16 พฤษภาคม 2567 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดรายงานการใช้ความรุนแรงทางดิจิทัลและการสอดแนมด้วยสปายแวร์เพกาซัส เพื่อปิดปากนักกิจกรรมหญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุในรายงานว่า นักกิจกรรมที่เป็นผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTI+) ในประเทศไทยกำลังถูกโจมตีบนโลกดิจิทัลด้วยถ้อยคำที่เหยียดหยามและภาษาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งสร้างความหวาดกลัวต่อผู้หญิง คนรักเพศเดียวกัน และคนข้ามเพศ รวมถึงเนื้อหาในโลกดิจิทัลที่ผูกโยงกับประเด็นทางเพศ และความรุนแรงด้วยเหตุผลแห่งเพศรูปแบบอื่นๆ ผ่านการใช้เทคโนโลยี (Technology Facilitated Gender Based Violence: TFGBV)
รายงาน ‘อันตรายเกินกว่าจะเป็นตัวเอง’ (Being Ourselves is Too Dangerous) ชี้ให้เห็นถึงวิธีการที่นักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศถูกสอดส่องติดตามโดยมิชอบด้วยกฎหมายด้วยการเฝ้าติดตามทางดิจิทัล รวมถึงถูกพุ่งเป้าโจมตีด้วยการใช้สปายแวร์เพกาซัสและการคุกคามทางออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะปิดปากพวกเขา
ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก เผยว่า ประเทศไทยวางตนเป็นผู้นำด้านความเท่าเทียมทางเพศมานานและให้คำมั่นสัญญาต่างๆ ในระดับนานาชาติว่าจะปกป้องสิทธิผู้หญิงและสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ แต่ความเป็นจริงก็คือผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศยังคงต้องเผชิญกับความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศอันแสนสาหัสผ่านการใช้เทคโนโลยีอยู่
หลังจากการรัฐประหารในปี 2557 นักกิจกรรมที่ต้องอยู่แนวหน้าของการชุมนุมประท้วงโดยสงบในประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนท่ามกลางพื้นที่พลเมืองที่หดตัวลง
อย่างไรก็ตาม รายงานนี้แสดงให้เห็นว่าเครื่องมือดิจิทัลกลับถูกใช้เพื่อคุกคามพวกเขา ทั้งการปล่อยข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องเพศสภาวะ และเผยแพร่ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและมีเนื้อหาที่ผูกโยงกับเพศ อันเป็นการดูถูกและย่ำยีศักดิ์ศรีผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
รายงานฉบับนี้อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจำนวน 40 คน ซึ่งรวมถึงนักกิจกรรมเยาวชนจำนวนมากและผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูมุสลิม
การพุ่งเป้าสอดแนมทางดิจิทัล
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้สัมภาษณ์นักกิจกรรมผู้หญิงจำนวน 9 คน จาก 15 คน ที่ได้รับการยืนยันว่าถูกโจมตีโดยสปายแวร์เพกาซัส ในปี 2563 และ 2564 ซึ่ง เป็นสปายแวร์ที่มีความสามารถรุกล้ำอย่างสูง พัฒนาขึ้นโดยบริษัท NSO Group บริษัทเทคโนโลยีทางไซเบอร์จากประเทศอิสราเอล รายงานแสดงให้เห็นว่า การพุ่งเป้าสอดแนมทางดิจิทัลนั้นส่งผลกระทบ โดยสร้างความหวาดกลัวด้วยเหตุแห่งเพศในหมู่ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย เช่น กลัวว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาอาจถูกนำไปใช้ในการแบล็กเมล การคุกคามทางออนไลน์ และการเลือกปฏิบัติมากขึ้น เป็นต้น
นิราภร อ่อนขาว นักกิจกรรมวัย 22 ปี รู้สึกตกใจมากเมื่อเธอได้รับการแจ้งเตือนจากภัยคุกคามจาก Apple แจ้งว่าอุปกรณ์ของเธออาจเป็นเป้าหมายของ ‘ผู้โจมตีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ’ ในความเป็นจริง iPhone ของเธอถูกเจาะข้อมูลสปายแวร์เพกาซัสถึง 14 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนครั้งที่สูงที่สุดในบรรดาผู้ตกเป็นเป้าหมายทั้งหมดในประเทศไทย นิราภรเชื่อว่าการโจมตีครั้งนี้เชื่อมโยงกับการมีส่วนร่วมของเธอในขบวนการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่นำโดยเยาวชนเมื่อปี 2563
ซึ่งหลักฐานทางเทคนิคและหลักฐานแวดล้อม ประกอบกับนโยบายของบริษัท NSO Group ที่ขายผลิตภัณฑ์ให้กับหน่วยงานรัฐเท่านั้น ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการมีส่วนร่วมของตัวแสดงจากภาครัฐไทยตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไปที่มีการใช้เพกาซัส สอดคล้องกับที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทย ประเมินแบบเดียวกันว่าหน่วยงานรัฐบาลไทยเกี่ยวข้องกับการใช้สปายแวร์
นอกจากนี้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังได้สัมภาษณ์นักกิจกรรมที่ได้รับการแจ้งเตือนจาก Meta ว่าบัญชีเฟซบุ๊กของพวกเขาตกเป็นเป้าหมายของ ‘ผู้โจมตีที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลหรือผู้โจมตีที่เชี่ยวชาญ’
พัชรดนัย ระวังทรัพย์ เป็นผู้ที่ระบุตัวตนทางเพศว่าเป็นเกย์ ซึ่งเขาเป็นอดีตสมาชิก กลุ่ม ‘ทะลุฟ้า’ ซึ่งเป็นกลุ่มขับเคลื่อนเรียกร้องประชาธิปไตย และเป็นหนึ่งในนักกิจกรรมหลายคนที่ได้รับการแจ้งเตือนดังกล่าว หลังจากทราบว่ากิจกรรมออนไลน์ของตนเองอยู่ภายใต้การเฝ้าระวัง เขาก็กังวลว่าข้อมูลส่วนตัวจะถูกนำมาใช้เพื่อดำเนินคดี
พัชรดนัยกล่าวว่า “ฝันร้ายที่สุดของผมคือ การที่อาจจะต้องเข้าคุก สำหรับคนที่เป็นเกย์และผู้หญิงข้ามเพศ คุกไทยถือว่าเป็นสถานที่ที่โหดร้าย เพราะคุณมีโอกาสมากที่จะถูกคุกคามและล่วงละเมิดทางเพศ”
กลยุทธ์ที่หลากหลายของการคุกคามบนโลกออนไลน์
ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่า ตนเองถูกสร้างภาพให้เข้าใจผิดว่าเป็นตัวแทนจากต่างประเทศที่พยายามบ่อนทำลายรัฐบาลไทย โดยปฏิบัติการพุ่งเป้าใส่ร้ายป้ายสีบนโลกออนไลน์ที่มีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งน่าสงสัยว่าอาจจะริเริ่มหรือสนับสนุนโดยรัฐ หรือบุคคลอื่นๆ ที่มีอุดมการณ์สอดคล้องกับรัฐ
นักกิจกรรมบางคนเผชิญกับความรุนแรงในรูปแบบของการจงใจเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว (doxing) ได้แก่ การเปิดเผยเอกสารหรือรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลทางออนไลน์โดยไม่ได้รับความยินยอม
ณิชกานต์ รักวงษ์ฤทธิ์ นักเคลื่อนไหวเยาวชนด้านเฟมินิสต์ที่ระบุตัวตนว่าเป็น non-binary (ผู้ที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบเพศชาย-หญิง) บอกกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า เมื่อเขาอายุ 17 ปี มีบัญชีเอ็กซ์ (X) ที่ไม่ระบุชื่อ ได้เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของเขาต่อสาธารณะ รวมถึงหมายเลขประจำตัวประชาชน และข้อกล่าวหาทางอาญาที่เขาต้องเผชิญจากการเข้าร่วมการการชุมนุมประท้วงโดยสงบ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวดังกล่าวดูเหมือนว่าจะเป็นการจงใจข่มขู่และกีดกันเขาจากการเคลื่อนไหวต่อไป
นักกิจกรรมผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจำนวนมากในชุมชนมุสลิมต้องเผชิญกับการตอบโต้อย่างรุนแรงทางออนไลน์จากการเคลื่อนไหวของพวกเขา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือนักกิจกรรมผู้หญิงข้ามเพศมุสลิมสามคนถูกข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรง หลังจากพวกเธอให้สัมภาษณ์สื่อออนไลน์เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติและการต่อต้านกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศภายในชุมชนของตน
เอลินา คาสติลโย ฆิเมเนซ (Elina Castillo Jimenez) นักวิจัยด้านการสอดแนมทางดิจิทัลจาก Security Lab ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า เป้าหมายสูงสุดของการโจมตีเหล่านี้คือการมุ่งเป้าไปที่ตัวตนของนักกิจกรรม บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเขา ลดความชอบธรรมในบทบาทของพวกเขา และแยกพวกเขาออกจากสังคม นี่เป็นกลยุทธ์ที่แพร่หลายซึ่งส่งสารที่ชัดเจนว่า นักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจะถูกลงโทษหากพวกเขากล้าที่จะท้าทายสถานภาพปัจจุบัน
เมื่อนักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศต้องถูกปิดปาก
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า ความรุนแรงในโลกดิจิทัลได้สร้างบรรยากาศแห่งความหลาดกลัว (chilling effect) ในหมู่นักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจำนวนมากที่เริ่มเซนเซอร์ตัวเอง และแยกตัวออกจากงานด้านสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง ในบางกรณี นักกิจกรรมบางคนยังได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิตอย่างรุนแรง เช่น อาการหวาดระแวง ภาวะซึมเศร้า และตกอยู่ในสภาวะความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (Post-traumatic Stress Disorder: PTSD) เป็นต้น
“แน่นอนว่าเราก็ใช้เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ เพื่อสื่อสารกัน แต่ภายในกลุ่มของเรา เราจะไม่โพสต์อะไรเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำลงในโซเชียลมีเดียเลย มันอันตรายเกินไป” นักกิจกรรมผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศชาวมุสลิมจากจังหวัดปัตตานีกล่าว
นอกจากนี้มีรายงานว่า ผู้หญิงและเด็กหญิงมากกว่าครึ่งหนึ่งจากทั่วโลกถูกล่วงละเมิดและคุกคามทางออนไลน์ ทั้งยังต้องเผชิญกับการถูกทำให้กลายเป็นคนชายขอบมากขึ้นเนื่องมาจากรสนิยมทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ การแสดงออก และลักษณะทางเพศ และต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในรูปแบบอื่นๆ ได้รับผลกระทบแตกต่างกัน
เช็ชฐา ดาส (Shreshtha Das) ที่ปรึกษานักวิจัยด้านเพศวิถีศึกษา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า เครื่องมือดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิง เด็กหญิง และผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยและทั่วโลก เพื่ออำนวยความสะดวกในการแสดงออก การเคลื่อนไหวและส่งเสริมความยุติธรรมทางเพศ แต่ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีทำให้พื้นที่ดิจิทัลไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา อีกทั้งยังขัดขวางไม่ให้พวกเขาพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนได้อย่างเต็มที่
รัฐบาลไทยปฏิเสธการมีส่วนร่วมใดๆ กับการพุ่งเป้าสอดแนมทางดิจิทัลและการคุกคามออนไลน์ต่อนักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่ไม่ได้แสดงความเต็มใจที่จะสอบสวนกรณีต่างๆ ที่ถูกเน้นย้ำในงานวิจัยนี้
การไม่ดำเนินการอย่างเป็นจริงเป็นจังในการปกป้องนักกิจกรรมสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไทยล้มเหลวในการปฏิบัติตามความรับผิดชอบของตนภายใต้สนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี รวมถึงการรับประกันสิทธิที่จะมีอิสรภาพจากความรุนแรงบนพื้นฐานทางเพศ สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การชุมนุมประท้วงโดยสงบ สิทธิในความเป็นส่วนตัว และสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ชนาธิป ในฐานะผู้เปิดเผยรายงานฉบับนี้ยังระบุว่า รัฐบาลไทยต้องให้คำมั่นสัญญาต่อสาธารณะที่จะไม่กระทำการละเมิด และปกป้องนักกิจกรรมจากการพุ่งเป้าสอดแนมทางดิจิทัล และการคุกคามทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังต้องสอบสวนทุกกรณีของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีต่อนักกิจกรรมผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ พร้อมทั้งจัดให้มีการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพแก่บุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย
นอกจากนี้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังเรียกร้องให้ประเทศไทยหยุดการใช้สปายแวร์ที่มีการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวสูง และสร้างระบบกำกับดูแลที่สอดคล้องกับสิทธิมนุษยชนสำหรับสปายแวร์ประเภทอื่นๆ และในช่วงเวลาที่ยังไม่มีระบบดังกล่าวที่ใช้ได้จริง รัฐบาลควรประกาศยุติการขาย การใช้ การส่งออก การถ่ายโอน และการสนับสนุนสปายแวร์รูปแบบอื่นๆ ทั่วโลก
รวมถึงบริษัท NSO Group ยังล้มเหลวในการปฏิบัติตามความรับผิดชอบด้านสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานกฎหมายระหว่างประเทศ
ซึ่งทางแอมเนสจี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เขียนจดหมายถึงกลุ่ม NSO และบริษัทในเครือ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการขายซอฟต์แวร์เพกาซัสที่ใช้สอดแนมผู้ให้สัมภาษณ์ 9 จาก 40 คน ในงานวิจัยนี้ แต่ยังไม่มีบริษัทไหนตอบกลับมา
ชนาธิป กล่าวทิ้งท้ายว่า “ประเทศไทยจะไม่มีวันเป็นสวรรค์ของความเท่าเทียมทางเพศอย่างที่กล่าวอ้างกัน เว้นแต่รัฐบาลและบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการยุติความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีทันที”