หลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. … เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 สมาพันธ์อินเทอร์เน็ตแห่งเอเชีย (Asia Internet Coalition: AIC) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ว่า “พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวได้นิยามขอบเขตด้วยภาษาที่คลุมเครือและขาดการป้องกันในด้านความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับปัจเจกบุคคลและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติที่อนุญาตให้มีการใช้อำนาจในการเข้าถึงและยึดข้อมูล รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยปราศจากกฎหมายควบคุมที่เหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่การใช้อำนาจในการควมคุมการสื่อสารในโลกไซเบอร์ โดยอ้างถึงประเด็นภาวะฉุกเฉิน การป้องกัน ตลอดจนการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลขององค์กรได้”
สมาพันธ์อินเทอร์เน็ตแห่งเอเชีย (Asia Internet Coalition: AIC) คือ องค์กรความร่วมมือที่มีสมาชิกประกอบไปด้วย Apple, Facebook, Google, Amazon, LINE, LinkedIn, Airbnb, Twitter, Yahoo, Expedia และ Rakuten
แถลงการณ์จาก AIC กรณีพระราชบัญญัติไซเบอร์ โดย เจฟ เพน (Jeff Paine) ประธานบริหารสมาพันธ์อินเทอร์เน็ตแห่งเอเชีย
สมาพันธ์อินเทอร์เน็ตแห่งเอเชียรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อกรณีการลงมติของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการเห็นชอบ พ.ร.บ.ไซเบอร์ ที่เน้นหนักถึงวาระความมั่นคงของชาติ แทนที่จะเป็นความพยายามป้องกันอันตรายในโลกไซเบอร์
การป้องกันความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตคือวาระสำคัญสูงสุด อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวได้นิยามขอบเขตด้วยภาษาที่คลุมเครือและขาดการป้องกันในด้านความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับปัจเจกบุคคลและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติที่อนุญาตให้มีการใช้อำนาจในการเข้าถึงและยึดข้อมูล รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยปราศจากกฎหมายควบคุมที่เหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่การใช้อำนาจในการควบคุมการสื่อสารในโลกไซเบอร์ โดยอ้างถึงประเด็นภาวะฉุกเฉิน การป้องกัน ตลอดจนการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลขององค์กรได้
ทางเราได้ทำการทักท้วงไปยังคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (National Cyber Security Committee: NCSC) ว่าการออกกฎหมายนั้นควรมีตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรม ภาคเอกชน และภาคประชาชนสังคม ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ เข้าประชุมหารือร่วมด้วย เพื่อความโปร่งใสและเพื่อให้มีการถ่วงดุลอำนาจ
อนึ่ง ทางสมาพันธ์อินเทอร์เน็ตแห่งเอเชียยังคงยินดีที่จะมีความร่วมมือกับทางรัฐบาลไทย ในฐานะผู้วิพากษ์วิจารณ์เพื่อการพัฒนา จัดการความมั่นคงทางไซเบอร์ เพื่อให้เศรษฐกิจดิจิตัลเป็นไปตามวิสัยทัศน์ ไทยแลนด์ 4.0 ในท้ายที่สุด