จากจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปแล้วไม่ต่ำกว่า 4,500 ราย ไม่มีใครปฏิเสธว่าการระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาครั้งนี้คือสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่นักวิจัยจากบรรษัทยายักษ์ใหญ่ GlaxoSmithKline กล่าวว่าวัคซีนป้องกันอีโบลาจะพร้อมวางจำหน่ายในราวปลายปี 2016
สำหรับในสหรัฐ ยังมีอีก 6 สิ่งที่เราไม่ควรไว้วางใจ ซึ่งน่าจะพอเทียบเคียงกับสถานการณ์ด้านสุขภาพในประเทศไทยได้เช่นกัน
1. มะเร็งผิวหนัง
รายงานจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) บอกว่า การเสียชีวิตเกือบร้อยละ 50 ในสหรัฐมาจากมะเร็งและโรคหัวใจ โดยมะเร็งคืออาการป่วยที่คร่าชีวิตอเมริกันชนเป็นอันดับหนึ่ง เฉลี่ยแล้วประชากรกว่า 3.5 ล้านคนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งผิวหนังต่อปี และแม้จะมีผู้ป่วย 10,000 รายเสียชีวิตด้วยมะเร็งผิวหนัง แต่หลายคนยังต้องการมีผิวแทนและละเลยการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต
2. น้ำหนักเกิน
การจะป้องกันโรคหัวใจให้ได้ผล ต้องมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมการรับประทานให้ได้สัดส่วน ขณะที่อเมริกันชนกว่า 78 ล้านคนกำลังประสบปัญหาน้ำหนักเกิน สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากร้อยละ 20 ของผู้มีน้ำหนักเกินยังอายุไม่เกิน 19 ปี
3. อุบัติเหตุ
สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 5 ในสหรัฐมาจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยพบว่าผู้เสียชีวิตหลายรายไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ทั้งที่ไม่มีใครบ่นเรื่องความไม่สบายตัวเวลาคาดเข็มขัดแต่อย่างใด
4. ไข้หวัดใหญ่
ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 7 ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการรับวัคซีนและกระตุ้นเป็นประจำทุกปี ขณะที่สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์เป็นกรณีพิเศษ เพราะทารกอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะออทิสติก (autism spectrum disorders: ASD)
5. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การเสียชีวิตมากกว่า 88,000 รายต่อปีเกี่ยวเนื่องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยครึ่งหนึ่งมาจากอาการเมามายและคุมสติไม่อยู่ CDC ระบุว่าความถี่การดื่มในประชากรวัยทำงานขึ้นไป 38 ล้านคน อยู่ที่ 4 ครั้งต่อเดือนเป็นอย่างต่ำ เฉลี่ยแล้วพวกเขาดื่มครั้งละ 8 แก้ว ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ที่ดื่มเป็นประจำ
6. อาวุธปืน
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการอนุญาตให้มีอาวุธปืน แม้จะเป็นไปเพื่อการป้องกันตัวตามที่สมาคมไรเฟิลสหรัฐ (National Rifle Association: NRA) กล่าวอ้าง แต่จากรายงานการเสียชีวิตนับพันรายต่อปี นี่เป็นปัญหายืดเยื้อและเรื้อรังในสังคมอเมริกัน ซึ่งยังไม่มีทีท่าจะหาข้อยุติได้ง่ายๆ
ที่มา: alternet.org