โตมร ศุขปรีชา
มีคนถามว่า ผมคิดอย่างไรกับนักข่าวบันเทิง ผมบอกเขาไปว่า สำหรับผมแล้ว นักข่าวบันเทิงของไทยคือนักข่าวที่ดีที่สุด เพราะพวกเขาสะท้อนสังคมไทยออกมาได้ดีที่สุดว่าโดยเนื้อแท้ในซอกลึกของทุกรูขุมขนนั้น-เราเป็นอย่างไร
แล้วเราเป็นอย่างไรล่ะ-เขาถาม
อ้าว! ก็เป็นเหมือนกับ ‘ข่าว’ ที่นักข่าวบันเทิงไทยนำเสนอปะไรเล่าครับ
คุณเคยเห็นข่าวบันเทิงแบบไทยๆ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลกบ้างไหม อาทิ ซีเอ็นเอ็นเคยมาทำข่าวดาราสาวเอท้องกับนักร้องหนุ่มบีจนฉาวโฉ่บ้างหรือเปล่าเล่า
คำตอบคือไม่มีหรอกครับ ไม่มีเลยแม้แต่ข่าวเดียว
อย่าบอกว่า ที่มันไม่มีก็เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเล็กนะครับ เพราะข่าวอื่นๆ นั้น ถ้ามันน่าสนใจจริงๆสำหรับประชาคมโลก ต่อให้เป็นข่าวเล็กข่าวน้อยแค่ไหน นักข่าวนานาชาติก็มีสิทธินำเสนอได้ทั้งนั้น อย่างเบาะๆ ถ้าไม่ทำเป็นข่าว ก็ต้องทำเป็นสกู๊ปหรือรายงานพิเศษกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นข่าวนักกีฬา นักการเมือง ตึกถล่ม ไฟไหม้ ภูเขาไฟระเบิด หรืออะไรอื่นๆ
แต่ที่เป็น ‘ข่าวบันเทิงไทย’ ในรูปแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวันนั้น-ไม่มีเลย!
ผมคิดของผมเล่นๆ โง่ๆ เอาเองว่า ที่คนทั่วโลกเขาไม่ค่อยสนใจข่าวบันเทิงแบบไทยๆ นั้น อย่างแรกสุดเลยเป็นเพราะนักข่าวบันเทิงของเรามีความถนัดชำนาญอย่างยิ่ง ในการ ‘ปิดล้อม’ กระชับพื้นที่ให้ความบันเทิงแบบไทยๆ มีลักษณะเฉพาะที่เจาะกลุ่มเข้าไปสู่กลุ่มลูกค้ากลุ่มเดียวที่มี Mentality ในรูปแบบเดียว (ซึ่งก็คือผู้เสพข่าวบันเทิงไทย) ได้โดยประสบความสำเร็จยิ่ง
เมื่อข่าวบันเทิงไทยมีลักษณะเฉพาะเช่นนี้ มันจึงไม่มีความเป็นสากล (Universality) มากพอที่คนในพื้นที่อื่นจะสามารถให้ความสนใจได้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนอื่นๆ ในประเทศอื่นๆ บนโลกใบนี้ ไม่มีความสามารถหรือสมรรถภาพมากพอที่จะเสพข่าวบันเทิงแบบไทยๆ ได้สำเร็จ อาจมียกเว้นบ้างก็ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ต้องผ่านกระบวนการ ‘กลายเป็นบันเทิงไทย’ ด้วยการซึมซับภาพข่าว ภูมิหลัง และความเป็นมาของเหล่าดารานักร้องศิลปินไทยทั้งหลายมากพอสมควร จึงค่อยมี ‘สมรรถภาพ’ ในการเสพข่าวบันเทิงไทยอย่างได้อรรถรสขึ้นมา
แต่ถ้าปราศจากการเรียนรู้ในเรื่องนี้เสียแล้ว ขอบอกเลยนะครับว่า ดูข่าวบันเทิงไทยอย่างไรก็ไม่เข้าใจ!
อย่างที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากคือ นักข่าวบันเทิงไทยนั้น ปราศจากความพยายามที่จะ ‘สร้างข่าว’ อันมีความเป็นสากลขึ้นมา เรื่องนี้เป็นด้านกลับของข้อแรก ข้อแรกคือสร้างข่าวที่มีลักษณะเฉพาะ แต่จะเรียกว่าเป็น Subculture ก็คงเรียกได้ลำบาก เพราะคนเสพมีเยอะเหลือเกินจนไม่ Sub อีกต่อไปแล้วล่ะครับ แต่เป็น Culture โดยตัวของมันเองกันเลยทีเดียว (ซึ่งเราจะได้พูดถึงกันต่อไป) แต่อย่างที่ 2 นี้ คือนอกจากมีลักษณะเฉพาะแล้ว ยังไม่พยายามทำให้ลักษณะเฉพาะนั้นมีความเป็นสากลเพื่อให้คนอื่นเสพรู้เรื่องได้ด้วย
เพราะฉะนั้น ข่าวบันเทิงไทยจึงค่อนข้างมีลักษณะเป็น ‘ระบบปิด’ ซึ่งไม่ได้แปลว่าเหมือนประเทศเผด็จการที่ปิดประเทศ แต่มีกลไกสร้าง ‘วงล้อมทางวัฒนธรรม’ บางอย่างขึ้นมา ทำให้การเข้าถึงข่าวบันเทิงไทยกลายเป็นศาสตร์และศิลป์ขั้นสูงล้ำ อย่างน้อยๆ ก็ต้องศึกษาให้รู้และจดจำชื่อดาราที่หน้าตาเหมือนกันไปหมดทั้งวงการ (ไม่รู้ไปหาหมอคนเดียวกันหรือเปล่า) ให้ได้เป็นเบื้องบรรพ์ จากนั้นก็ต้องลากเส้นในสมองส่วนซีรีบรัมอันซับซ้อน เพื่อโยงใยดาราเหล่านั้นให้ได้ ว่าใครเคยเอากับใครมาแล้วบ้าง ใครกำลังตั้งท่าจะเอากับใคร และใครกับใครแชร์คนที่ตนเอาร่วมกัน อันสร้างให้เกิดความเป็นปรปักษ์ขึ้นระหว่าง 2 คนนั้น
ยิ่งโยงใยและจดจำได้มากเท่าไหร่ ว่าใครทำอะไรกับใครมาในเรื่องส่วนตัวเหล่านี้ ก็ยิ่งทำให้การเสพข่าวบันเทิงนั้นขึ้นถึงระดับสูง คล้ายๆ กับพวกที่ต้องศึกษาซิมโฟนีเชมเบอร์มิวสิคเพื่อการฟังให้ได้อรรถรสอะไรพวกนั้นเหมือนกัน
นั่นทำให้ข่าวบันเทิงไทยมีลักษณะที่ทั้งเฉพาะและไม่พยายามดัดจริตถีบตัวเป็นสากลใดๆ ทั้งสิ้น
ตรงนี้แหละครับ ที่ผมเห็นว่า ข่าวบันเทิงไทยคือสิ่งที่ ‘ส่องสะท้อน’ สังคมไทยออกมาได้ยอดเยี่ยมที่สุด!
เราจะเห็นว่า คำว่า ‘ความเป็นไทย’ เอย ‘วัฒนธรรมไทย’ เอย ต่างไม่ได้ถูกหมกเอาไว้ใต้ผ้าถุงตีนจก หรือน้ำหมากขากถุย หรือการถอดเสื้ออวดขี้กลากอย่างไทยๆ กันต่อไปอีกแล้ว แต่ความเป็นไทยและวัฒนธรรมไทย ได้ถูก ‘รัฐไทย’ ผู้กระสันอยากสำแดงความเป็นสากลออกมาให้ ‘ทัดเทียมนานาอารยประเทศ’ (แปลว่าในสายตาตัวเองเห็นว่าตัวเองยังไม่ค่อยอารยะทัดเทียมใครเท่าไหร่) จัดการให้สิ่งเหล่านี้มี ‘สภาพร่าง’ ที่สอดใส่ความเป็นสากลจักรวาลเข้าไปในตัวมากทีเดียว
ผมเคยดูโฆษณาประเทศไทย ทั้งบนเครื่องบิน ในนิตยสาร ในโทรทัศน์ช่องต่างประเทศ เห็นแล้วต้องทึ่งจริงๆ ครับ ดูแล้วถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน ผมต้องคิดว่าประเทศไทยนั้นสุดแสนจะวิจิตรตระการตาแน่ๆ ไม่ว่าไปทางไหน ก็คงพบเห็นแต่อาคารประมาณวัดพระแก้ว มีขบวนแห่นางกินรีเหาะลอยไปลอยมา แล้วก็มีวิบๆ วับๆ ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าให้เห็นเป็นบุญตาตลอดเวลาแน่ๆ
ลักษณะแบบนี้แหละครับ คือการ ‘แปลงกาย’ สังคมไทย พยายามบิดให้มีความเป็นสากล (ตามความคิดของผู้บิด) ทั้งที่ถ้าจะถามกันจริงๆ ว่า ไอ้ความเป็นสากลที่พูดๆ กันอยู่น่ะ มันคืออะไร ผมเข้าใจว่าตัวเองตอบไม่ได้แน่ๆ และอีกหลายคนก็อาจตอบไม่ได้ด้วยเหมือนกัน รู้แต่ว่า ความพยายามที่จะทำให้เกิดความเป็นสากลนั้น มันได้สร้างความคาดหมายให้คนต่างชาติ และขณะเดียวกัน ก็ขีดเส้นตั้งความหวังให้คนภายในชาติ ว่าจะต้องมีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้นะ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็น ‘คนไทยที่ดี’ ผู้มี ‘วัฒนธรรมไทยอันดีงาม’ และไม่ได้มีแค่แง่มุมทางวัฒนธรรม แต่ความสุดแสนจะภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทยนั้น คือการ ‘ยกย่องตัวเอง’ ให้เลอฟ้าลอยสมุทรในทุกๆ ด้าน
ตั้งแต่ไม่มีภูเขาไฟระเบิด ไร้แผ่นดินไหว ไปจนถึงการเป็นเอกราชปลอดการรุกราน ฉลาดตี 2 หน้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึงผัดไทยห่อไข่กระทะใหญ่ที่สุดในโลก และความภาคภูมิใจเวลามีนักเรียนไปได้เหรียญโอลิมปิกวิชาการหรือนักกีฬาไปได้เหรียญ แต่ไม่เคยมีการสนับสนุนกันมาตั้งแต่ต้นทาง มีแต่การ ‘ประดิษฐ์’ เมื่อมีทีท่าว่าคนไทยสุดเก่งคนนั้นใกล้ถึงปลายทางแล้ว คราวนี้ก็จะเกิดการโหมกระหน่ำถั่งเทการสนับสนุนไปให้จนแทบหายใจไม่ได้ เหมือนน้ำท่วมฝนตกห่าใหญ่ เสร็จแล้วห่าก็หายไปลับตา
ทั้งหมดนี้คือความพยายามในการ ‘ประดิษฐ์ความเป็นสากล’ ให้แก่ ‘ความเป็นไทย’ กันมาเรื่อยๆ โดยใช้เวลานับสิบๆ ปี แต่ดูท่ายังไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้ของเรา
ที่สำคัญ ไอ้ที่พยามจะเป็นคุณหลวงประดิษฐ์อลังการกันนั้น พอเหลียวหลังมาเห็นข่าวบันเทิงไทยปุ๊บ รับรองได้หงายเก๋งพังครืนขาชี้ฟ้าตกเก้าอี้กันไปเลยทีเดียว เพราะข่าวบันเทิงนั้น ต่อให้ใครจะด่า ว่าต่ำช้าลามกงี่เง่าไร้สมองไม่มีจรรยาบรรณสถุลถ่อยอย่างไรก็ตาม แต่นักข่าวบันเทิงก็ได้ทำหน้าที่หนึ่งออกมาอย่างชัดเจน นั่นก็คือการบอกว่า เฮ้ย! กูไม่ใช่หลวงประดิษฐ์นะเฟ้ย กูเป็นอย่างที่กูเป็นนี่แหละ กูจะสนใจแค่เรื่องใครเอากับใคร มึงจะทำไมก๊ะกู
แล้วข่าวบันเทิงแบบนี้ก็อยู่ได้ แถมยังอยู่ได้อย่างดีเสียด้วย ก็ไม่ใช่เพราะนี่คือสิ่งที่ ‘สังคมไทย’ ต้องการหรอกหรือ
จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ เวลาจัดงานเปิดตัวหนังสือที่อยากให้ใหญ่โตเป็นข่าว ผู้จัดต้องเชิญเหล่าดารามาร่วมงานด้วย ยิ่งถ้าเป็นดาราที่กำลังฉาวก็ยิ่งดี เพราะดาราเหล่านี้จะเป็นตัวดึงดูดนักข่าวบันเทิงให้มาร่วมงานกันเพียบทีเดียว งานก็จะคึกคัก แต่ถามว่า เอ๊ะ! แล้วดาราพวกนี้เขาอ่านหนังสือที่กำลังจะเปิดจะออกอะไรนี่หรือเปล่า
คำตอบก็คือเปล่าหรอก เขาไม่ได้อ่านหรอก แต่ปล่อยเขาไปเถอะ เขาจะพูดผิดๆ ถูกๆ ยังไงก็ช่างเขาเต๊อะ เพราะมันไม่มีทางเป็นข่าวอยู่แล้ว ไอ้เรื่องหนังสือหนังหาบ้าบออะไรนั่นน่ะ
อ้าว! แล้วไปเชิญดารามาทำไมล่ะ
อ๋อ! ก็เพื่อให้นักข่าวบันเทิงเอาไมค์มาชี้ปากถามว่า เมื่อคืนไปเอากับใคร พรุ่งนี้จะไปเอากับใคร มีแผนจะเอากับใครต่อไป อะไรทำนองนี้ โดยมีแบ็คดร็อปหรือฉากหลังที่เราอุตส่าห์เซ็ตเอาไว้ให้เป็นรูปปกหนังสือไง เพียงเท่านี้คนก็จะได้เห็นหนังสือของเราในวงกว้างกันแล้วละ
โอ้โห! นี่มันการตลาดชั้นเทพเลยนะ หากินกับเศษซากของการเอากัน เยี่ยมมาก!
นี่ผมกำลังชมนะครับ อย่าคิดว่าผมประชดทีเดียวเชียว ผมคิดว่าเยี่ยมมาก เพราะนี่คือการ ‘เข้าใจ’ ถึงสภาพการณ์ของสังคมไทยอย่างลึกซึ้งชนิดที่นักคิดนักวิชาการทั้งหลายต้องสมองเล็ดกันเลยกว่าจะคิดได้แบบนี้ เพราะฉะนั้น โดยไม่ต้องขวนขวายถลุงงบประมาณทำวิจัยอะไรให้เมื่อยแข้ง แค่เปิดทีวีดูรายการข่าวบันเทิง คุณก็จะบอกได้ทันทีว่า ตอนนี้อุณหภูมิของสังคมไทยกำลังร้อนฉ่าอยู่ด้วยเรื่องที่ว่าใครกับใครจะเอากันแบบไหนเท่านั้นแหละ แต่ใครจะแสดงดีจิกสายตากันแทบหัวทะลุแค่ไหน ร้องเพลงขึ้นเฮดโทนเปล่งพาวเวอร์หวีดก้องอย่างไรนั้น ไม่มีใครสนหรอก ยิ่งถ้าลงลึกไปถึงการตีความบทอะไรทำนองนั้นด้วยแล้วยิ่งเวียนเฮด ใครหรือจะสน
สังคมไทยของเรานั้น กำลังเข้าใจว่า ‘ข้อมูลข่าวสาร’ คือ ‘ความรู้’ เพราะฉะนั้น ถ้าเราก้าวเข้าไปในที่ทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วเกิด ‘ตกข่าว’ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวละครหลังข่าวกำลังทำอะไร นังเรยาใช้มารยาหญิงยั่วให้ใครมาเอากับหล่อนอีก ใครโต้ตอบหล่อนได้อย่างสาสะใจบ้าง ใครกำลังจะเอากับใคร คลิปใครหลุดออกมาให้เราถลกหนังหัวเล่นบ้าง เราก็จะกลายสภาพเป็นบุคคลผู้ ‘ล้าหลัง’ ไปในทันที
การ ‘ตกข่าวบันเทิง’ แทบกลายเป็นบาปบัดสี ใครไม่รู้เรื่องพวกนี้กลายเป็นพวกตกขอบโลก เพราะสังคมไทยเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้นี่แหละ คือ ‘ความรู้’ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงเสียด้วยนะครับ เพราะถ้าคุณเกิดมีฉันทาคติขึ้นมากับดาราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วมันดันพ้องพานเข้ากับเจ้านายหรือลูกค้าของคุณ ก็เปิดโอกาสให้คุณได้คุยกันสนุก และสานสัมพันธ์จนเกิดประโยชน์ทางหน้าที่การงานหรือธุรกิจขึ้นมาได้เสียด้วย แต่ถ้าคุณไม่เสพข่าวบันเทิง เวลาใครชวนคุยก็เอาแต่เบื้อใบ้หรือด่านักข่าวบันเทิง (อย่างผมเป็นต้น) ก็จะกลายเป็น ‘คนนอก’ ไปโดยปริยาย ถูกตัดขาดจากผลประโยชน์ทั้งหลายแหล่ที่แบ่งปันกันอยู่ในหมู่ผู้เสพข่าวบันเทิงต่างๆ
ผมคงไม่ต้องพูดต่อว่า ‘ข้อมูลข่าวสาร’ ที่ได้จากวงการบันเทิงไทยนั้น มันแฝงฝังไปด้วยอคติทางเพศหรือความรุนแรงอะไรเหล่านี้มากมายแค่ไหน เพราะนั่นผิดวัตถุประสงค์ของการเขียนครั้งนี้อย่างสิ้นเชิง เนื่องด้วยผมต้องการจะ ‘ชม’ และ ‘ยกย่อง’ วงการข่าวบันเทิงไทยต่างหากเล่า
ว่าช่างสะท้อนสังคมไทยได้เหมือนชะโงกหัวไปดูเงาน้ำในกะโหลกอย่างไรอย่างนั้นไม่มีผิดเพี้ยน!
************************
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2554)