เรื่อง : ตุ่น บางพรม
ภาพ : สุทธิเกียรติ สิงห์คา
ใครไม่ใช่เป็นคนนิยมรายการเพลงทางวิทยุ ก็จะไม่รู้จักตัวตนของคนหนุ่มคนนี้ ในฐานะดีเจทางคลื่นความถี่ขวัญใจวัยรุ่นคลื่นหนึ่งของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่…ในโลกด้านนี้ เราไม่รู้จักเขา ใครวะ…’จอห์น วิญญู’ ทีแรกนึกว่าเป็นพวกนิยมเกาหลี เห็นบางคนในอินเตอร์เน็ตเรียก ‘จู วินยอน’
แต่ในอีกโลกหนึ่ง-สังคมอินเตอร์เน็ตถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นจักรวาลขนาดย่อมของเสรีชน ในโลกไซเบอร์นี้ คนหนุ่มคนเดิมก็ทำอีกหน้าที่ของเขาอยู่ ในรายการทีวีสุดกวน…อ๋อ…นาย จอห์น-วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ แห่ง ‘เจาะข่าวตื้น, ดูถูกสติปัญญา’ ผู้นี้นี่เอง
โลกที่ 1
ในวัยเด็ก จอห์น ก็โตมาเหมือนเด็กทั่วๆ ไป เพียงแต่ในครอบครัวของเขา ทุกคนเป็นนักวิชาการ พ่อและแม่เป็นอาจารย์ พี่สาวและพี่ชายเป็นนักเรียนทุนคิง ผู้เป็นพ่อนั้นหวังไว้ว่า จะมีลูกสักคนเดินในสายรัฐศาสตร์ หรือนิติศาสตร์ แต่พี่ๆ กลับเลือกไปทางอื่น ชีวิตช่วงปิดเทอมของลูกคนเล็กอย่างจอห์น จึงไม่ได้หมดไปกับการเรียนเปียโน เหมือนครอบครัวใครหลายคน
“เมื่อก่อนก็เคยงอนพ่อแม่เหมือนกัน ว่าทำไมลูกคนอื่นเขาได้ไปซัมเมอร์นิวซีแลนด์ ไปเรียนขี่ม้าตอนปิดเทอม เราโคตรอยากไปเลย ผมต้องนั่งเศร้าอยู่ตรงมุมห้องคนเดียว ทำไมเราต้องมานั่งคัดรัฐธรรมนูญวะ ทำไมต้องมานั่งคัดพระไตรปิฎก ทำไมต้องมานั่งเขียนเรียงความวันละ 2 หน้า ถึงจะออกไปเล่นได้ อะไรเนี่ย…พ่อกับแม่เราโคตรแปลกประหลาดเลย”
แต่เขาก็สามารถมีชีวิตวัยรุ่นที่ ‘เอ็นจอย’ เหมือนคนอื่นๆ ได้ และด้วยความที่เป็นลูกครึ่งในประเทศนี้…ลูกครึ่งต้องเป็นดารา! จอห์นเลยมีโอกาสเข้ามาในวงการบันเทิงตั้งแต่ยังเรียนมัธยม
“คุณพ่อก็คาดหวังจะให้เดินตามความฝันคุณพ่อ แต่ว่า ม.ต้น ผมเริ่มเดินแบบ ถ่ายโฆษณา ถ่ายเอ็มวี แล้วผมก็เริ่มหลงระเริง ว้าว…เป็นคนในวงการมันเท่อย่างนี้นี่เอง”
ว่าแล้ว จอห์นก็เข้ามาในวงการบันเทิง วงการที่ใครๆ บอกกันว่า แค่หน้าตาดีเป็นทุน นามสกุลไฮโซก็เป็นใบผ่านทางสู่โลกมายาได้แล้ว ไม่ต้องฉลาดมากก็ได้
ขณะที่จอห์นเลือกเดินในสายคนดัง เขาก็ไปเรียนศิลปกรรม มศว. แต่หลังจากเรียนอยู่ 2 ปีกว่า เขาก็ตอบตัวเองด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ‘มันไม่ใช่’
“พอมาถึงปี 3 ปุ๊บ อยู่มาวันนึง จำได้เลยว่าเดินอยู่คนเดียว อย่างกับถ่ายเอ็มวี มันไม่ใช่ว่ะ! … คืนนั้นก็เลยคุยกับแม่ว่าไม่ชอบ ดร็อป ลาออก แล้วก็ไปเรียนรัฐศาสตร์ รามฯ แฮปปี้มาก เออว่ะ…สนุก ทำพิธีกรไปด้วยได้ เหมือนมีการคานอำนาจกันอยู่ 2 ทาง บันเทิงกับทางวิชาการและสังคม”
นี่คือสิ่งที่ทำให้จอห์นโตกว่าใครๆ รู้มากกว่าเพื่อนในช่วงวัยเดียวกัน
“ก็โดนมองว่า มึงโตกว่าวัยรึเปล่า ซีเรียสกับชีวิตมากไปเปล่าวะ คือบางทีแนวคิดจะต่างกับในรุ่นเดียวกัน เพราะสิ่งที่เราเรียนรู้น่ะครับ ผมได้ค่าถ่ายแบบตั้งแต่ม.3 แล้วก็ต้องเริ่มเสียภาษีตอนเรียนมหา’ลัย หลายคนก็บอก มึงบ้าเปล่า ซีเรียสไปเปล่า มึงโดนแล้วต้องไปด่าเขาด้วยเหรอ เออ…กูไม่ได้ด่า กูแค่ตั้งคำถามว่าเขาใช้เงินกูคุ้มรึเปล่า”
นั่นคือโลกที่หนึ่ง ที่ใครๆ ก็รู้จักเขา ดีเจ จอห์น วิญญู
โลกที่ 2
“ขอต้อนรับสู่เจาะข่าวตื้น กับนายจอห์น วิญญู นะฮ๊าฟฟฟฟว์”
นี่คือประโยคเปิดรายการ ‘เจาะข่าวตื้น, ดูถูกสติปัญญา’ เมื่อพิธีกรหนุ่มลูกครึ่ง ไทย – อเมริกัน วิญญู สุวรรณรัตน์ นำรายการทีวีรายปักษ์นี้มาออนแอร์ทางอินเตอร์เน็ตในช่วงหวยออก แน่นอน…เขาไม่ได้มาขายเรียงเบอร์
“ทีแรกเลยเราอยากจะทำเป็นฟรีทีวี เราตั้งบริษัทขึ้นมาเป็นห้องอัดเสียง ประมาณ 3 ห้อง ห้องบนสุดเป็นห้องตัดต่อ ทำโฆษณา พรีเซ็นเทชั่น ตัดหนัง แต่มันมีประสิทธิภาพที่จะทำรายการทีวีได้ แต่งานก็ไม่ค่อยได้มีเข้ามามาก พี่สาวผมก็เลยคุยว่า จอห์นมาทำรายการทีวีกันมั้ย”
นั่นคือที่มาของช่องรายการที่เราเห็นกันในอินเตอร์เน็ต ‘ไอเฮียร์ ทีวี’ ซึ่งช่องนี้เขาก็มีหลายรายการเหมือนกัน แต่ที่เราสนใจคือ รายการ ‘เจาะข่าวตื้น ดูถูกสติปัญญา’ ว่ามันมายังไง อะไรตื้น อะไรน่าดูถูก
“คนทำอินเตอร์เน็ตทีวีมีเยอะครับ แต่บางคนค่อนข้างจะดูถูกสติปัญญาของผู้บริโภคทั่วๆ ไป ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของเจ้านึง บอกว่าคนไทยยังไม่พร้อมรับอะไรที่มันแหวกแนวในฟรีมีเดีย อย่างอินเตอร์เน็ตทีวี ซึ่งผมว่ามันไม่จริง คนไทยพัฒนามาเยอะแล้ว ผมเลยนำเสนอเรื่องราวแหวกแนว หรือจะเป็นเรื่องหนักๆ แต่ว่าใช้ภาษาชาวบ้านทั่วๆ ไป ตื้นๆ เพื่อการอธิบายที่มันง่าย”
สิ่งที่ทำให้ ‘เจาะข่าวตื้น, ดูถูกสติปัญญา’ มีคนติดตามมากมาย เพราะแค่ขำ ตลกเท่านั้นหรือ มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นจุดเริ่มต้น เหมือนจะเข้าวงการก็ต้องไปเทสต์หน้ากล้อง
“เรื่องที่น่าจะไปโดนคนบนอินเตอร์เน็ตเอามากๆ เลย ก็น่าจะเป็นเรื่อง ‘โอเน็ต เอเน็ต’ เรื่องนี้ประเด็นแบบโดนมากๆ คนก็…โอ้วเย่…ฟอร์เวิร์ดกันต่อ เอาไปแปะที่นู่นนี่กันใหญ่เลย ผมก็ลองวิเคราะห์โจทย์ โดยใช้สามัญสำนึกทั่วๆ ไป หรือว่าลองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งแล้วลองตีความโจทย์ดู มันก็น่าจะเป็นอย่างนี้นี่หว่า แล้วทำไมไม่ถูก”
ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนซีเรียสเหมือนกันนะเนี่ย อ่านรัฐธรรมนูญมากไปหรือเปล่า เราชักสงสัยว่า จอห์น วิญญู ตัวจริงนี่ขำเหมือนที่เราเห็นใน ‘เจาะข่าวตื้น ดูถูกสติปัญญา’ ไหม
“ผมก็ว่าตลกโดยธรรมชาติ คนอาจจะเก็ทมุขของผม ที่พยายามล้อเลียน หรือเสียดสี แต่บอกตามตรงว่าเจาะข่าวตื้นนี่ผมไม่ได้พยายามทำออกมาให้มันขำ เรื่องราวที่เราล้อเลียนแต่มันเป็นเรื่องจริง เราต้องพยายามบิดมุมมองให้ไม่เครียดจนเกินไป คือผมรู้สึกว่าประเด็นที่เราทำคือ เสียดสี ล้อเลียน ถึงแม้ว่ามันจะออกมาเป็นดาร์คคอมเมดี้ หรือตลกฝืด”
“ผมกับเพื่อน อยากทำรายการที่มันพูดคุยได้ทุกเรื่องมากกว่า พูดคุยภาษาชาวบ้านน่ะครับ คือประเทศนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ บางทีพูดภาษาชาวบ้าน คือแบบว่าโอ้…รับไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่อุจาดหู บางทีการพูดเรื่องปกติทั่วไป เรื่องสามัญที่คนอยากรู้ แต่ภาษาธรรมด๊าธรรมดากลายเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ในฟรีทีวี งั้นเราก็มาลุยอินเตอร์เน็ตทีวีดีกว่า ช่วงที่ทำแรกๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วๆ ไป เรื่องตำรวจจราจร เรื่องการจราจรเมืองไทย เรื่องของภาษี”
อ๋อๆ…หมายความว่ามีสื่อที่จำกัดปริมาณข่าวสาร ดัดจริตภาษาให้ฟังยากๆ ดูถูกสติปัญญาล่ะสิ
“ผมตั้งใจว่าสิ่งที่ทำให้เสพง่ายคือ ผมเล่าเป็นภาษาชาวบ้าน หรือภาษาที่วัยรุ่นทั่วไปเข้าใจ ไม่ใช่ภาษานักการเมือง ภาษาที่วกวน วนไปวนมา ผมเองนี่แหละ ที่ต้องการความตรงไปตรงมา หรือความขวานผ่าซากจากสื่อในปัจจุบัน แต่ด้วยความที่เราเป็นสังคมของเส้นสาย ความเกรงอกเกรงใจผู้มีอำนาจ สื่อก็เลยไม่สามารถพูดอะไรได้ตรงไปตรงมาเท่าไหร่”
แล้วอะไรล่ะ คือภาษาที่ง่ายๆ ของจอห์น ภาษาดีเจ หรือภาษาดาราก็ฟังยากนะ ไม่รู้พูดจริงหรือเปล่าด้วย อาจจะถูกโปรแกรมมา โดนสั่งมาให้พูดก็ได้
“เมื่อคุณเบื่อกับอะไรที่เป็นเมนสตรีม หรือคุณบริโภคแล้วไม่รู้จะเชื่ออะไรดี คือผมมีช่วงนึงที่ดูจนฟังไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร อย่างช่วงปิดถนน เราก็นั่งดูทีวี…มันพูดอะไรเนี่ย ตอนออกมาแถลงการณ์ ก็ไม่เข้าใจ ทำไมไม่บอกว่า อย่าออกจากบ้านนะเว้ย เดี๋ยวตาย แค่นั้นก็จบ หรือมันมีระเบิดตรงนี้เว้ย แต่นี่ต้องแบบ…ด้วยความที่สถานการณ์เกิดความพลิกผัน ในกรณีที่ถูกโจมตีบริเวณพิกัดนี้ ซึ่งเราก็รู้สึกว่า…อะไรเนี่ย คือฟังไม่รู้เรื่องแล้วน่ะครับ”
ในโลก ‘ไอเฮียร์ ทีวี’ เขาดูทำอะไรที่ตลกโปกฮา แบบมีสาระนะเนี่ย
ระหว่างโลกทั้งสอง
เมื่อรายการ ‘เจาะข่าวตื้น ดูถูกสติปัญญา’ เริ่มพูดเรื่องการเมือง ซึ่งในศักราชนี้ ถือเป็นเรื่องเปราะบาง แตะต้องไม่ได้ และเป็นประเด็นที่ผู้คนใช้ห้ำหั่นกันมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่อง ‘กีฬาสี’ ยิ่งเป็นดีเจ เป็นคนบันเทิง ยิ่งพูดยาก
“เป็นเรื่องที่โดนเตือนมาเยอะมากว่า เพลาๆ หน่อยนะ มันละเอียดอ่อน ผมก็เลยนำเสนอด้วยวิธีการง่ายๆ คือ ไปเอามาซิ ว่าฝั่งนี้พูดว่าอะไร ฝั่งนี้เรียกร้องอะไร ที่ผมนำเสนอคือ ไอ้สองฝ่ายนี้ทะเลาะกัน แต่ไม่คุยกัน ไม่ฟังเหตุผลกัน ก็ตีกันไป จนผมอายุ 70-80 แล้วไง…เกิดอะไรขึ้น มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น”
โดนแน่…ทั้งมือที่มองเห็น และมองไม่เห็นต้องเข้ามาสะกิดแน่ๆ ทั้งอาอี๊ อากง อาม่า
“ทีแรกผมเองก็รู้สึกว่าเราจะสร้างผลกระทบให้กับคนในองค์กรรึเปล่า คิดไปคิดมา มีอยู่ช่วงนึงผมคิดไม่ตก กลัวมากเลยว่าเราจะสร้างปัญหาให้ เพราะเราก็ต้องให้เกียรติองค์กรที่เราทำงาน เพราะเรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะองค์กรนี้ ไม่ใช่ว่าพอเป็นที่รู้จักแล้วผยอง เราทำไม่ได้”
เป็นธรรมดา ถ้าหากใครสักคนหนึ่งลงมาเล่นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง และยิ่งอยู่ในยุคที่การเมืองเต็มไปด้วยสีสันสดใส แม้ไม่ได้ตั้งใจกระโจนลงไปในถังผสมสี แต่หากรักจะ ‘เล่น’ แล้ว สีย่อมต้องกระเซ็นซ่านขึ้นมาให้เปื้อนไม้เปื้อนมือแน่นอน
“ผมนั่งอ่านนิตยสารรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง เขาก็เปรียบเทียบรายการผม กับรายการของสีนึง ผมก็…ชิบหาย งานเข้าแล้วกู ทีแรกคิดว่าบทความเดียวไม่เป็นไรหรอก เขาคงเปรียบเทียบถึงความตรงไปตรงมาของรายการเรา ไปๆ มาๆ สองสัปดาห์ติด ประมาณ 3-4 บทความ เขียนเปรียบเทียบกับรายการของสีนึงซึ่งเป็นช่องเคเบิ้ล”
“ก็ไม่รู้ทำไงได้ครับ ด้วยความที่เรานำเสนอเรื่องราวกัดจิกทางรัฐพอสมควร แล้วตอนนี้อีกฝ่ายนึง เขาก็เลยต้องการดึงเราเหมือนกัน เขาอาจจะคิดว่าเราด่ารัฐแล้วเราเป็นสีนี้ แต่จริงๆ ไม่ใช่ สมมุติถ้าครั้งต่อไป เขาได้เป็นรัฐบาล แล้วเรารู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล เราก็ต้องพูดเหมือนกัน”
เราเห็นแล้วว่า มุมมองผ่านแว่นดำของจอห์นนั้น ไม่ธรรมดา ใช่…เราไม่เห็นตาของเขา แต่เราเห็นความคิด ว่าก้าวหน้ากว่าคนรุ่นเดียวกันในวงการขนาดไหน และจอห์นยังมีเวลาในเส้นทางชีวิตอีกยาวไกล ทำให้เราสงสัยว่า สักวันนึงโลกในวงวิชาการ และจิตใจฝ่ายตั้งคำถามของเขา อาจจะดึงให้เขากลายเป็นผู้เรียกร้องหาคำตอบให้สังคมอย่างจริงจังก็ได้
“ไม่ครับ ไม่ได้คิดใหญ่ขนาดนั้น คือถ้ามองไปถึงจุดนั้น คือเราต้องเป็นคนที่สำคัญในการปลุกระดม ผมว่าอันนั้นมันก็คงเกินไปแหละ ขอทำในสิ่งมันสนุกกับเรา แล้วเราอยากทำ อยากนำเสนอดีกว่า ขอเป็นคล้ายๆ คนตั้งคำถามแค่นั้นก็พอ”
จอห์นชอบพูดถึง ‘คนเสื้อแพง’ ในรายการ ทั้งที่เขาเองก็เป็นคนในวงการบันเทิง ต้องถูกรายรอบด้วยกองทัพ ‘คนเสื้อแพง’ แน่ๆ แต่เขากลับมองคนเหล่านั้นเป็นอีกแบบ
“คนเสื้อแพง (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็ยังตั้งคำถามอยู่ว่า ตุลา เมื่อไหร่จะตุลาคมซักที เซ็นทรัลเวิลด์จะได้เปิด (หัวเราะ) ทุกคนก็จะกลับไปมองว่า โอ๊ย…เขาจะตั้งต้นคริสต์มาสต์ใหญ่ที่สุดในเซาท์อีสต์เอเซียอีกหรือเปล่าเนี่ย แต่ก็ว่าอะไรเขาไม่ได้ครับ ผมคงทำได้แค่แทะๆ กัดจิกเขาเท่านั้นเอง”
การมีชีวิตอยู่ในหลายโลก อาจจะเป็นการเหยียบเรือสองแคม จับปลาสองมือ มันจะไม่ได้ดีสักอย่างหรือเปล่า แล้วเขาจะใช้ชีวิตทั้งในฐานะคนในวงการบันเทิง และนักตั้งคำถามจอมกัดได้จริงหรือ
“คนในสังคมมันมีหน้าที่ของตัวเอง อย่างคนทั่วๆ ไปก็คือ อย่างผมเอง จริงๆ ผมควรเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคม กับคนอีกประเภทหนึ่ง ที่ต้องเป็นคนตั้งคำถาม ตรวจสอบ เป็นฝ่ายคานอำนาจ ซึ่งก็อาจจะเป็นพวกสื่อมวลชน ซึ่งผมเองก็น่าจะอยู่ในกลุ่มของคนที่ใช้ชีวิตทั่วไป แต่คนเราอยู่ในสังคมมันก็ต้องมีการตั้งคำถามบ้าง บางคนที่อยู่ในหน้าที่ตั้งคำถามหรือต้องตรวจสอบเขาไม่คิดจะทำ หรือทำได้ไม่เต็มที่ ก็ถ้าเราจะทำมันก็คงไม่ผิดมั้ง แล้วเราก็ไม่ได้ทำแบบฮาร์ดคอร์”
มาถึงท้ายสุดแล้ว เราให้จอห์นพูดถึงโลกในอนาคตของประเทศไทยสไตล์ดาราผู้ฝักใฝ่ในเสรีภาพดีกว่า
“ประเทศนี้เหมือนวัวตัวหนึ่งที่มีเห็บเกาะ และดูดเลือดไปเรื่อยๆ ตอนนี้คือเห็บมันมีอยู่เป็นพันตัว วัวมันมีอยู่ตัวเดียว แล้วมันแห้งใกล้ตายแล้ว
“เราต้องเปลี่ยนทัศนคติของเด็กวัยรุ่น หรือคนรุ่นใหม่ว่า ไอ้การที่มานั่งรับใต้โต๊ะ นอนกิน นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกนะ คุณต้องพัฒนาประเทศ ในขณะเดียวกันไอ้พวกเห็บที่นอนกินนี่มันผิดนะ เราต้องหัดตั้งคำถามขึ้นมาบ้าง เราไม่สามารถแอ๊บแบ๊วกันได้ว่า เราสามารถเคลียร์ไอ้พวกนี้ออกไปได้หมด แต่ว่าอย่างน้อยเราต้องลดให้มันน้อยลง เท่านั้นเอง”
ใช่…สติปัญญาของจอห์น วิญญู และเรา-ประชาชนธรรมดา ไม่ได้มีไว้ให้ใครดูถูกสักนิด นะฮ๊าฟฟฟฟว์
****************************
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ในคอลัมน์ face of entertainment กันยายน 2553)