เรื่อง : สันติสุข กาญจนประกร
หุ่น – ชื่อเสียง เงินทอง สังคม กระทั่งคนรัก ตั้งใจหรือไม่ เราอาจพูดได้ว่า อาชีพนางแบบล้วนนำพาสิ่งเหล่านี้มาสู่เธอ กระนั้น ในมุมมองของหญิงสาว อาชีพของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่น
ลิ้นชัก – ใช่ว่ารังเกียจ อย่างน้อยๆ อาชีพการเป็นหุ่นก็นำพาโอกาสดีๆ บางอย่างให้เข้ามาสู่ชีวิต ไม่ได้หมายถึง ชื่อเสียง เงินทอง สังคม กระทั่งคนรัก จริงๆ เรื่องพวกนั้นก็ใช่ แต่ที่สำคัญกว่าคือวิธีมองโลก หญิงสาวจึงจำเป็นต้องสร้างลิ้นชักส่วนตัวไว้เก็บโลก 2 ใบ
มนุษย์ต่างดาว – แม้มีลิ้นชักส่วนตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถสลัดพ้นจากภาวะแปลกแยก บางครั้ง เราอาจเห็นหญิงสาวนั่งหลบมุมอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ในขณะที่เพื่อนร่วมอาชีพสนทนากันถึงสินค้าแบรนด์เนม คล้ายๆ มนุษย์ต่างดาวที่หลุดร่วงลงมาอยู่บนโลกมนุษย์
ไม่ได้มีอคติกับยี่ห้อสินค้า แค่ไม่อยากใช้ เพราะมันแพง
เคยสงสัยว่าจะกำจัดความรู้สึกบางอย่างออกไปอย่างไร เเต่หลังๆ เริ่มรู้ว่า จริงๆ มันคือการคอนโทรลต่างหาก – หญิงสาวว่า
เรียนรู้และอยู่กับมันให้ได้ คงทำนองนั้น
ช่างภาพขอให้เธอถอดแว่นกันแดดออก
สบตากับคนอ่านตรงๆ มันดูจริงใจกว่า
นี่ถ้าไม่ถาม คงไม่มีวันรู้หรอกว่า ที่เธอใส่มัน ไม่ใช่เพื่อต้องการอำพรางสายตาใคร แต่เป็นเพราะแผลเป็นเล็กๆ บนใบหน้าที่เกิดจากอีสุกอีใสนั่นต่างหาก
แสงทอง เกตุอู่ทอง ในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ นั่งลงบนเก้าอี้ แดดอ่อนๆ ยามบ่ายส่องลอดใบไม้ลงบนตัวเธอ
หญิงสาวไม่ใส่แว่นกันแดด
เธอสบตากับเราตรงๆ
หุ่น : เรือนร่างในตู้โชว์
บนแผงหนังสือ แสงทอง ดึงดูดสายตาคนเกือบทุกคู่
บนแคทวอล์ค แสงทอง เป็นที่ต้องการของห้องเสื้อเกือบทุกแห่ง
บนถนน แสงทอง เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มเกือบทุกคน
แน่นอน, เธอสวย หุ่นดี เผลอๆ อาจเป็นแบบฉบับของผู้หญิงที่เด็กสาวทั้งประเทศอยากเป็น
“โชคดีที่มีสรีระที่เป็นผู้หญิง เมื่อโอกาสเข้ามา เราก็ไม่ปฏิเสธมัน แค่ใช้ให้เป็น” เธอว่า
คล้ายๆ นางแบบทั่วไป แสงทองเริ่มต้นเส้นทางบนถนนอาชีพเพราะรูปร่างที่สวยสะดุดตา ดวงตา นันทขว้าง – ดีไซเนอร์เจ้าของร้านเสื้อ Soda เป็นคนแรกที่ชวนเธอมาถ่ายแฟชั่น
หลังจากนั้น แสงทองก็มีงานถ่ายแบบลงนิตยสาร เดินแบบ รวมถึงการแสดงภาพยนตร์
“เมื่อก่อนคิดว่าทำอาชีพอิสระ แต่พออยู่กับมันมา 10 ปี ก็คงเป็นอาชีพแล้วแหละ” เธอว่า
ที่เมื่อก่อนไม่คิดว่านางแบบเป็นอาชีพ เพราะแสงทองรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวๆ มันช่างขัดกับตัวตนของเธอเหลือเกิน
“ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ 6 เดือนแรก นั่งถามตัวเองทุกวันว่า ทำไมคนนั้นต้องเป็นแบบนี้ คนนี้ถึงเป็นแบบนั้น รับไม่ได้ ปิดประตูร้องไห้ ร้องไห้กับแม่ เหมือนจากเด็กแล้วต้องไปเจอสังคมที่เราไม่เคยเจอ”
สังคมแห่งการปรุงแต่ง – แสงทองขยายความ
“โลกความเป็นเด็กมันเริ่มสูญหายไป ทำให้รู้สึกถึงความโหดร้ายที่แฝงอยู่ในตัวคน ก็คุยกับแม่ ปรึกษาท่านตลอด ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า ทำไมคนนั้นต้องเป็นแบบนี้ คนนี้ต้องเป็นแบบนั้น เหมือนโดนสังคมชักจูงกันไปหมด”
ถามว่าปัจจุบันเธอมีความสุขกับอาชีพตัวเองไหม หญิงสาวพูดพลางหัวเราะ
สุขแบบต้องสร้าง
“ต้องบอกตัวเอง ไปเถอะ ไปทำอาชีพที่เรารัก เหมือนพนักงานออฟฟิศ ตื่น 8 โมงเช้า เข้างาน 9 โมง เลิก 5 โมง เช้ามานั่งหน้ากระจก (ถอนหายใจ) ไปทำอาชีพที่เรารักกันเถอะ เหมือนทำงานเป็นระบบ แต่ไหนๆ มันก็เป็นโอกาสแล้ว 5 ปี หลังมานี่รู้สึกเอ็นจอยขึ้นนะ ไปเดินแบบเราก็มีมุมของตัวเอง จนหลายคนมองว่าเพี้ยน ก็คงเพี้ยนแหละ (หัวเราะ) เราก็แค่นั่งอ่านหนังสือไป”
ไม่สนุกก็ต้องสนุก – เธอว่า
“มองว่าไปใส่เสื้อผ้าสวยๆ ไปเจอสังคมผู้หญิงเยอะๆ ตลกดี”
ให้นิยามอาชีพนางแบบ หญิงสาวบอกว่าจะไปต่างอะไรจากหุ่น
“เหมือนหุ่น หุ่นที่ตั้งตามหน้าร้าน เป็นไม้แขวนเสื้อ นี่คือหน้าที่ อาจขัดความรู้สึก ถ้าให้เปรียบเทียบ มันก็เหมือนการสร้างลิ้นชักให้ตัวเอง เปิดชั้นนี้ขึ้นมาตอนทำงาน ปิดอีกลิ้นชักไว้ หรืออย่างใครพูดอะไรแล้วเราไม่เชื่อ มันเหมือนมีปุ่มปิดสมอง ชั้นไม่ฟังหรอก แต่นั่งอยู่นะ ซึ่งต้องมีความสมเหตุสมผล แล้วไม่ใช่การรู้มากด้วย แค่เลือกที่จะฟัง เลือกพูด เลือกเรียนรู้”
ลิ้นชัก : ความเหลื่อมซ้อนของโลกสองใบ
ช่างภาพจ่อกล้องไปที่หน้าแสงทองเป็นระยะ คนอื่นอาจประหม่า แต่สำหรับเธอ คงเป็นหนที่แปดหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า
“อย่างที่บอก เคยคิดว่าอาชีพนี้ไม่เหมาะกับนิสัยเรา แต่ข้อสรุปคือ ทำอย่างหนึ่ง เพื่อไปสู่อีกอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่งเงินดี เพื่อไปสู่โลกอีกใบที่เรารัก”
โลกใบที่ว่าคือโลกศิลปะ หญิงสาวชอบถ่ายภาพและวาดรูป
“เราเต็มที่กับอาชีพ แล้วเอาเงินไปทำในสิ่งอยากทำ”
หากตัดเรื่องเงิน เธอภูมิใจไหมที่ได้เป็นนางแบบ
“ตอบยากนะ (นิ่งคิด) จริงๆ ภูมิใจ เราโชคดีที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสกับสังคมที่ใครๆ ก็อยากเข้ามา ได้เห็นโลกอีกแบบ เจอคนที่มีความคิดแตกต่างร้อยพ่อพันแม่ มีสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าไม่เข้ามาสัมผัส เราจะมีความคิดแบบวันนี้ไหม พอเสร็จงานแล้วเราก็เป็นอีกคน เป็นคนที่กลมกลืนกับคนทั่วๆ ไป”
ต่างจากตอนทำงาน คนใกล้ชิดรู้ดี เวลาส่วนตัว แสงทองชอบความเรียบง่าย
“ชีวิตจริงๆ ก็ปกติ ไม่มีอะไรมาก มองโลกในแง่ดี ไม่หวือหวามาก โอเค ชีวิตฉันกินอยู่แค่นี้มันก็มีความสุขแล้ว สามารถหาความสุขได้จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ”
“ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่าคืออะไร” เราสงสัย
“แค่มีปลาทูทอดตัวหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า เราก็มีความสุขโคตรแล้ว หรือมีดินสอสองบี กระดาษสักแผ่น สุดยอดแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตหวือหวามาก เห็นเด็กวิ่งเล่น มันก็เป็นการผ่อนคลายได้ แล้วมันสามารถทำได้ทุกเวลา อยู่ตรงไหนก็ได้ มีความสุขกับชีวิตในวันนี้ พรุ่งนี้ บางครั้ง คนเราชอบคิดไกลเกินไป ทำให้เครียด ถ้าเราไม่เครียดก็หลับสบาย”
อาจถูกของเธอ ชีวิตที่ถูกการปรุงแต่งจนเกินงาม โลกแห่งการเสแสร้ง นินทาว่าร้าย หลอกลวงผู้อื่น กระทั่งตัวเอง เป็นไปได้ ทุกคนก็ควรถอยให้ห่าง
“ชอบออกแบบชีวิตด้วยตัวเอง เรามีความสุขกับมัน ขอให้คุณเป็นคนดี รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ โชคดีที่ได้รู้จักคนดีๆ รอบข้างมีเพื่อนเป็นอาจารย์เยอะ อายุมากกว่าทั้งนั้น ทำให้เราได้พูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต”
แม้สังคมยังเป็นสังคมเดิม โลกก็ยังใบเดิม ถ้ารู้จักอยู่ รู้จักแยก ชีวิตก็มีความสุข – เธอว่า
“สุดท้ายแล้ว ความสุขเราสร้างด้วยตัวเอง ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่ใคร พูดแบบตรงๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง อยู่ที่จิตใจเรา”
ระหว่างนั่งดูแต่ละพยางค์ แต่ละประโยค พวยพุ่งออกจากริมฝีปากอวบอิ่มของหญิงสาว บางวูบ เราคล้ายได้ยินเสียงทุ้มๆ ของ จ๊อบ บรรจบ ในเพลง แด่คนช่างฝัน
เพื่อเธอคนดีแด่คนช่างฝัน
อย่าให้มันต้องกลายเป็นฝันร้าย
มองฟ้าคืนนี้ยังมีดวงดาวดูพราวพราย
แค่อยากรู้ใครคือเจ้าของเธอ
มนุษย์ต่างดาว : เอเลี่ยนเนชั่น
“โดยรวมๆ คุณคิดว่าสังคมรอบข้างจอมปลอมมากเลยหรือ” เราถาม
“มันมีคำว่า Face to Face กับ Inside คนละเรื่องนะ เวลาทำงาน ไม่มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าลงลึกเข้าไปข้างใน หรือเราอาจต้องการความเป็นส่วนตัวก็ไม่รู้”
“ทั้งๆ ที่งานของคุณก็ทำเงินได้มหาศาล มากกว่าอาชีพอื่นๆ ไม่รู้กี่เท่า” เราถาม
“ใช่ ได้มาง่ายเหลือเกิน ทั้งๆ ที่คนอื่นก็ค่อนข้างลำบาก ถึงไม่คิด ก็มีคนด่าให้ได้ยินเข้าหูตลอด เราเคยเหมือนแบบหลงลืมความรู้สึกตัวเอง ความรู้สึกคนรอบข้าง พอเวลาผ่านไป เราไม่ชอบ ไม่ชอบที่จะเป็นอย่างนั้นอีก เมื่อก่อน เหมือนใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ พอมองย้อนกลับไป คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่า ปีนี้กูทำอะไรไปบ้างวะ เลยไตร่ตรองเสียใหม่ จะไม่กลับไปทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นอีก”
“เป็นคนชอบตั้งคำถามกับตัวเอง” เราถาม
“ใช่” เธอตอบ
“รวมถึงขนบบางอย่างคุณก็ไม่เห็นด้วย อย่างพิธีแต่งงาน” เราถาม
“พอแต่งแล้วเห็นเลิกกันเต็มเลย ตอนยังไม่แต่งคบกันดีมาก เราอยู่กันไปเป็นเพื่อนคู่คิด ไม่ใช่เอาใบอะไรสักอย่างมาบอกว่า คุณแต่งงานแล้วนะ ตอนแต่งประกาศซะใหญ่โต เอาอย่างนี้ ประกาศเลิกได้ไหม ตอนแต่งสามีจ่าย ตอนเลิกภรรยาจ่าย (หัวเราะ) ทำพิธี เชิญแขก น่าจะสนุกดี อาจทำให้คนกลับมารักกัน เพราะไม่อยากเสียเงิน”
“เคยคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์แปลกประหลาดไหม” เราถาม
“เป็นมนุษย์ต่างดาว (หัวเราะ) ไม่แคร์หรอก เราแคร์ความรู้สึกคนรอบข้างแค่ไม่กี่คนที่เข้าใจเรา”
“อย่างนั้นอะไรที่สำคัญ คุณยึดถืออะไร” เราถาม
“ความเชื่อ ถ้ามีความเชื่อ มันคือการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต”
“เชื่ออะไร” เราถาม
“เชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังจะทำ มันคือการมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่การทำให้โลกสงบสุข หรือการเชื่อว่าเป็นคนดีจะทำให้ชีวิตดี ต้องเชื่อว่าสิ่งที่เราทำโอเค เราอาจเชื่อมันก่อน แล้วค่อยทดลองก็ได้”
หญิงสาว : ชื่อแสงทอง
คนอื่นอาจเคลิบเคลิ้ม แต่สำหรับเรา เมื่อสบตากับเธอ ดวงตาคู่นั้นมีรอยเศร้าแฝงอยู่
“จริงๆ ไม่ใช่คนมีความทุกข์เยอะหรอกนะ แต่เหมือนชอบสร้างความทุกข์ ความยากลำบากให้แก่สมองตัวเอง พออายุ 18 เราจะคิดว่าโตแล้ว พอ 19-20 ก็มีคำถามอีก เราโตจริงหรือเปล่า พอ 20 ขึ้น ก็อยากกลับไปเป็นเด็ก ใช้ชีวิตสบายๆ พอใกล้ 25 เฮ้ย! เรายังเด็กอยู่หรือเปล่า การโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ เป็นแบบไหน คือคำถามในแต่ละช่วงวัย”
ซูเปอร์โมเดลก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป – ว่าอย่างนั้นเถอะ
“เป็นปัญหาโลกแตก อย่างเราควรวางแผนไว้เผื่อตอนแก่เลยไหม ทำให้เราเครียด เหมือนหาคำตอบแน่นอนไม่ได้ ไม่ชัดเจน ฝันว่าอยากมีกระต๊อบเล็กๆ ในบั้นปลาย แล้วระหว่างทางล่ะ มันค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะมาก ทั้งการดำรงชีวิต การเอาตัวให้อยู่รอด”
ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเรื่องของตัวเองนั่นแหละที่ทำให้เครียด
“ครอบครัวไม่น่าห่วง เราวางแผนให้แล้ว เป็นเรื่องตัวเอง โตขึ้นแล้วจะทำอะไรดี เราไม่ได้คิดว่าโตขึ้นต้องเเต่งงานอะไรพวกนั้น แต่เป็นว่า อายุ 40 แล้วเราจะอยู่ตรงไหน ทั้งนี้ พอโตแล้วมันก็เจือจางลงเรื่อยๆ ไม่ไปนั่งหมกมุ่นกับมัน”
ถามเธอเรื่องทิศทางในอนาคต หญิงสาวหัวเราะ
“ผู้หญิง อาชีพนางแบบ มันก็เหมือนดอกไม้ มีอายุของมัน มองเรื่องอื่นมากกว่า อย่างสมัยนี้ เทคโนโลยีเข้ามาเยอะมาก เคยคุยกับเพื่อนว่าอยากมีลูกไหม หลายคนบอกไม่ มีแต่ความเจริญ สงสารคนเรา พอถึงช่วงหนึ่งจะรู้สึกเคว้ง เพราะไม่มีจุดยืน ตามกันไป ไม่มีที่สิ้นสุด”
ไม่ได้มาเทศนา หรือพูดจาให้ดูเก๋ มันก็แค่ความคิดเห็น
หากเรายังเคารพสังคมประชาธิปไตย
“ความทันสมัยช่วยให้สะดวกขึ้น แต่มันก็คือการทำร้ายคนไปในตัว ทุกอย่างเร็วมากๆ ไม่มีใครบอกข้อดีข้อเสีย” แสงทองพูด
เศร้าไหม คิดมากไปหรือเปล่า ไม่แน่ใจ
อย่างที่บอก ช่วงหนึ่ง เธอเคยสงสัยว่าจะกำจัดความรู้สึกบางอย่างออกไปอย่างไร เเต่สุดท้าย หญิงสาวรู้ว่ามันคือการคอนโทรล
“ผิด ดี ชั่ว ตัวเดียวกัน” เธอหัวเราะ
ใช่-ผิด ชอบ ชั่ว ดี พูดจริง หลอกลวง ไม่น่าจะมีใครบอกได้นอกจากตัวเราเอง อยู่และเรียนรู้ที่จะสร้างสมดุลกันไป
สุดท้ายก็อาจคล้ายๆ ที่ แสงทอง เกตุอู่ทอง พูด
สุขหรือทุกข์
หัวใจเราบอกเอง
***************************************
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ สิงหาคม 2552)