วันพุธที่ 22 มีนาคม (ตามเวลาท้องถิ่น) เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดกลางกรุงลอนดอนขึ้น เมื่อชายชุดดำขับรถทะลุผ่านฝูงชนบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Bridge) มุ่งหน้าไปทางรัฐสภา สร้างความหวาดกลัวและโกลาหลไปทั่ว ก่อนที่ผู้ก่อการร้ายดังกล่าวจะลงจากรถที่หน้ารัฐภา และแทงเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต ก่อนถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญในที่เกิดเหตุ
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้เสียชีวิตห้าคน ซึ่งได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้วว่าเป็นนักเรียนฝรั่งเศสสามคนถูกรถชนจนเสียชีวิตบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ อีกคนคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจชื่อว่า คีธ พาลเมอร์ (Keith Palmer) อายุ 48 ปี และคนสุดท้ายคือตัวผู้ก่อการร้าย รวมถึงยังมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 40 ราย
ด้านผู้ก่อการร้ายนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข้อมูลว่า เป็นชายวัยกลางคน ร่างท้วม ผิวคล้ำ และเป็นชาวเอเชีย
มาร์ค รอว์ลีย์ (Mark Rowley) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายต่อต้านการก่อการร้ายแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวถึงข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับแรงจูงใจของผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ว่า “เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายอิสลาม (Islamist related)” เนื่องจากลักษณะการโจมตีในรูปแบบที่ขับรถยนต์พุ่งเข้าหาฝูงชนคล้ายคลึงกับที่กลุ่มก่อการร้ายอิสลามโจมตีที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส และกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีเมื่อปีที่ผ่านมา
โดยการก่อการร้ายครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่เหตุการณ์ระเบิดในลอนดอนเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2005
ขณะเดียวกัน ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เธเรซา เมย์ (Theresa May) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กำลังเข้าประชุมอยู่ในรัฐสภา และถูกรีบนำตัวออกจากรัฐสภาทันที
หลังจากนั้นไม่นาน เวลา 3 ทุ่มของวันเดียวกัน เธอได้ออกมาพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ว่า “เป็นเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ชั่วช้าและเป็นการกระทำของคนคนเดียว” และเธอยังกล่าวอีกว่า “สถานที่เกิดเหตุนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ผู้ก่อการร้ายตั้งใจที่จะโจมตีใจกลางกรุงลอนดอน ซึ่งทุกเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม มารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองคุณค่าของเสรีภาพประชาธิปไตย และเสรีภาพในการพูด ณ ที่แห่งนี้”
โดยเธอเสริมว่า ในระดับการเตือนภัยตอนนี้อยู่ในระดับ ‘severe’ กล่าวคือ ปิดพื้นที่เกิดเหตุและเพิ่มจำนวนกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลในพื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมกล่าวให้กำลังใจตำรวจที่กล้าหาญ รวมถึงเจ้าหน้าที่กลุ่มอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือประชาชน
ส่วนในท่าทีของผู้นำทั่วโลกเกี่ยวกับการก่อการร้ายในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเบลเยียม ชาร์ลส์ มิเชล (Charles Michel) ซึ่งจัดงานรำลึกครบรอบหนึ่งปีเหตุการณ์ก่อการร้ายที่กรุงบรัสเซลส์ ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมา ได้แสดงความเห็นว่า “เราขอแสดงความเสียใจกับทุกคนที่ได้รับผลกระทบในลอนดอน เบลเยียมจะอยู่เคียงข้างอังกฤษเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายเสมอ”
ทางสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กล่าวกับสื่อว่า ทันทีที่ทราบเรื่องราวดังกล่าว เขาก็ต่อสายตรงโทรหา เธเรซา เมย์ ทันที กล่าวยกย่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชาวอังกฤษ และให้คำมั่นว่า “พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนอย่างเต็มที ในการตอบโต้การโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย และนำความยุติธรรมกลับคืนมา”
ทางฝั่งของฝรั่งเศส หลังจากได้รับการยืนยันว่าผู้เสียชีวิตสามคนที่สะพานเวสต์มินสเตอร์เป็นนักเรียนชาวฝรั่งเศส ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออล็องด์ (Francois Hollande) ก็ได้ออกมาพูดผ่านสถานทูตฝรั่งเศสประจำกรุงลอนดอนว่า “ภัยก่อการร้ายได้สร้างความกังวลให้กับเราทุกคน และฝรั่งเศสรับรู้ถึงความทุกข์ที่อังกฤษเผชิญในวันนี้”
ด้านชาวลอนดอนได้ออกมาแสดงท่าทีต่อเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ค ที่ติดแฮชแท็กว่า #WeAreNotAfraid ซึ่งหมายถึง ‘เราไม่กลัว’ เพื่อโต้ตอบการก่อการร้ายและให้กำลังใจหน่วยงานต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือประชาชน นอกจากนั้นแล้วยังแชร์ภาพโลโก้รถไฟฟ้าใต้ดินของอังกฤษและเปลี่ยนสโลแกนให้เป็น “We Are Not Afraid” เพื่อแสดงให้เห็นถึงการต่อต้านของพวกเขาต่อหน้าความหวาดกลัว
ส่วนท่าทีของชาวออนไลน์ทั่วโลกก็พร้อมใจกันติดแฮชแท็กว่า #PrayForLondon เพื่อเป็นกำลังใจให้กับชาวอังกฤษ
อ้างอิงข้อมูลจาก: theguardian.com
independent.co.uk