ไหนๆ ก็จะได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาต่อเป็นสมัยที่สองแล้ว เราลองไปย้อนดูคำสัญญาผ่านนโยบายต่างๆ ที่นายบารัก โอมาบาใช้ตอนหาเสียงเมื่อปี 2008 ว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาในฐานะผู้นำ มีอะไรสำเร็จ ล้มเหลว หรือ งั้นๆ บ้าง
เศรษฐกิจ
ยกเลิกการอุ้มภาษีผู้มีอันจะกินที่เกิดจากยุคบุชผู้ลูก
หนึ่งในนโยบายสำคัญด้านเศรษฐกิจที่สร้างความผิดหวังให้ชนชั้นกลางและชนชั้นล่างอย่างมากในยุคของโอบามา นั่นคือการจรดปากกาในปี 2010 เพื่อยืดอายุนโยบายลดภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 250,000 เหรียญสหรัฐฯ จากยุคจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชไปอีก 2 ปี แต่กฏหมายนี้ได้หมดอายุลงในธันวาคมปีนี้ และโอบาม่านำเอาออกจากนโยบายหาเสียงของเขาเรียบร้อยแล้ว เพื่อลดกระแสต่อต้านจากสังคม
การทหาร
ปรับปรุงยุทธศาสตร์ทางทหารในอัฟกานิสถาน
ทันทีที่โอบามาเดินเข้าทำเนียบขาว เขาก็สั่งปรับยุทธวิธีในอัฟกานิสถานเสียใหม่ โดยเริ่มถอนทหารราวสามหมื่นนายในเดือนกรกฏาคม ปี 2011 ทันที อีกทั้งยังมอบหมายให้ทหารสหรัฐเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกอบรบและช่วยเหลือทหารในกองทัพอัฟกัน รวมถึงตำรวจ เพื่อดูแลรักษามาตุภูมิของพวกเขาด้วยตัวเอง ทั้งนี้เขายังวางแผนระยะยาวที่จะถอนทหารทั้งหมดในปี 2014
ถอนทหารในอิรักได้ตามกำหนด
โอบามาให้สัญญาว่าจะถอนทหารทั้งหมดในอิรักภายใน 16 เดือนหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดี จนในเดือนสิงหาคม ปี 2010 ทหารกองสุดท้ายของสหรัฐก็ได้เวลากลับบ้านเกิดเมืองนอน แต่ยังคงทหารไว้อีกราวห้าหมื่นนายที่ยังมีพันธะสัญญาในข้อตกลงระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิรักเพื่อการฝึกอบรมทหารอิรักและรักษาความปลอดภัย จนกระทั่งในเดือนธันวาคม ปี 2011 งานความมั่นคงในอิรักถูกส่งมอบต่อให้รัฐบาลอิรักอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดีแม้ภารกิจหลักในอิรักจะปิดฉากไปแล้ว แต่ทหารสหรัฐก็ยังมีภารกิจลับๆ ป้วนเปี้ยนอยู่ในอิรักเหมือนเดิม
ปิดคุกลับที่อ่าวกวนตานาโม
ในเดือนมกราคม 2009 โอบามามอบคำมั่นว่าจะจัดการปิดค่ายกักกันนักโทษตัวแสบที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในสหรัฐฯ ที่อ่าวกวนตานาโม ประเทศคิวบา ซึ่งเขาเคยประนามว่าเป็นรอยด่างของประเทศแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตยแห่งนี้ เนื่องจากคุกกลับแห่งนี้มีการลงโทษ ทรมาน และลิดรอนสิทธิเสรีภาพอย่างไร้มนุษยธรรม โดยโอบามาได้ประกาศว่าจะยกเลิกไม่เกินสิ้นปี แต่ในปี 2011 โอบามากลับลงนามในกฏหมายความมั่นคง ซึ่งกฎหมายนี้ กำหนดห้ามใช้กองทุนสาธารณะเพื่อการโอนย้ายนักโทษมายังสหรัฐ ให้อำนาจกองทัพคุมขังผู้ที่ถูกจับกุมมาจากสงครามใดๆ ก็ตามอย่างไม่มีกำหนด และผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย ต้องถูกพิจารณาคดีโดยคณะกรรมการพิเศษของกองทัพเท่านั้น
สังคมและนโยบายอื่นๆ
ให้โอกาสแก่ผู้อพยพมากขึ้น
หนึ่งในนโยบายที่โอบามาภูมิใจนำเสนอนั่นคือ Development, Relief and Education for Alien Minors (DREAM) เป้าหมายของนโยบายนี้คือ การช่วยเหลือผู้ที่อพยพเข้ามาขุดทองในสหรัฐ ซึ่งเป็นเยาวชนให้ได้มีสัญชาติ การศึกษา และรับสิทธิขั้นพื้นฐานดั่งเช่นประชาชนทั่วไปพึงมีพึงได้ ทั้งนี้โอบามาได้ออกกฏหมายเสริมใช้ควบคู่กันนั่นคือ Deferred Action for Childhood Arrivals (DACA) ซึ่งโครงการนี้อนุมัติให้เด็กต่างด้าวผิดกฎหมาย หรือเรียกกันทั่วไปว่า DREAMers ยื่นใบสมัครขอใบรับรองทำงานได้โดยไม่ต้องถูกจับเนรเทศกลับบ้านเกิด
ปฏิรูประบบประกันสุขภาพครอบจักรวาล
เป็นนโยบายที่มีเสียงชื่นชมจากผู้สนับสนุนมากพอๆ กับเสียงก่นด่าจากฝั่งตรงข้าม ด้านพรรคเดโมแครตถือเป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดของประธานาธิบดีผิวสีผู้นี้ ซึ่งตัวกฏหมายนั้นบังคับให้พลเมืองสหรัฐทุกคนต้องซื้อประกันสุขภาพ โดยพรรคเดโมแครตอ้างว่า กฎหมายฉบับนี้จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนอเมริกันให้มีหลักประกันในทุกชนชั้นในราคาย่อมเยา ซึ่งฝ่ายรีพับลิกันพยายามโจมตีว่าเป็นนโยบายที่ไม่สมเหตุสมผลในการมัดมือชกให้ประชาชนซื้อประกันสุขภาพ ทั้งยังทำให้ภาครัฐและนายจ้างต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านการประกันสุขภาพมากเกินไปอีกด้วย
ยกเลิกระเบียบทางทหาร “ห้ามถามห้ามบอก” ในประเด็นรสนิยมทางเพศ
หนึ่งในระเบียบสุดเข้มของกองทัพสหรัฐนั่นคือการห้ามเปิดเผยรสนิยมทางเพศของบุคลากรในกองทัพ ไม่ว่าเป็น เกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กชวล ซึ่งประกาศนี้เริ่มบังคับใช้จริงจังตั้งแต่ปี 1993 จนกระทั่งในปี 2010 วุฒิสภาลงคะแนนเสียง 65-31 เสียงให้ยกเลิกนโยบาย ‘ห้ามถามห้ามบอก’ ในกองทัพสหรัฐฯ และ 9 เดือนหลังจากโอบามาลงนามยกเลิก กฎหมายนี้ก็มีผลสิ้นสุดลง ณ วันที่ 20 กันยายน 2011
สนับสนุนการแต่งงานของเพศเดียวกัน
ในปี 1996 สภาคองเกรสได้บัญญัติกฏหมายที่มีชื่อว่า Defense of Marriage Act (DOMA) ใจความว่า การแต่งงานนั้นจะต้องเป็นการแต่งงานระหว่างผู้ชายเพียง1คนกับผู้หญิงเพียง1คนเท่านั้น แม้ปัจจุบันกฏหมายนี้ยังมีผลบังคับใช้อยู่ แต่รัฐบาลท้องถิ่นของบางมลรัฐเริ่มมีการออกกฎหมายรองรับการแต่งงานของเพศเดียวกันแล้ว ทั้งนี้โอบามาและสมาชิกพรรคเดโมแครตต่างออกความเห็นในเชิงสนับสนุนการแต่งงานของเพศเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง จนถูกนิตยสารรายสัปดาห์เจ้าหนึ่งนำไปล้อบนพาดหัวหน้าปกว่า “ประธานาธิบดีเกย์คนแรก” พร้อมรูปโอบามาเด่นหรา
เสนอแผนการลดใช้น้ำมันในประเทศลง 35 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2030
โอบามาเสนอแผนการลดการบริโภคน้ำมันในประเทศลง 35 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 โดยการสนับสนุนเหล่าผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและประชาชนให้เปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน ทั้งนี้โอบามาผลักดันระบบการค้าขายแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกซึ่งแรงจูงใจทางการเงินเพื่อให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยแลกเป็นคาร์บอนเครดิต เพื่อนำมาเป็นทุกในกองทุนสร้างงานสีเขียวซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกกว่าห้าล้านตำแหน่ง ดังที่เคยประกาศไว้ตอนช่วงหาเสียง
ที่มา : aljazeera.com,wikipedia