ไทม์ไลน์ ‘ชัยภูมิ ป่าแส’ จากกระสุนปลิดชีวิต สู่กล้องวงจรปิดในตำนาน

กระสุนนัดนั้น

17 มีนาคม 2560

วันสุดท้ายที่เขามีชีวิตอยู่ หากนับวันเดือนปีเกิดตามบัตรประจำตัวประชาชนที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 ซึ่งหมายถึงผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ชัยภูมิ ป่าแส จะมีอายุ 21 ปี แต่เพื่อนพ้องของเขารู้ดีว่าตัวเลขดังกล่าวเกิดจากข้อผิดพลาดจากการสำรวจข้อมูลทางทะเบียน

ชัยภูมิ ป่าแส หรือ จะอุ๊ อายุ 17 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 โรงเรียนเชียงดาววิทยาคม อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เขาเป็นนักกิจกรรมทำงานเรื่องศิลปวัฒนธรรมในนาม ‘กลุ่มรักษ์ลาหู่’ มีความสามารถด้านดนตรี สารคดี และภาพยนตร์ ผลงานหลายเรื่องของเขาถูกฉายผ่านสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส หนังเรื่อง เข็มขัดกับหวี ที่เขาร่วมทำได้รับรางวัลช้างเผือกดีเด่น หนังอีกเรื่อง ทางเลือกของจะดอ ได้รางวัลชมเชย รัตน์ เปสตันยี จากเทศกาลภาพยนตร์สั้น ครั้งที่ 16 โดยมูลนิธิหนังไทย

ย่อหน้าด้านบนคือสิ่งที่คนรอบข้างรู้จักเขา แต่เสียงปืนของวันนั้นทำให้อนาคตของเด็กชายตอนปลาย-คนหนุ่มระยะแรกอย่างเขาเข้าสู่ฉากสุดท้ายของชีวิตเสียดื้อๆ ชนิดที่หากนี่คือภาพยนตร์แล้ว มันอาจเป็นเพียงฉากเริ่มต้นเท่านั้น

เช้าของวันที่ 17 มีนาคม 2560 ณ ด่านตรวจถาวรบ้านรินหลวงในอำเภอเชียงดาว ชัยภูมิถูกวิสามัญฆาตกรรมพร้อมกับถูกตั้งข้อกล่าวหาว่ามีความผิดฐานครอบครองและจำหน่ายยาเสพติด

18 มีนาคม 2560

ผลการชันสูตรเบื้องต้นที่นิติเวชแจ้งกับญาติชัยภูมิพบว่า เขาถูกยิงเข้าด้านข้างของต้นแขนซ้ายด้วยปืน M16 กระสุนเข้ารูเล็ก ทะลุออกใหญ่ที่ต้นแขน และกระสุนเดียวกันนั้นแตกอยู่ในลำตัวของเขา

19 มีนาคม 2560

พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรนาหวาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ รายงานต่อผู้บังคับบัญชาว่า 10.00 น. ของวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ทหารร้อย ม.2 บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ซึ่งประจำจุดตรวจยาเสพติดด่านทหารสามแยกรินหลวงได้เรียกรถยนต์ Honda Jazz สีดำ เพื่อตรวจค้น และพบยาบ้า 2,800 เม็ดอยู่ในกรองอากาศ จึงจับกุม พงศ์นัย แสงตะล้า อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นผู้ขับรถเอาไว้ได้ แต่ผู้ที่อยู่ด้านข้างคนขับได้วิ่งหนีออกไปราว 200 เมตร เจ้าหน้าที่ทหารจึงวิ่งติดตามไปขณะใกล้ถึงตัว ชัยภูมิ ป่าแส ได้เงื้อระเบิดในมือจะขว้างใส่ ทหารจึงใช้อาวุธปืน M16 ยิงป้องกันตัวหนึ่งนัด แค่นี้ก็มากพอที่จะปลิดชีพชัยภูมิได้

ในวันเดียวกันนั้น ชาวบ้านได้พาแม่ของชัยภูมิไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนาหวาย เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่า จากบันทึกประจำวัน ไมตรี จำเริญสุขสกุล ซึ่งเป็นญาติของชัยภูมิได้รับทราบข้อมูลจากทหารแล้ว และอนุญาตให้มีการชันสูตรศพเบื้องต้น แต่ไมตรียืนยันว่าเขาไม่ได้อนุญาตแต่อย่างใด นอกจากไม่มีการถามเรื่องนี้ ไมตรียังบอกอีกว่า ผ่านสองวันหลังการตายของผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง เขายังไม่มีโอกาสจะเห็นศพของชัยภูมิ

20 มีนาคม 2560

พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของทหารเป็นเรื่องสุดวิสัย เนื่องจากผู้ต้องสงสัยมีพฤติกรรมต่อสู้ขัดขืน และพยายามจะทำร้ายเจ้าหน้าที่โดยประสงค์แก่ชีวิต

ชัยภูมิ ป่าแส

เจ้าหน้าที่ก็กลัวตาย

21 มีนาคม 2560

ศูนย์ประสานงานเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) ร่วมกับ 33 องค์กรเครือข่าย ออกแถลงการณ์ระบุว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เป็นการดำเนินการอย่างป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม และเรียกร้องให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และองค์การด้านสิทธิมนุษยชนลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างเร่งด่วน

ขณะที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำตามขั้นตอนแล้ว แต่เนื่องจากผู้เสียชีวิตมีระเบิดอยู่ในมือ จึงต้องป้องกันตัว เพราะเจ้าหน้าที่ก็กลัวตายเหมือนกัน

ด้าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่าจะต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจน และขอร้องว่าอย่าเพิ่งพูดกันไปมา เพราะจะเสียรูปคดี

“เดี๋ยวผมจะให้มีการตรวจสอบต่อไป แต่ถ้าจะมองเพียงแค่ว่าเขาเป็นนักกิจกรรมชาติพันธุ์หรือเปล่า ถึงต้องถูกวิสามัญ ซึ่งคิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่เคยคิดแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องให้เกิดความชัดเจน ว่ากันด้วยพยานหลักฐาน ขอร้องว่าวันนี้อย่าเพิ่งพูดกันไปมา เดี๋ยวจะเสียรูปคดี ให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานกันไปก่อน”

เส้นทางการเงินของชัยภูมิ ป่าแส

22 มีนาคม 2560

“ประวัติของนายชัยภูมิคือ พ่อตาย แม่ประสาทไม่ดี มีน้องชาย อยากให้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเงินมากนัก ก่อนวันเกิดเหตุสี่วัน พาเพื่อนหญิงสี่คนไปเที่ยว รวมทั้งนายพงศ์นัยด้วย เมื่อส่งเพื่อนหญิงเสร็จก็ชวนนายพงศ์นัยมานอนที่บ้าน ซึ่งเป็นบ้านของชนกลุ่มลาหู่ปกติ ไม่ได้รวยและจน เป็นหมู่บ้านห่างจากชายแดนประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นช่องทางเข้ายาเสพติดของกลุ่มว้าในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม

“รถคันที่ยึดได้พร้อมของกลาง เจ้าหน้าที่เคยติดตาม แต่ยังจับไม่ได้ ซึ่งครั้งที่แล้วใช้ทะเบียนปลอม แต่ยืนยันว่าจากการต่อจิ๊กซอว์ขบวนการค้ายาเสพติดเคยมีชื่อของนายชัยภูมิรวมอยู่ด้วย”

นี่เป็นเสียงพูดของ พลตำรวจโทพูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งตั้งข้อสังเกตถึง ชัยภูมิ ป่าแส เขาบอกอีกว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบบัญชีของผู้ตาย มีเงินเข้าเป็นระยะ พร้อมตั้งคำถามต่อสังคมว่า ด้วยพื้นฐานครอบครัว ชีวิต ความเป็นอยู่ และช่วงวัยเพียงเท่านี้ ทำไมชัยภูมิจึงมีรถยนต์ขับไปโรงเรียน และมีเงินฝากเข้าบัญชีโรงเรียนทุกสัปดาห์ ทั้งยังมีเงินเลี้ยงเพื่อนตลอดราวกับว่าเป็นการสร้างความนิยมในหมู่เพื่อนฝูง

กล้องวงจรปิด และการกดปืนออโต้จากปากแม่ทัพภาค 3

23 มีนาคม 2560

พลโทวิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ยาเสพติดที่ทะลักเข้ามาทางภาคเหนือ แน่นอนว่าประเด็นที่พ่วงโยงเข้ามาย่อมหนีไม่พ้นกรณีวิสามัญฆาตกรรมที่กำลังถูกจับตา ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 3 บอกว่า ชัยภูมิ ป่าแส เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 มีการตามจับ และมีหลักฐานผ่านเส้นทางการเงินชัดเจน

“ถามว่าเด็กคนหนึ่งที่ไม่ทำอะไรเลย ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง การเคลื่อนไหวด้านสังคม ด้านเชื้อชาติเป็นสิ่งที่ดี แต่กลับไปอยู่วงจรยาเสพติดได้อย่างไร”

พลโทวิจักขฐ์พูดอีกว่า หลังดูภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่าเป็นการจับกุมตามปกติ เจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้ถืออาวุธใดๆ นอกจากชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ถืออาวุธเวลาเข้ายามตามปกติ ส่วนการตรวจค้นก็เป็นไปตามขั้นตอนธรรมดา กระทั่งมีการขัดขืน เจ้าหน้าที่จึงจับอาวุธขึ้นมา และจากกล้องวงจรปิดยังพบอีกว่า ทหารเดินเข้าไปสอบถามเพราะขณะนั้นมีรถเข้ามาเพียงคันเดียว ซึ่งถ้ามีการซ่อนยาเสพติดเด็กก็จะวิ่ง และการลั่นไกหนึ่งนัดของพลทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่นั้นก็สมเหตุสมผลที่จะป้องกันตัว เพราะผู้ตายทำท่าจะขว้างระเบิด ซึ่งหากเป็นตนเองนั้นอาจกดปืนเป็นออโต้ไปแล้ว

“เมื่อตรวจสอบย้อนหลังก็ยืนยันว่าทหารเราไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ ให้ตำรวจทำคดี เพราะเป็นคนกลาง ถ้าทำคดีเองก็เอนเอียงเข้าข้างลูกน้อง เอากล้อง CCTV มีนิติวิทยาศาสตร์ สอบลายนิ้วมือแฝง สอบปากคำทุกคนอย่างละเอียด ให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบอย่างเป็นธรรม บันทึกการจับกุมเมื่อเดือนมกราคม บัญชีธนาคาร บัญชีผู้ต้องขังที่นายคนนี้ส่ง-รับยาต่อจากเขา เป็นหลักฐานทางคดีที่สำคัญ”

แม่ทัพภาค 3 ยืนยันเรื่องการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และกล่าวย้ำถึงหลักฐานจาก ‘กล้องวงจรปิด’ ซึ่งนั่นทำให้กระแสสังคมเรียกร้องให้มีการเปิดเผยภาพดังกล่าวโดยเร็ว เนื่องจากความเคลือบแคลงและคลุมเครือในปฏิบัติการดังกล่าวสร้างความสงสัยให้กับสังคมเป็นอย่างมาก

เงินมาจากการขายกาแฟ แค่หลักพันเท่านั้น

25 มีนาคม 2560

ในการแถลงข่าวอีกครั้งต่อความคืบหน้าของคดีนี้ พลตรีจิรเดช กมลเพ็ชร ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง เล่าฉากนาทีปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่อีกครั้ง พร้อมเล่าฉากหลังชีวิตของพลทหารผู้ลั่นไกปืนว่า เป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ครอบครัวยากจน ต้องละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดจากจังหวัดบุรีรัมย์ สมัครมารับใช้ชาติ ที่ผ่านมาประพฤติหน้าที่เป็นอย่างดี ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดนั้นกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ

วันเดียวกันนี้เองที่ตัวแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติลงพื้นที่บ้านกองผักปิ้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านของ ชัยภูมิ ป่าแส

เตือนใจ ดีเทศน์ อนุกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า จากการสอบถามข้อมูลทราบว่าเงินที่เข้าบัญชีของชัยภูมิมีจำนวนเพียงหลักพันเท่านั้น และมาจากการขายกาแฟออนไลน์ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่มีหลักฐานก็ขอให้เปิดเผยต่อสังคม โดยเฉพาะหลักฐานจากกล้องวงจรปิด

“มีคำถามว่าเป็นไปได้หรือไม่หากดูจากภาพถ่ายว่านายชัยภูมิช่วยทหารเปิดกระโปรงรถด้านหน้า เมื่อไม่พบก็กลับไป แต่มีการยัดเยียดข้อหา แต่นายชัยภูมิไม่ยอม จนเกิดการนำตัวไปซ้อมก่อน แล้วถึงวิสามัญ จึงขอให้ตรวจสอบอย่างโปร่งใส ตอบสังคมให้ได้

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่านายชัยภูมิจะมีความผิดในคดียาเสพติด ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมผ่านศาล ไม่ใช่การวิสามัญฯ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ จึงขอให้แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดเผยข้อมูล ให้เอาภาพวงจรปิดที่ระบุว่าดูแล้วออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นไฟลามทุ่ง หรือน้ำผึ้งหยดเดียว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมก็ควรจะเปิดเผยให้สังคมได้รับทราบทั้งหมด”

เงินมาจากสามนักค้ายา แต่ขอไม่เปิดเผย

27 มีนาคม 2560

พันตำรวจเอกกฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงิน และพบพิรุธเงินในบัญชีของ ชัยภูมิ ป่าแส ว่ามาจากสามผู้ต้องหาค้ายาเสพติด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยต้นทางของเงินและรายละเอียดของสามผู้ต้องหาค้ายาเสพติดดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับสำนวนคดี ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าเงินมาจากการขายกาแฟนั้นก็ต้องชี้แจงได้ เพราะการทำธุรกิจต้องส่งเรื่องเสียภาษี ซึ่งจะต้องขยายผลการสืบสวนเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง พลโทวิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องภาพจากกล้องวงจรปิดว่า ขณะนี้กองทัพได้ส่งมอบให้กับตำรวจเพื่อใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลแล้ว จึงไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ ต้องให้ศาลและตำรวจซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเป็นผู้อนุญาตเท่านั้น

ขณะเดียวกัน แฟนเพจ ‘พลเมืองต่อต้าน Single Gateway เพื่อเสรีภาพและความยุติธรรม’ ได้เผยแพร่ภาพซึ่งยังไม่เคยปรากฏบนหน้าสื่อมาก่อน โดยเป็นเหตุการณ์ช่วงที่มีการตรวจค้นรถยนต์ของ ชัยภูมิ ป่าแส และ พงศ์นัย แสงตะล้า ที่เดินมาหน้ารถเพื่อดูเจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถยนต์ แต่ไม่มีภาพที่เกิดการต่อสู้ขัดขวางรวมทั้งจังหวะที่มีการยิง ทั้งที่จุดดังกล่าวมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดถึงเก้าตัว

ผบ.ทบ. ดูภาพจากกล้องแล้ว แต่บอกไม่ได้ว่าใครผิด

28 มีนาคม 2560

หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายงานว่า จากการตรวจสอบรถ Honda Jazz สีดำ ทะเบียน ขก 3774 เชียงใหม่ ซึ่งชัยภูมินั่งมา ซึ่งก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ระบุว่ารถคันดังกล่าวเป็นของนักค้ายาเสพติดในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่อยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุม แต่จากการตรวจสอบรถคันดังกล่าว ปรากฏว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์คือธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งมี นางแสงหล้า บุญมี ชาวอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้ครอบครองรถวันที่ 13 ตุลาคม 2558 อีกทั้งไม่พบหมายจับและไม่เคยต้องคดีอาญา

วันเดียวกันนี้ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกล้องวงจรปิดว่า ได้ดูภาพดังกล่าวแล้ว แต่ยังบอกไม่ได้ว่าใครผิด ส่วนตนเองนั้นจะไม่แทรกแซงหรือสั่งการเพื่อให้นำมาเปิดเผย พร้อมทั้งขอให้สังคมรอก่อน เพราะเป็นเรื่องของขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรม

30 มีนาคม 2560

สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ซึ่งรับผิดชอบทำคดี ชัยภูมิ ป่าแส กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ไม่ยอมเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดรวมทั้งผลการชันสูตรศพว่า หลักฐานเหล่านี้เป็นสิทธิ์ของผู้เสียหายที่จะได้เห็น โดยเฉพาะในหลักการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมนั้น คู่กรณีทั้งสองฝ่ายต้องสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและหลักฐานได้อย่างเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมาฝ่ายทหารสามารถดูภาพในกล้องวงจรปิดได้ แต่แม่ของผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยตรงกลับขอดูไม่ได้

ทนายความคดีดังกล่าวบอกอีกว่า เรื่องนี้พนักงานสอบสวนที่ไม่อนุญาตให้ดูก็ต้องอธิบายว่าเพราะอะไร ทั้งๆ ที่ผ่านมามีการเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดหลายคดี และภาพจากกล้องในที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่สาธารณะที่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ ขณะเดียวกันกฎหมายก็ไม่ได้ห้ามที่จะเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดแต่อย่างใด

60 วัน ปักหมุดชัยภูมิบนผืนดินที่เขาตาย

17 พฤษภาคม 2560

ด่านตรวจรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ถูกใช้เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมรำลึก 60 วัน หลังการวิสามัญฆาตกรรมที่ยังคลุมเครือ

แผ่นหินอ่อนรูปสามเหลี่ยมสีดำจารึกข้อความไว้ตรงกลางว่า “เพื่อสัจจะและความยุติธรรม ณ ที่แห่งนี้ ชัยภูมิ ป่าแส ถูกสังหารอย่างมีเงื่อนงำ” และมีข้อความโดยรอบอีกว่า “แด่สามัญชนที่ถูกสังเวยด้วยอยุติธรรม ให้ปวงชนพ้นจากชะตาไม่ตาย ก็ติดคุก สามัญชนจะต่อสู้เพื่อยุติธรรมอันเสมอภาค”

ข้อความที่จากรึกเหล่านี้ถูกเรียกว่า ‘หมุดชัยภูมิ’

“คิดถึงลูกชายมาก จะทำยังไงดีตอนนี้ฉันไม่มีลูกแล้ว ไม่มีคนหาเลี้ยงให้ครอบครัว และไม่มีลูกชายของฉันอีกแล้ว”

ปอย ป่าแส ผู้เป็นแม่กล่าวรำลึกถึงลูกชายผู้หายไปพร้อมเสียงปืนนัดนั้น หลังจากนั้นเธอร้องเพลงเป็นภาษาลาหู่ มันมีความหมายว่า “คิดถึงแผ่นดินที่มีความสุข ที่วิ่งเล่นหน้าบ้านได้อย่างปลอดภัย แผ่นดินที่อบอุ่น ที่เคยอยู่อาศัยมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ฉันคิดถึงชีวิต และแผ่นดินที่เคยอยู่มาอย่างมาก”

จับญาติ ชัยภูมิ ป่าแส เอี่ยวยาเสพติด

29 พฤษภาคม 2560

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 ตำรวจภูธร จังหวัดเชียงใหม่ และสถานีตำรวจภูธรนาหวาย รวมกับเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 5 ภายใต้การนำของ พลตำรวจโทพูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และ พลตำรวจตรีศรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดเชียงใหม่ เข้าปิดล้อมและตรวจค้นบ้านกองผักปิ้ง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับนำหมายศาล จังหวัดเชียงใหม่ เข้าจับกุมผู้ต้องหาสี่คน คือ

  • นางสาวฉันทนา ป่าแส อายุ 20 ปี น้าสาวของนายชัยภูมิ
  • นางสาวนาหวะ จะอื่อ อายุ 25 ปี ถูกระบุว่าเป็นผู้นำยาบ้าไปส่งให้กับนายชัยภูมิก่อนจะถูกวิสามัญ
  • นางนาแส แสขื่อ อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของยาเสพติดจำนวน 2,000 เม็ดที่นำมาให้นายชัยภูมิลอบขนในวันที่นายชัยภูมิถูกวิสามัญ
  • นายจะโจมแสง มอกู่ อายุ 25 ปี สามีนางฉันทนา ซึ่งถูกจับกุมพร้อมของกลางยาบ้าครึ่งเม็ด และตรวจพบสารเสพติดในร่างกาย

พลตำรวจโทพูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ยืนยันว่า คดีนี้มีพยานหลักฐานพบว่านายชัยภูมิเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงสืบสวนสอบสวนถึงที่มาของยาบ้า กระทั่งเชื่อมโยงถึงผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ในทั้งสี่ราย ซึ่งการสอบปากคำในเบื้องต้น ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ให้การรับสารภาพ

นอกจากนี้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ยังย้ำอีกว่า พยานหลักฐานที่รวบรวมได้เกี่ยวกับคดีนี้ค่อนข้างครบวงจรหมดแล้ว

ศาลไต่สวนนัดแรก

4 กันยายน 2560

ศาลเชียงใหม่เริ่มการไต่สวนนัดแรกกรณีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส

สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเข้ามาดูแลคดีนี้ ให้ข้อมูลว่า การไต่สวนครั้งนี้พนักงานอัยการผู้ร้องได้นำเสนอทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร พนักงานสอบสวน แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ และฝ่ายปกครอง เพื่อให้ศาลได้ไต่สวนถึงลักษณะและสาเหตุการเสียชีวิตว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรมตามกฎหมายหรือกระทำเกินกว่าเหตุ

พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า ในฐานะทนายของคดี ได้เตรียมบัญชีพยานไว้เพิ่มเติม หากพยานส่วนใดที่พนักงานอัยการไม่ได้นำเสนอก็จะใช้สิทธิ์ยื่นต่อศาลขอให้นำเข้ามาสู่การไต่สวนเพิ่มเติม โดยเฉพาะชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่มีน้ำหนัก รวมทั้งแม่และญาติของชัยภูมิที่ไปยังจุดเกิดเหตุในวันวิสามัญฆาตกรรม ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ ตนไม่ทราบว่าพนักงานอัยการจะได้รับจากฝ่ายทหาร และได้นำเสนอเป็นหนึ่งในพยานหลักฐานให้ศาลไต่สวนหรือไม่ หากไม่ได้มาก็จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งเรียกเข้ามาเพิ่มเติม

ในวันเดียวกัน ศาลจังหวัดเชียงใหม่ยังนัดไต่สวนการวิสามัญฆาตกรรมของ อะเบ แซ่หมู่ อายุ 32 ปี ที่เสียชีวิตในลักษณะเดียวกันกับชัยภูมิ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 โดย อะเบ แซ่หมู่ ถูกทหารประจำด่านบ้านรินหลวงยิงเสียชีวิต โดยอ้างว่าอะเบจะขว้างอาวุธระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ขณะตรวจค้น จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิง และกล่าวหาว่าอะเบมียาเสพติดประเภทเฮโรอีนสองหลอด ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพาย ซึ่งคดีนี้ญาติติดใจการเสียชีวิต และตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุหรือไม่

เมื่อคลิปวงจรปิดในตำนานเกิดล่องหน

15 มีนาคม 2561

สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่นและทนายความญาติผู้เสียชีวิต กล่าวถึงการไต่สวนที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงสองวันก่อนหน้าว่า มีข้อมูลหลายอย่างที่ยังไม่สามารถสรุป แต่จากรายงานที่พนักงานสอบสวนส่งให้อัยการ ซึ่งนำมาจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง กรุงเทพฯ โดยกลุ่มงานอาชญากรรมด้านคอมพิวเตอร์ พบประเด็นที่น่าสงสัยคือ เครื่องบันทึกภาพและฮาร์ดดิสก์ที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุไม่พบภาพเหตุการณ์ในวันที่ 17 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีการวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ ป่าแส ทั้งๆ ที่ผ่านมานั้น พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และ พลโทวิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ต่างออกมายืนยันว่าได้เห็นภาพเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดแล้ว

ส่วนประเด็นอาวุธที่พบในจุดเกิดเหตุ ทนายความเปิดเผยว่า มีดที่ทหารอ้างว่าชัยภูมิใช้เพื่อต่อสู้ขัดขืนนั้น ไม่ปรากฏลายนิ้วมือของชัยภูมิที่มีด ส่วนระเบิดนั้นไม่ได้มี DNA ของชัยภูมิปะปนอยู่คนเดียวเท่านั้น แต่ยังมี DNA ของอีกหลายคนปรากฏรวมอยู่ในนั้นด้วย

4 มิถุนายน 2561

วรพจน์ โอสถาภิรัตน์ กลุ่มดินสอสี โพสต์เฟซบุ๊กของตนเองกรณีความคืบหน้าในการพิจารณาคดีว่า 6 มิถุนายนนี้ ศาลจังหวัดเชียงใหม่จะอ่านคำไต่สวนการตายของชัยภูมิ ป่าแส โดยไม่มีการเรียกหรือตามหาภาพจากกล้องวงจรปิดที่เคยเป็นชิ้นหลักฐานสำคัญมาประกอบการพิจารณา

6 มิถุนายน 2561

ศาลจังหวัดเชียงใหม่อ่านคำสั่งไต่สวนคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส โดยบอกแต่เพียงว่า ชัยภูมิตายเพราะถูกทหารใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิง โดยเหตุเกิดที่ด่านบ้านรินหลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนกรณีข้อโต้แย้งกรณีที่ฝ่ายญาติไม่เชื่อว่านายชัยภูมิมียาเสพติดไว้ในครอบครอง หรือพยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่จากอาวุธมีดและระเบิด รวมทั้งเจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ศาลไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้แต่อย่างใด

รัษฎา มนูรัษฎา ทนายความฝ่าย ชัยภูมิ ป่าแส กล่าวว่า ศาลมีคำสั่งชี้ข้อเท็จจริงที่ว่า ชัยภูมิ ป่าแส เสียชีวิตเพราะถูก พลทหารสุรศักดิ์ รัตนวรรณ ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิง กระสุนปืนทำให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งกรณีนี้หากจะดำเนินการฟ้องร้องในคดีอาญาต่อนั้นอาจทำไม่ได้ เพราะกฎหมายของทหารนั้นจำกัดอำนาจของประชาชนในการเข้าถึง ศาลทหารนั้นต้องให้อัยการศาลทหารเป็นผู้ฟ้อง

“ทีมทนายความพยายามให้ข้อเท็จจริงไปสู่ศาลมากที่สุด คือเรื่องของการที่จะมีภาพจากกล้องวงจรปิดที่ด่านรินหลวง ซึ่งไม่ได้เข้ามาสู่สำนวนคดี เพราะกล้องที่ทหารส่งไปให้ตำรวจแล้วตรวจพิสูจน์ ทางตำรวจบอกว่า ไม่พบข้อมูลภาพในเหตุการณ์วันที่ 17 มีนาคม 2560 เวลาประมาณ 10.00 น. ก็แสดงว่าภาพเหตุการณ์ในจุดสำคัญหายไป”

ขณะที่สำนักข่าวประชาไท อ้างคำพูดของ สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความอีกคนของฝ่าย ชัยภูมิ ป่าแส ต่อคำถามว่าเมื่อศาลมีคำสั่งเช่นนี้ มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่อัยการอาจสั่งไม่ฟ้อง สุมิตรชัยตอบว่าเป็นไปได้ และปัจจัยสำคัญก็คือภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไม่ถูกเรียกมาประกอบการพิจารณาคดี

“เป็นไปได้ เพราะว่าหลักฐานสำคัญไม่ได้เข้ามาคือกล้องวงจรปิด เราขอให้ศาลเรียกหลักฐานดังกล่าวสองครั้ง ศาลไม่เรียกเพราะเห็นว่าหลักฐานต่างๆ เท่าที่มีนั้นเพียงพอแล้วในการมีคำสั่ง ในมุมของศาลก็ถูกต้องหากศาลจะสั่งเพียงเท่านี้ แต่หากต้องการชี้ความจริงบางประการ กล้องวงจรปิดเป็นส่วนสำคัญมากในการวินิจฉัย ทั้งนี้ ตอนนี้ในชั้นสอบสวน ทั้งพนักงานสอบสวนและอัยการยังมีอำนาจในการเรียกหลักฐานเพิ่มเติมได้ เพราะสำนวนการสอบสวนยังไม่สรุป ทั้งสองหน่วยงานยังมีอำนาจเรียกกล้องวงจรปิดได้” สุมิตรชัย หัตถสาร กล่าวเช่นนั้น

ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด จึงเรียนมาเพื่อทราบ

9 สิงหาคม 2561

หลังทนายความและองค์กรเครือข่ายที่ติดตามคดีของชัยภูมิ ป่าแส ยื่นหนังสือเพื่อขอดูภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด สำนักงานเลขานุการกองทัพบกได้ตอบกลับมาโดยมีใจความสำคัญคือ ไม่พบข้อมูลใดๆ ที่บันทึกเหตุการณ์วันที่ 17 มีนาคม 2560

หนังสือดังกล่าวลงวันที่ 6 มีนาคม 2561 ส่งถึงนายรัษฎา มนูรัษฎา อุปนายกสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ระบุใจความสำคัญในช่วงท้ายของหนังสือว่า

“วันที่ 24 มีนาคม 2560 บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ได้ถอดเครื่องบันทึกข้อมูลกล้องวงจรปิดออกจากจุดตรวจบ้านรินหลวง เพื่อเตรียมการส่งให้สถานีตำรวจภูธรนาหวาย

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 กองกำลังผาเมือง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมดำเนินการเปิดดูข้อมูลภาพเหตุการณ์ของวันที่ 17 มีนาคม 2560 แต่ภาพในเครื่องบันทึกข้อมูลเป็นภาพของวันที่ 20–25 มีนาคม 2560 ไม่มีภาพของวันที่ 17 มีนาคม 2560 เนื่องจากเป็นระบบบันทึกซ้ำอัตโนมัติของเครื่อง ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงได้ทดลองทำสำเนาไฟล์ข้อมูลในช่วงวันที่ 17 มีนาคม 2560 ห้วงเวลา 10.00–10.10 นาฬิกา เพื่อเปิดดู แต่ก็ไม่พบภาพข้อมูลใดๆ ของวันที่ 17 มีนาคม 2560 จึงไม่ได้เก็บสำเนาไฟล์ดังกล่าว เพราะไม่มีข้อมูลใดๆ

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

ขอแสดงความนับถือ
พลตรีปัณณทัต กาญจนะวสิต
เลขานุการกองทัพบก”

Author

โกวิท โพธิสาร
เพลย์เมคเกอร์สารพัดประโยชน์ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ waymagazine.org มายาวนาน ก่อนตัดสินใจวางมือจากทีวีสาธารณะ มาร่วมปีนป่ายภูเขาลูกใหม่ในฐานะ ‘บรรณาธิการ’ อย่างเต็มตัว ทักษะฝีมือ จุดยืน และทัศนคติทางวิชาชีพของเขา ไม่เป็นที่สงสัยทั้งในหมู่คนทำงานข่าวและแม่ค้าร้านลาบ

Author

ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
อาร์ตไดเร็คเตอร์ผู้หนึ่ง ชอบอ่าน เขียน และเวียนกันเปิดเพลงฟัง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า