐฯศึกษาพบว่า หากมีพายุขนาดยักษ์ผสานกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นสามารถถล่มรั้วเขื่อนซิลิคอน วัลเลย์ ได้สบายๆ
“ทุกบริษัทในซิลิคอน วัลเลย์ต้องหันกลับไปมองอ่าวตรงหน้าบ้างแล้ว ถ้าพวกคุณไม่หาอะไรมากั้นด้านปากอ่าวเลย คุณอาจจมกันทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายเป็นพันๆ ล้านเหรียญ” มารุซเสริม
ขณะที่วุฒิสมาชิกหญิงอย่าง ไดแอนด์ เฟนเสตน ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการขอความร่วมมือกับบรรดาบริษัทต่างๆช่วยระดมทุนสร้างรั้วเขื่อนให้ดีขึ้น และระดมสมองหาทางรับมือ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากบริษัทผู้ทรงอิทธิพลทางเทคโนโลยีเหล่านี้มากนัก เพราะสิ่งแวดล้อมดูจะไม่ค่อยสอดคล้องกับวิถีธุรกิจของพวกเขา พวกเขาต้องการวิธีจัดการระยะสั้น และส่วนใหญ่ไม่อยากได้ยุทธศาสตร์ที่ต้องใช้ระยะเวลาเกิน 5 ปี เพราะมันไม่เห็นผลชัดเจน
กรมทหารช่างของกองทัพสหรัฐฯ เผยอีกว่า ภายใน 50 ปีข้างหน้า หากบริษัทต่างๆ ไม่ร่วมกันปรับปรุง เปลี่ยนแปลงรูปแบบการรับมือ จะมีมากกว่า 257 บริษัทที่มีพื้นที่เข้าข่ายเสี่ยงขั้นรุนแรง หมายถึง บริษัทเหล่านี้จะต้องเผชิญกับพายุในอีก 50 ปี และน้ำไหลบ่าเข้าท่วม ทั้งนี้มีการเผยอีกด้วยว่าบริษัทที่มีแววเสี่ยงที่สุด คือ ยาฮู ฟูจิตสึ และอินฟิเนร่า เป็นต้น
ที่มา : treehugger.com