มวลมหากัญชาชนทั่วประเทศแคนาดาส่งเสียงแซ่ซ้องสดุดีกันอย่างกระหึ่ม เมื่อวุฒิสภาแคนาดาออกเสียงลงมติผ่านร่างกฎหมายอนุญาตให้มีการใช้กัญชา ‘เพื่อสันทนาการ’ ได้ ซึ่งตามขั้นตอนจะเริ่มมีผลทางปฏิบัติในราวเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป นับเป็นประเทศแรกในกลุ่มชาติพัฒนา G7 ที่ปลดล็อคกฎหมายเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อจุดประสงค์เช่นนี้
แคนาดาเป็นประเทศที่สองของโลกที่ผ่านกฎหมายอนุญาตให้ประชาชนสามารถเสพกัญชาเพื่อการผ่อนคลายหรือสันทนาการ (recreational use) ได้ และเคยออกกฎหมายอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อเหตุผลทางการแพทย์ (medical use) มาแล้วตั้งแต่ปี 2001 โดยต้องมีใบรับรองแพทย์ชัดเจน
ก่อนหน้านี้วุฒิสภาแคนาดาเคยลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายนี้แล้ว แต่ได้เพิ่มข้อความอีกหลายมาตราเข้าไป ทำให้ร่างกฎหมายนี้ต้องส่งกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนส่งกลับมาให้วุฒิสภาพิจารณาในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อประกาศเป็นกฎหมายอย่างสมบูรณ์
เมื่อวันอังคาร 19 มิถุนายน เหล่าวุฒิสภาชิกออกเสียงเห็นชอบ พระราชบัญญัติ C-45 หรือ ‘พ.ร.บ.กัญชา’ (Cannabis Act) ด้วยคะแนนเสียง 52 ต่อ 29 งดออกเสียงหนึ่ง ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การเปิดตลาด ปลูก เก็บเกี่ยว ซื้อขาย และครอบครองกัญชา เพื่อการใช้ทั่วไปส่วนบุคคล อย่างถูกกฎหมายภายในอีกหลายสัปดาห์ สมใจบรรดากัญชาชนคนแคเนเดียนผู้ฝักใฝ่แนวสุนทรีย์อันน่าเคลิบเคลิ้มนี้จำนวนมาก
นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด (Justin Trudeau) ได้ทวีตข้อความระบุว่า
เมื่อก่อนเป็นเรื่องง่ายมากที่เยาวชนจะซื้อหากัญชา ซึ่งอำนวยประโยชน์แก่อาชญากรให้เก็บเกี่ยวรายได้ วันนี้ เราเปลี่ยนสิ่งนั้นไปแล้ว แผนของเราคือทำให้มันถูกกฎหมายและออกระเบียบควบคุมกัญชา เมื่อ พ.ร.บ. นี้ผ่านความเห็นชอบโดยวุฒิสภา
ก่อนหน้านี้ ระหว่างการหาเสียงเมื่อปี 2015 นายกรัฐมนตรีทรูโดให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำให้การเสพกัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ทรูโดยอมรับว่าเขาก็เคยสูบกัญชากับเพื่อนประมาณห้าหรือหกครั้ง ผลโดยตรงของคำมั่นนี้อาจมีส่วนผลักดันให้พรรคเสรีนิยมของทรูโดได้ครองที่นั่งจำนวนสูงสุดของสภาผู้แทนราษฎรแคนาดา เพราะมีกัญชาชนจำนวนมากออกมาส่งเสียงสนับสนุนอย่างเซ็งแซ่ ทรูโดเคยอ้างว่าการปลดเปลื้องกัญชาออกจากความเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แล้วนำมันเข้ามาอยู่ในกฎเกณฑ์ควบคุม เป็นการปรามปรามองค์กรอาชญากรรม และช่วยหลีกเลี่ยงการบิดเบือนอำนาจเช่นที่เป็นอยู่ขณะนั้น เขาบอกว่าเยาวชนแคเนเดียนสามารถซื้อหาบุหรี่กัญชาสักมวนได้ง่ายกว่าเบียร์ขวดหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
การเสนอ พ.ร.บ.กัญชานี้ส่วนหนึ่งเป็นการกระทำตามคำมั่นสัญญาระหว่างการหาเสียงของทรูโดและพรรคเสรีนิยม รวมทั้งจากความเห็นของเขาว่ากฎหมายเดิมที่มีอยู่มุ่งเอาผิดแก่ผู้เสพกัญชาช่างไร้ประสิทธิภาพและไม่ได้ก่อผลดีแก่ใครเลย โดยเฉพาะเป็นที่รู้กันดีทั่วไปว่าชาวแคเนเดียนจำนวนมากเป็นกัญชาชนผู้เสพแบบหนักหนาสาหัสระดับแนวหน้าของโลก
การหยั่งเสียงหลายครั้งก็ได้แสดงผลว่าพลเมืองแคเนเดียนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนแนวทางนี้อย่างแข็งขัน
ทั้งนี้ กำหนดเวลาเริ่มต้นเปิดขายกัญชาอย่างถูกกฎหมายแต่เดิมที่พรรคลิเบอรัลตั้งเข็มไว้คือ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันชาติแคนาดา อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดเดิมไปเป็นกลางเดือนตุลาคม และยังจะต้องขึ้นอยู่กับการประกาศใช้ พระราชบัญญัติ C-45 ตามอำนาจของหน่วยปกครองท้องถิ่นด้วย
กฎหมาย ‘พ.ร.บ.กัญชา’ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้จริงในอีกสองสามเดือนข้างหน้าหรืออย่างช้ากลางเดือนตุลาคม จะครอบคลุมกำกับนับตั้งแต่การเพาะปลูก แจกจ่าย และจัดจำหน่าย และได้กำหนดคุณสมบัติของกัญชาชนเบื้องต้นว่าต้องมีอายุเกินกว่า 18 หรือ 19 ปี ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละจังหวัดและเขตปกครองของแคนาดา
นายกรัฐมนตรีทรูโดแถลงหลังจากการลงมติของวุฒิสภาว่า
เราหวังว่า เมื่อถึง 17 ตุลาคม ทางการจังหวัดต่างๆ จะทำการเปิดตัวกิจการค้าปลีกกัญชาสถานได้อย่างพร้อมเพรียงกัน เช่นเดียวกับระบบขายออนไลน์และการจัดส่งทางไปรษณีย์ภายในการดูแลของทางการจังหวัดเช่นกัน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและความเป็นระเบียบเรียบร้อย
เขาเสริม “หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน หรืออาจสักปีสองปี เชื่อว่าเราจะสามารถเข้าทดแทนกิจกรรมกัญชาส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่เคยดำเนินการโดยองค์กรอาชญากรรมได้โดยสมบูรณ์”
กฎเกณฑ์กำกับที่เข้มงวด
ตามกฎหมายใหม่ กัญชาชนผู้ใหญ่ทั่วทั้งแคนาดาสามารถซื้อกัญชาแห้งที่ไม่ใช่ยารักษาโรคจากกัญชาสถานซึ่งได้รับอนุญาต และบุคคลหนึ่งอาจครอบครองได้ไม่เกิน 30 กรัม (1.05 ออนซ์) ในที่สาธารณะ หากผู้ใดมีเกินกว่านี้ หรือนำไปให้ผู้ที่อายุไม่ถึงเกณฑ์เสพ จะเป็นความผิดซึ่งมีกำหนดโทษแรงถึงขั้นจำคุก 14 ปี และครัวเรือนของนักกัญชานิยมอาจปลูกพืชกัญชาได้ไม่เกินสี่ต้นสำหรับจุดประสงค์เพียงการบริโภคเพื่อความเคลิบเคลิ้มส่วนตัวอย่างแท้จริง โดยใช้เมล็ดพันธุ์ หรือต้นอ่อน ที่ซื้อจากกัญชาพาณิชยกรรมสาขาที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
นอกจากนี้รัฐบาลแคนาดายังจะนำเสนอร่างกฎหมายความปลอดภัยสาธารณะที่มุ่งปราบปรามการขับขี่ยวดยานขณะตกอยู่ในอิทธิพลของสารออกฤทธิ์ เพื่อพยายามบรรเทาความห่วงใยของสาธารณะชนที่ค่อนข้างหวาดระแวงเหล่ากัญชาชนบางรายผู้อาจพลัดเพี้ยนเบี่ยงเบนออกนอกลู่นอกทางอยู่บ้าง
ในอีกมิติหนึ่ง รัฐบาลแคนาดากำลังเตรียมอ้าแขนกอบโกยเม็ดเงินประมาณ 400 ล้านดอลลาร์แคนาดา (เกือบ 10,000 ล้านบาท) ต่อปี จากรายได้ภาษีอากรที่เกิดจากการบริโภคและบริการเกี่ยวกับกัญชาธุรกรรมทุกกระบวนการภายในประเทศ 3 ใน 4 ของรายได้นี้จะถูกนำส่งกลับไปบำรุงท้องถิ่นทุกจังหวัด
แคนาดาเป็นประเทศที่สองในโลกตามหลังอุรุกวัยที่ยอมอนุญาตให้เสพกัญชาเพื่อการผ่อนคลายโดยถูกกฎหมายได้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ขณะที่แต่ละจังหวัดกำลังออกร่างข้อบังคับของตนเองเพื่อควบคุมการจำหน่ายในรายละเอียด ในแต่ละท้องถิ่นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางและจังหวัดกำลังเตรียมร่างและจัดพิมพ์ข้อบังคับเพื่อควบคุมกัญชาพาณิชยกรรมที่กำลังทยอยเกิดขึ้นตามมา
อย่างไรก็ตาม หลายคำถามยังคงค้างคาอยู่ในอากาศโดยไร้คำตอบ เช่น ตำรวจจะมีวิธีไหนตรวจสอบคนขับรถผู้ต้องสงสัยว่าได้พี้กัญชามาเกินขนาด จะทำอย่างไรกับผู้ต้องโทษเกี่ยวกับกัญชาก่อนหน้านี้ และจะควบคุมการปลูกพืชกัญชาภายในเขตบ้านอย่างไร
นายกรัฐมนตรีทรูโดกล่าวว่า จะยังไม่มีการหารือเกี่ยวกับการอภัยโทษผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเดิม จนกว่ากฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้
ทรูโดเสริมว่า โดยทั่วไปทางการจะปฏิบัติตามกฎหมายกำกับสารกัญชาเสมือนเช่นที่ได้มีการกำกับ เหล้า ไวน์ และบุหรี่ แต่เรื่องนี้คือความจำเป็นที่รัฐจะต้องต่อสู้ขับเคี่ยวกับองค์กรอาชญากรรม
กัญชาพาณิชยกรรมกับอนาคตสุดสดใส
ราคาหุ้นของบริษัทกัญชาที่ไต่ขึ้นต่อเนื่องพักหนึ่งหลังจากความคาดหวังว่ากฎหมายกัญชาน่าจะผ่านสภา กระโดดพุ่งพรวดพราดขึ้นอีกทันทีเมื่อวันพุธหลังวุฒิสภาลงมติ
ในสหรัฐอเมริกาเพื่อนบ้านขาใหญ่ทางใต้ของแคนาดา มีอยู่เก้ามลรัฐ รวมกับดิสตริค ออฟ โคลับเบีย (District of Columbia) ที่ยอมรับให้การใช้กัญชาเพื่อการผ่อนคลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายของรัฐ (โดยขัดแย้งกับกฎหมายของรัฐบาลกลาง) โดยที่แต่ละรัฐมีรายละเอียดของกฎเกณฑ์ต่างกันมากมาย
มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ต้นปีที่ผ่านมาได้จัดงานมหกรรมกัญชาพาณิชย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายขึ้นเมื่อ 1 มกราคม ซึ่งเป็นงานชุมนุมของหน่วยธุรกิจการค้าพืชและผลิตภัณฑ์กัญชาขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
อเมริกัญชาชนระดับนำ ดอน ฮาร์เติลเบน (Don Hartleben) เจ้าของกิจการ Dank of America กัญชาสถานค้าปลีกที่เมืองเบลน (Blaine) มลรัฐวอชิงตัน (Washington) ไม่ห่างจากพรมแดนแคนาดามากนัก แสดงความยินดีอย่างล้นเหลือต่อกฎหมายใหม่ของแคนาดา ซึ่งไม่ใช่เพียงการคลอดกฎหมายกัญชาตามครรลองการเมืองที่ถูกควร แต่เพราะอารมณ์ชื่นมื่นที่เล็งเห็นว่าธุรกิจและรายได้ในภายภาคหน้าของเขาน่าจะไปได้ดียิ่งขึ้น
“ลูกค้านักท่องเที่ยวแคนาเดียนของผมเคยหวาดหวั่นเกรงว่าจะโดนจับกุมเมื่อซื้อกัญชาแล้วนำกลับไป” เขากล่าว
แต่หลังจากนี้น่าจะโอเคแล้วหละ เมื่อกัญชาสหายแคนาเดียนเหล่านั้นเสพกัญชาในประเทศของเขาเพิ่มมากขึ้น เวลาพวกเขามาพักท่องเที่ยวในเมืองนี้ก็น่าจะยิ่งทำให้ธุรกิจไปได้ดี การทำให้กัญชาถูกกฎหมายในแคนาดาไม่ได้ทำให้ผมขายน้อยลงหรอก เพราะถ้ามันยิ่งถูกกฎหมาย ผู้เสพก็จะยิ่งรู้สึกปลอดภัย แล้วก็จะแห่กันมาแสวงหากัญชารสเลิศจากร้านผม
ทัศนคติแบบใหม่ที่แคนาดาจัดการกับการใช้กัญชาอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นความขัดแย้งในความสัมพันธ์อันลุ่มๆ ดอนๆ ที่พรรคลิเบอรัลมีอยู่กับคณะบริหารของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ที่ไม่น่ารู้สึกรู้สาสิ่งใดเกี่ยวกับกัญชาเลยก็เป็นได้ ซึ่งแตกต่างกันกับผู้นำแคนาดาอย่างสุดขั้ว
เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวเคยแสดงท่าทีว่ากระทรวงยุติธรรมจะบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางออกขจัดการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการในมลรัฐต่างๆ ก่อให้เกิดความหนักใจอยู่บ้างว่ามาตรการกัญชาใหม่ของแคนาดาอาจจะต้องเผชิญกับการขัดแย้งปะทะกันแนวคิดปราบปรามกัญชาของรัฐบาลสหรัฐที่กำลังเกิดขึ้น
ในแต่ละวันมีผู้คนจำนวน 400,000 รายข้ามพรมแดนไปมาระหว่างสหรัฐกับแคนาดา และตั้งแต่ปี 2016 แคนาดาได้คอยกระตุ้นเตือนสหรัฐอยู่เสมอให้ปรับเปลี่ยนนโยบายกีดกันพลเมืองแคเนเดียนผู้ที่แถลงยอมรับว่าตนเป็นกัญชาชนคนหนึ่งไม่ให้เดินทางเข้าในสหรัฐ
การใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค และกัญชาที่ยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ในปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ได้อย่างถูกกฎหมาย เช่น เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม โคลอมเบีย ชิลี อุรุกวัย แคนาดา และออสเตรเลีย รวมทั้งอีกประมาณ 29 มลรัฐของสหรัฐอเมริกา
มลรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งนับเป็นรัฐที่ 6 ของสหรัฐอเมริกา ที่อนุญาตให้ขายปลีกกัญชาเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา หลังจากอนุญาตให้สามารถใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ได้กว่า 20 ปีมาแล้ว
หลายประเทศในยุโรปและทวีปอื่นได้ใช้มาตรการย่อหย่อนการบังคับกฎหมายที่เกี่ยวพันกับการใช้กัญชาส่วนบุคคล เช่น สเปน เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สโลเวเนีย ลักเซมเบิร์ก จาเมก้า ชิลี เปรู โคลอมเบีย และ เอกวาดอร์
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว รัฐสภาของประเทศเปรูเพิ่งผ่านกฎหมายอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ หลังจากตำรวจได้บุกตรวจบ้านของ แอนา อัลวาเรซ (Ana Alvarez) ซึ่งเธอใช้เป็นห้องแล็บสกัดกัญชาชั่วคราว เพื่อใช้รักษาลูกชายของเธอที่ป่วยเป็นโรคลมชัก ร่วมกับบรรดาแม่อีกหลายคนที่มีลูกป่วยคล้ายกัน
อย่างไรก็ตาม ในบางประเทศ กระแสอาจหวนกลับ อย่างเช่นในสหรัฐ เมื่อต้นปีนี้ท่ามกลางเสียงสาปแช่งของเหล่าอเมริกัญชาชน เจฟฟ์ เซสชันส์ (Jeff Sessions) รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมได้ออกมาระบุว่า เขากำลังพยายามหยุดยั้งประกาศที่ออกมาในสมัยของ อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ที่ยอมให้มลรัฐต่างๆ ปลดเปลื้องการใช้กัญชาให้เป็นเรื่องถูกกฎหมายได้ และประกาศนี้เองกลับผลักดันทำให้ธุรกรรมกัญชาพาณิชย์ขยายตัวขึ้นมากในสหรัฐอเมริกา หลายฝ่ายมองเห็นว่า นี่เป็นเพียงความพยายามอย่างหนึ่งที่จะลบล้างผลงานหรือความสำเร็จใดๆ จากฝีมือโอบามา เช่นที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงมือทำมาโดยตลอด
การปราบปรามและลงโทษผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภทอย่างรุนแรงส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำนวนมาก และแม้แต่พืชและสารสกัดจาก กัญชา กระท่อม ซึ่งหลายประเทศยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่จัดอยู่ในอันดับที่ไม่ก่อผลร้ายแรงนัก แต่ผู้เกี่ยวข้องก็ยังตกอยู่ในสงครามปราบปรามและการลงโทษหนักหนาสาหัสเช่นเดียวกัน เป็นภาพสะท้อนแบบแตกต่างกันอย่างสุดขั้วกับในอีกหลายประเทศที่ได้ปล่อยเสรีสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้ใช้ทั้งในด้านการแพทย์และการผ่อนคลายโดยมีกฎเกณฑ์เข้มงวดกำกับ
การประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก (United Nations General Assembly Special Session: UNGASS) เมื่อปี 2016 ได้เปลี่ยนมุมมองต่อปัญหายาเสพติดให้ผ่อนเบาลงบ้างว่า ในหลายกรณีเป็นเรื่องของสุขภาพ มีอยู่ทั้งในระบบสาธารณสุข และแวดวงอาชญากรรม ต่างจากแนวทางเดิมซึ่งมุ่งเน้นการปราบปรามและลงโทษอย่างเดียว ระหว่างช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา