ทบวงพลังงานโลก หรือ IEA (International Energy Agency) เผย สหรัฐอเมริกาจะขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกแซงหน้าแชมป์เก่าเจ้าประจำอย่างซาอุดีอาระเบีย ด้วยเทคโนโลยีการสำรวจที่ทันสมัยมากขึ้น ภายในปี 2020
นักสังเกตการณ์ด้านพลังงานทำนายว่า แหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะผุดขึ้นในแหล่งก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยจะช่วยให้สหรัฐฯ ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้สหรัฐฯนำเข้าน้ำมันกว่า 20 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนปริมาณที่ใช้ทั้งหมดในประเทศ คาดว่าภายในปี 2035 จะสามารถผลิตพลังงานได้เพียงพอต่อการพึ่งตนเอง และจะเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทครั้งสำคัญของสหรัฐฯในตลาดค้าพลังงานโลกเลยทีเดียว
ขณะที่สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาพลังงานจากภายนอก ทำให้ชาติตะวันออกกลางจะเน้นส่งออกน้ำมันไปสู่ทวีปเอเชียแทน และจะทำให้โลกพุ่งเป้าไปที่ยุทธศาสตร์เส้นทางความปลอดภัยในการขนส่งน้ำมันสู่ตลาดอาเซียนมากยิ่งขึ้น
จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยักษ์เล็กอิหร่านกับเหล่ายักษ์ใหญ่ชาติตะวันตกนั้นได้สร้างความกังวลต่อการส่งออกน้ำมันออกจากอ่าวเปอร์เซียอย่างมาก ซึ่งรัฐบาลเตหะรานใช้เป็นตัวประกันโดยการสั่งปิดอ่าวทุกครั้งที่ถูกชาติมหาอำนาจกดดันระรานเรื่องการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์
ทบวงพลังงานระหว่างประเทศยังเผยต่อว่า กระแสในตลาดพลังงานจะได้รับผลกระทบจากการที่หลายประเทศลด ละ เลิกพลังงานนิวเคลียร์ แล้วหันมาใช้พลังงานลมและเทคโนโลยีจากแสงอาทิตย์ หรือพลังงานทางเลือกอื่นๆ แทน
IEA ยังกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ดี แม้จะมีการใช้พลังงานพลังคาร์บอนต่ำมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีเงินอุดหนุนเพื่อรักษาพลังงานจากฟอสซิล หากแต่เมื่อดูจากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและนโยบายโดยรวมแล้ว ถือว่าทั้งโลกยังสอบตกในเรื่องวางระบบการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน”
มีการคาดการณ์ว่าความต้องการพลังงานของโลกจะพุ่งขึ้นอีก 3 เท่า ในปี 2035 และกว่า 60 เปอร์เซ็นต์มาจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดบิ๊กเบิ้มอย่างจีน อินเดีย และแถบตะวันออกกลาง
แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ ถ้าถึุงวันที่สหรัฐผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตน้ำมันเบอร์ 1 ของโลก (นอกเหนือไปจากการเป็นมหาอำนาจด้านอื่นๆ แล้ว) จริงๆ พญาอินทรีจะสยายปีกไปได้ไกลแค่ไหน และ “พี่ใหญ่” คงบัญชาการอะไรๆ ได้อีกเยอะ