เรื่อง+ภาพ : คิริบัน
ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาฉันเดินทางไปยังฮานอย แม้จะมีสภาพไม่ต่างอะไรจากนกป่วย แต่การวางแผนอันยาวนานพร้อมกับจองตั๋วล่วงหน้าข้ามปี-Everyone Can Fly ในราคาเหมือนได้เปล่านั้น ก็ทำใจยาก หากต้องยกเลิกการเดินทางลงกลางคัน
และแม้จะพอรู้สภาพอากาศที่ฮานอยในเวลานั้นอยู่บ้าง…อุณหภูมิช่วงต้นปียังคงหนาวเหน็บ และบางวันก็อาจมีฝน แต่ใครจะไปจินตนาการออกกันล่ะ ขณะที่ตี 4 บ้านเรา-ยืนโบกแท็กซี่เพื่อไปยังสนามบิน เหงื่อยังแตกซิ่ก แล้วเมืองที่อยู่เหนือเราขึ้นไปแค่ชั่วนั่งเรือเหาะเพียง 1 ชั่วโมง 50 นาทีเท่านั้น อุณหภูมิมันจะแตกต่างกันมากมายขนาดไหนกันเชียว
ในเวลาต่อมา ไอสีขาวที่พวยพุ่งออกจากปาก ขณะกำลังยืนรอรถเมล์เพื่อต่อเข้าไปยังย่านโอลด์ควอเตอร์ ในฮานอยนั้น คือคำตอบ
นี่มันเมืองในหมอกหรืออย่างไรกัน เราไม่สามารถมองเห็นเสาไฟที่อยู่ถัดออกไปอีกสามต้นข้างหน้าได้ชัดเจน ผู้คนแต่งตัวกันด้วยอาภรณ์ฤดูหนาวอย่างเอิกเกริก ชายหนุ่มนิยมสวมแจ๊คเก็ตหนังสีดำ ดูราวกับตำรวจนอกเครื่องแบบ ส่วนหญิงสาว ทั้งรองเท้าบูท ผ้าพันคอ เสื้อไหมพรม แจ๊คเก็ตหลากสีสัน รวมกันเข้ากับเลกกิ้งแล้ว มันก็ทำให้พวกเธอดูไม่ต่างจากสาวเกาหลีเท่าไหร่นัก
แม้จะตื่นตาตื่นใจกับการมาอยู่ต่างถิ่นสักแค่ไหน แต่อาการทางใจก็ยังคงไม่ได้รับการบำบัด ได้แต่ปลอบใจตัวเองไปพลางด้วยการพ่นลมหายใจออกจากปากเบาๆ เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้กลับคืน แต่ทุกครั้งที่ต้องสูดเอาอากาศลงปอดไปนั้น ก็กลับยังรู้สึกได้ถึงความปวดหนึบ และมันก็ทำให้ฉันเริ่มแน่ใจในอาการบางอย่าง…บางที ฉันน่าจะกำลังอกหักนะ
แต่ก็คงไม่ใช่ฉันคนแรก และคนเดียวบนโลกหรอกน่า ที่ต้องออกเดินทางในสภาพจิตใจย่ำแย่แบบนี้ ไหนๆ มีโอกาสเที่ยวทั้งทีแล้ว ฉันคงไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่ในความโศกาอาดูรแบบนี้ได้นาน
ไหน-ลองแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าฮานอยดูหน่อยซิ…
โถๆๆๆ โถ…แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังชุ่มฉ่ำหยาดเยิ้มไปด้วยน้ำได้ขนาดนั้น แล้วใจคอจะให้คนอกหักรักช้ำสดใสร่าเริงได้อย่างไรกันเล่า แต่เอาล่ะ ถึงฟ้าฝนจะไม่เป็นใจนักก็ตาม ฉันก็ยังคงต้องย่ำเดินไปตามเส้นทางสายม่านหมอก ณ เมืองฮานอยอยู่ดี
ที่กล่าวกันว่า ‘ในดีอาจมีร้าย ในร้ายยังคงมีดี’ เป็นความจริงเสมอ ฉันอาจจะผิดหวังจากเรื่องหนึ่งก็จริง แต่ก็อาจจะมีโชคในการเดินทาง (ครั้งนี้) ก็เป็นได้ (พยายามจะปลอบใจตัวเองอีกครั้ง)
ในระหว่างกำลังเดินหาที่ตั้งของเกสต์เฮาส์ที่ตั้งใจจะพักในค่ำคืนนี้ และขณะที่เรา(ฉันกับเพื่อนร่วมทางอีกสอง) กำลังทดท้อใจ ด้วยทั้งน้ำหนักเป้ที่แบกไว้บนหลัง ทั้งกำลังขาที่ใกล้จะหมดแรง และท้องที่เรียกร้องขออาหาร ขีดความสามารถในการย่างก้าวของเราจึงเริ่มลดลง
แล้วเธอ-นางฟ้าหน้าใส ก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า ส่งเสียงเล็กๆ “มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ” นางฟ้า-แม้สำเนียงภาษาอังกฤษของเธอออกจะฟังยากอยู่สักหน่อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา รอยยิ้มและน้ำใจไมตรีที่เธอหยิบยื่นให้กับนักท่องเที่ยว ที่ เอ่อ…ใจป่วยคนหนึ่ง และดูเหมือนจะเริ่มป่วยกายอีกสองคนนั้น มันช่างงดงาม เมฆหมอกหนาทึบในฮานอยก็ดูคล้ายจะสลายไปในชั่วพริบตา
เธอบอกทางเราละเอียดยิบ แล้วพาเดินข้ามถนนที่เธอบอกว่า มันก็ไม่ได้อันตรายเท่าไหร่หรอก แต่รถก็เยอะมากอย่างที่เห็น และพวกคุณก็คงไม่ชิน ว่าแล้วเธอก็ก้าวเดินฉับๆ อย่างนางฟ้าผู้ชำนาญการ (ข้ามถนน) จริงเสียด้วย การข้ามถนนในฮานอยไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แค่ต้องอาศัยจังหวะ และจิตใจอันหาญกล้า เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น แล้วรถทุกคันนั่นแหละจะเป็นฝ่ายหลีกทางให้คุณเอง
ในที่สุด นางฟ้าก็ต้องโบยบินจากเราไป เราร่ำลากัน ไม่มีคำสัญญาใดๆ และที่ช่วยไม่ได้คือความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ไม่รู้ว่าทำไมจึงเกิดขึ้นได้รวดเร็วและง่ายดายนัก ท่าทางนางฟ้าฮานอยองค์นี้เธอคงร่ายมนตร์วิเศษเอาไว้ และดูเหมือน…อาการทางใจของฉันก็ค่อยๆ ทุเลาลง (อย่างไม่น่าเชื่อ) อีกด้วย
เช้าวันถัดมา หลังจากได้นอนพักกันอย่างเต็มตาแล้ว เราก็เริ่มเดินสำรวจฮานอยกันอีกครั้ง ยังคงเหมือนเมื่อวาน ท้องฟ้าหม่นเทาจนแทบลืมไปเลยว่าโลกนี้เคยมีแสงสว่าง ฝนยังฉีดพ่นอย่างฟ็อกกี้เหมือนเดิม ความหนาวเย็นดูเหมือนจะเพิ่มเติมเข้ามาอีก แม้จะเดินกันเหนื่อยหนักขนาดไหน แต่เหงื่อก็ไม่มีมาให้เห็นเลยสักหยด
จนตกเย็นย่ำ เราจึงนึกกันได้ว่า การเดินทางมาฮานอยของเราในครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์เลย หากเรายังไม่ได้นั่งลงจิบเบียร์เย็นๆ ที่เล่าขานกันสืบต่อมา เบียร์ราคาแก้วละ 7 บาท(เทียบเป็นเงินไทยแล้ว) สดๆ กดออกจากถัง นั่นล่ะ ความใฝ่ฝันอันสูงสุดที่เป็นแรงผลักดันให้เราเดินทางมาถึงที่นี่
หลังจากเที่ยวเดินลัดเลาะซอยนู้นออกซอยนี้ จนเริ่มรู้สึกว่าทุกซอยมีหน้าตาเหมือนกันไปหมด และดูเหมือนเราจะเดินผ่านกันมาแล้วทุกซอย…ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเกินความพยายามและดั้นด้นของเราไปได้ นั่นไง ตรงหน้านั่น ถนนสายโลกีย์อันพลุกพล่านและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ที่เราตามหา บิงโก!
ค่ำคืนนั้น ก็จึงจบลงอย่างบรรลุเป้าหมาย เรานั่งจิบเบียร์สดกันบนเก้าอี้พลาสติก(แบบที่ใช้นั่งซักผ้า) ตรงริมถนน พลางมองดูผู้คนเดินผ่านไปมาท่ามกลางฝอยฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อนเสียที ในระหว่างนั้น ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าภาพที่เห็นตรงหน้า เป็นความจริง หรือเป็นเพียงภาพเคลื่อนไหวที่หลุดออกมาจากจอหนังสักเรื่องกันแน่
คงไม่ใช่แค่แรงดีกรีจากของสดที่เพิ่งผ่านเข้าปากหรอกนะ บางทีอาจมาจากสภาพจิตใจของฉันเองด้วย-เหมือนครึ่งตื่นครึ่งฝัน สุขปนเศร้า ทั้งอยากตัดใจลา…แต่ทว่า ยังดื้อดึง
โอวว…ว่าแล้ว ฉันก็อยากเจอนางฟ้าฮานอยองค์นั้นอีกจัง รอยยิ้มของเธอช่างมีพลัง สิ่งที่เธอทำนั้นมันอาจดูเป็นเรื่องน้อยนิด ก็แค่…ยิ้มต้อนรับนักท่องเที่ยวแสนธรรมดา พาเดินข้ามถนน ชี้หนทางนำไปสู่ที่พักพิง
แต่ก็ไม่รู้ทำไม ชั่วแวบนั้น ดูเหมือนรอยยิ้มของเธอจะช่วยสร้างบรรยากาศและความรู้สึกพิเศษบางอย่างขึ้นมาได้ บางที อาจเป็นความรู้สึกทำนองว่า ทำไมฉันไม่ลองยิ้มให้กับตัวเองแบบนั้นดูบ้างล่ะ
คืนนั้น ในขณะยืนแปรงฟัน ฉันจึงลองฉีก ‘ยิ้ม’ ให้กับกระจก
อืม…อาจยังคงต้องยิ้มฝืนๆ แบบนี้ต่อไปอีกสักระยะ…
แต่ไม่เป็นไรหรอก บางทีพรุ่งนี้ นางฟ้าอาจผ่านมาให้พรเราอีกก็ได้นะ.