ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มรณรงค์หยุดเงินเปื้อนเลือด หรือ Blood Money Campaign พร้อมด้วยเครือข่ายภาคประชาชนและภาคประชาสังคมเมียนมาและไทยได้ออกแคมเปญ #DoMoreSingapore เรียกร้องรัฐบาลสิงคโปร์หยุดคบค้าสมาคมอำนวยความสะดวกด้านการเงินและหยุดบริษัทสิงคโปร์ขายอาวุธให้เผด็จการทหารเมียนมา
จดหมายร้องเรียนในแคมเปญดังกล่าวระบุว่า คณะเผด็จการทหารเมียนมาที่โหดเหี้ยมนั้นต้องอาศัยเงินทุนสิงคโปร์ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี และเชื้อเพลิงอากาศยาน เพื่อนำมาโจมตีประชาชนอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัฐประหารวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเผด็จการทหารเมียนมาได้สังหารประชาชนด้วยการโจมตีทางอากาศและใช้อาวุธปืนตามอำเภอใจ มีการฆาตกรรม ทรมาน กักขัง ข่มขืน ทำลายบ้านเรือนและเสบียงอาหาร
รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมาเปิดเผยว่า สิงคโปร์เป็นผู้จัดหาอาวุธและยุทโธปกรณ์รายใหญ่อันดับ 3 ให้กับกองทัพเมียนมา โดยมีมูลค่าการค้า 254 ล้านดอลลาร์ จากบริษัทในสิงคโปร์อย่างน้อย 138 แห่ง แม้ก่อนหน้านี้จะมีการประกาศคว่ำบาตรจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐ แต่กลุ่มบริษัทในสิงคโปร์ก็ยังคงคบค้ากับคณะเผด็จการทหารเมียนมาต่อไป อันเป็นการสนับสนุนอาชญากรรมระหว่างประเทศ
กลุ่ม Blood Money Campaign และภาคประชาสังคมเมียนมา-ไทย และนานาชาติ จึงมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลสิงคโปร์ ดังนี้
- เสนอมาตรการคว่ำบาตรเพื่อหยุดการถ่ายโอนอาวุธ เทคโนโลยี น้ำมันเครื่องบิน และธุรกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับกองทัพเมียนมา
- ปิดกั้นไม่ให้คณะเผด็จการทหารเมียนมาเข้าถึงระบบการเงินและธนาคารของสิงคโปร์
- เร่งรัดสอบสวนต่อสาธารณะเกี่ยวกับบริษัทสิงคโปร์ที่จัดหาอาวุธให้กับกองทัพเมียนมา
ทั้งนี้กลุ่ม Blood Money Campaign ตั้งเป้ารวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนแคมเปญนี้ให้ได้ 25,600 รายชื่อ ผ่านทางเว็บไซต์ actionnetwork.org จนถึงวันที่ 29 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 1,000 วัน ของการรัฐประหารในเมียนมา โดยในช่วงวันที่ 25-31 ตุลาคม จะเป็นสัปดาห์แห่งการรณรงค์ #DoMoreSongapore ทั่วโลก (global campaign) เพื่อสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลสิงคโปร์ นอกจากนี้จะมีการนำรายชื่อและจดหมายร้องเรียนไปยื่นที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ในประเทศต่างๆ ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้